วันถัดมาฉันก็เอาแต่มองไปนอกหน้าต่าง เฝ้ามองโลกและรอคอยให้แต่ละวันผ่านไปเร็วๆ จนนักบวชที่เห็นดังนั้นถึงกับเอ่ยถามว่าฉันกำลังรออะไรอยู่หรือเปล่า
แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ก็มีงานที่ฉันต้องทำให้เรียบร้อยก่อนสุดสัปดาห์นี้อยู่
“ใกล้เตรียมเสร็จแล้วนี่นา”
ดูเหมือนการเตรียมการเพื่อเลือกผู้อาวุโสคนใหม่จะไม่มีปัญหาอะไร ในเอกสารเต็มไปด้วยรายชื่อของผู้เข้าคัดเลือกที่มาถึงวิหารหลวงจนถึงปัจจุบัน ฉันไล่สายตาดูอย่างรวดเร็วแล้วแต่ก็ยังไม่พบชื่อของคาร์ล บางทีอาจเพราะเขาอยู่ที่วิหารซึ่งอยู่ปลายสุดของทวีปและมีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงจึงทำให้ใช้เวลานานกว่าจะมาถึง
‘แต่ยังไงก็เหมือนจะช้าไปหน่อยอยู่ดีนะ?’
ได้ยินว่าจากวิหารที่คาร์ลอยู่มาจนถึงวิหารหลวง โดยปกติจะใช้เวลาสองสัปดาห์ แต่อย่าว่าตอนนี้ถึงแล้วเลย ดูจากที่กระทั่งการติดต่อมาว่าถึงไหนแล้วก็ยังไม่มี คงต้องรออีกสักพักกว่าเขาจะมาถึงที่หมาย
‘ก่อนอื่นต้องไปพบเมื่อเขามาถึง’
ฉันจะพบผู้เข้าคัดเลือกคนอื่นด้วยเช่นกัน แต่ก่อนอื่นคือฉันสงสัยเกี่ยวกับคาร์ลมากที่สุด ฉันคิดแบบนั้นพลางพิจารณาจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะ
“เอ๋?”
มือที่พลิกดูจดหมายหลายฉบับหยุดลง เมื่อวานฉันได้ส่งจดหมายไปให้องค์ชายรัชทายาทเลออน มีจดหมายตอบกลับมาเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ปัญหาก็คือจดหมายที่ตอบกลับมากลับไม่ได้ส่งมาด้วยชื่อขององค์ชายรัชทายาทเลออน แต่ส่งมาด้วยชื่อของคณะราชทูตของจักรวรรดิที่มาด้วยกันกับเขา ฉันรีบเปิดจดหมายอ่านเพราะสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อผ่านการทักทายอันแสนยาวอย่างรวดเร็ว ก็เจอกับข้อความที่พวกเขาต้องการจะบอก
“ตอนนี้องค์ชายรัชทายาทไม่อยู่…อาจจะตอบกลับมาช้า…อย่างนั้นหรือ”
ประโยคที่ว่าองค์ชายรัชทายาทเลออนไม่อยู่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมากวนใจแปลกๆ
องค์ชายรัชทายาทที่มาหาพร้อมกับราธบัน เขาจ้องมายังร่องรอยที่แอสรันทำทิ้งไว้บนตัวฉันด้วยสีหน้าสับสนเป็นอย่างมาก และร้องขอที่จะพบกันนานๆ ให้ได้ในคราวหน้าก่อนจะจากไป
‘ทั้งที่ดูยึดมั่นว่าจะไม่ไปจากที่นี่จนกว่าจะได้รับการติดต่อไปนี่นา…’
พลันเกิดความสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้เขาผู้นั้นต้องไปจากที่นี่
‘ไปถามพวกทหารคนสนิทก็คงไม่น่าจะบอก…’
สุดท้ายก็คงต้องรอองค์ชายรัชทายาทกลับมาจึงจะได้ฟังคำตอบ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คงไม่บอกกับฉันว่ามีเรื่องอะไรหรอก อันที่จริง ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องถามด้วย
หลังจากส่งจดหมายตอบกลับไปเป็นมารยาทว่าฉันจะส่งจดหมายไปให้อีกครั้งเมื่อองค์ชายรัชทายาทกลับมา จากนัเนฉันก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง
***
“แผ่นป้ายแสดงตัวตน เสื้อผ้า เหรียญกษาปณ์ทอง แล้วก็กริชอันหนึ่งไว้เผื่อด้วย…”
ฉันยืนอยู่หน้ากระจกระหว่างตรวจสอบของที่จะพกไป พอได้ลองเดินผ่านทางเดินคราวที่แล้วก็พบว่าเสื้อผ้าสกปรกได้ง่าย หลังจากเตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนที่โกดังเก็บของเพราะกังวลว่าหากออกไปทั้งอย่างนั้นจะทำให้เป็นที่สะดุดตา ฉันก็รวบผมขึ้น
“…ยังไงก็ดูสะดุดตาเกินไปอยู่ดี”
ฉันพึมพำออกมาเมื่อเห็นใบหน้าในกระจก แม้ตอนนี้จะคุ้นชินแล้ว แต่ก็ยังมีบางคราวที่ฉันอดรู้สึกชื่นชมกับรูปลักษณ์นี้ไม่ได้ ดวงตากระจ่างใสสีฟ้าสว่าง ผมสีบลอนด์ที่นุ่มนวลและเปล่งประกายราวกับถูกทอขึ้นจากแสงแดด ใบหน้างดงามที่มีองค์ประกอบอัดแน่นอย่างประณีต ไปจนถึงร่างกายที่เหมาะกับคำว่าสมบูรณ์แบบเท่านั้น ความจริงที่ว่าบนโลกใบนี้ชุดที่ทุกคนใส่กันทั่วไปคือเสื้อคลุมมีฮู้ดซึ่งสามารถปกปิดใบหน้าได้ ทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากไม่อย่างนั้นแล้ว ฉันคงทำไม่ได้แม้กระทั่งฝันที่จะออกไปด้านนอกแบบนี้
หลังจากตรวจสอบเหรียญกษาปณ์ทองที่อยู่ในถุงเงินลึกในอกและกริชที่เอวแล้ว ฉันก็มุ่งหน้าไปโดยใช้ทางลับ เดินไปสักพักก็ถึงโกดังเก็บของ ฉันเปลี่ยนเสื้อคลุมที่สกปรกเป็นเสื้อคลุมสีขาวที่ผู้คนสวมกันทั่วแล้วเปิดประตูโกดังเก็บของออก
โชคดีที่ครั้งนี้ฉันก็ออกมาด้านนอกได้โดยไม่สะดุดตาของผู้คนเช่นเดียวกับคราวก่อน
วิหารหลวงตรวจสอบคนที่จะเข้าไปด้านในแต่ไม่ตรวจสอบผู้ที่ออกไปด้านนอก เมื่อเข้าใกล้ประตูและจำนวนผู้คนที่กำลังจะออกไปด้านนอกหนาตาขึ้น ฉันก็เริ่มผ่อนฝีเท้าลง ขณะที่เห็นประตูเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และกดหัวใจที่กำลังเต้นระรัวนั่นเอง
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เสียงนั้นทำให้ทุกคนรวมถึงฉันหันหลังกลับไป และขณะที่ได้เห็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเอง
“…!”
ฉันพยายามอย่างถึงที่สุดในการกลั้นเสียงกรีดร้องที่จะระเบิดออกมา
‘ทำไมราธบันถึงมาอยู่ที่นี่’
แม้จะน่าตกใจแต่เจ้าของเสียงนั่นคือราธบัน เสียงตวาดของเขาทำให้ทุกคนหยุดฝีเท้าและหันหลังกลับ ทุกคนต่างก็กระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าราวกับถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ราธบันจ้องเขม็งมาทางทิศที่ฉันอยู่ด้วยใบหน้าที่ไม่ใส่ใจกับปฏิกิริยาของผู้คนเหล่านั้นเลยสักนิด
‘หรือว่า…ถูกจับได้หรือ?’
ชั่วขณะที่คิดได้แบบนั้น เบื้องหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นสีขาว ไม่ช้า ราธบันที่ยืนอยู่ก็เริ่มเดินมาทางทิศที่ฉันอยู่ ท่าทีของเขาทำให้มือสั่นระรัว เหงื่อไหลออกมาเต็มแผ่นหลัง ให้ตาย ยังไม่ทันจะได้ออกไปนอกวิหารหลวงก็ถูกจับได้เสียแล้ว? ไม่สิ แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าฉันจะออกไปถึงได้มารออยู่ตรงนี้? หรือว่าถูกจับได้ตั้งแต่คราวก่อนที่ออกมาแล้วเหรอ?
ขณะที่หลากหลายความคิดกำลังแวบผ่านภายในหัว จู่ๆ ชายที่ยืนอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวก็ออกตัววิ่งไปทางประตู
“จับมัน!”
ทันใดนั้นเหล่าอัศวินรักษาความปลอดภัยก็เข้ามาล้อมชายผู้นั้นราวกับรออยู่แล้ว ไม่ช้า การหลบหนีแสนสั้นก็จบลงด้วยความล้มเหลว ราธบันเดินตรงมาหาชายที่ถูกเหล่าอัศวินจับไว้ ฉันที่เห็นเหตุการณ์นั้นลอบถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
‘ไม่ใช่ฉันนี่เอง’
พอคิดได้แบบนั้น ลมหายใจถึงได้กลับมาหมุนเวียนในร่างที่แข็งเกร็ง มือที่กำแน่นและไหล่ที่สั่นรู้สึกเจ็บขึ้นมา
“ทำไม ทำไมถึงทำแบบนี้เล่า! ข้ายังมิได้ทำอะไรเลยนะขอรับ!”
ไม่มีทางอ่ะ มันต้องมีอะไรสิไม่งั้นจะหนีทำไม ราธบันออกคำสั่งราวกับมิได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม
“ค้นตัว”
“ขอรับ!”
เหล่าอัศวินแห่งวิหารที่ยืนอยู่ด้านข้างราธบันเข้ามาค้นตัวชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าพวกเขาก็เจอถุงขนาดใหญ่มากถุงหนึ่งอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่ม เมื่อเหล่าอัศวินเปิดถุงใบนั้นออกดูก็พบหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในนั้น
มันไม่ใช่หนังสือทั่วไป ดูจากหนังปกคุณภาพสูงและของตกแต่งอันหรูหราแล้ว มันคือหนังสือที่ใช้ในพิธีซึ่งมีบทสวดภาวนาถูกเขียนไว้เป็นแน่ และแน่นอนว่าหนังสือดังกล่าวมิใช่ของที่คนทั่วไปจะพกติดตัวได้
“ตายแล้ว นั่นมัน…”
“นั่นไม่ใช่พระคัมภีร์ของวิหารหรอกหรือ?”
ผู้คนรอบข้างกระซิบกระซาบกันเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของหนังสือที่เผยออกมา ราธบันรับหนังสือเล่มนั้นจากเหล่าอัศวิน หลังจากตรวจดูจนทั่วเขาก็เดินมาตรงหน้าชายผู้นั้นแล้วกล่าว
“นี่เจ้ากล้าลักลอบเอาสิ่งของของวิหารไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน”
โทสะที่ไม่เก็บซ่อนแทรกซึมออกมาจากน้ำเสียงของราธบัน
“ลากตัวไป”
เหล่าอัศวินที่จับชายผู้นั้นอยู่ค้อมศีรษะเมื่อได้ยินคำสั่งแสนเย็นชา จากนั้นก็ลากชายหนุ่มไปทันที ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าหากปล่อยไปเช่นนี้คงไม่อาจหลีกพ้นความผิดร้ายแรง จึงได้ตะโกนไปทางราธบันอย่างสุดชีวิต
“ข้าผิดไปแล้ว! ได้โปรดยกโทษให้ข้าสักครั้งด้วย! ได้โปรด! ท่านราธบัน!”
แม้ชายที่กำลังถูกลากไปจะตะโกนใส่ราธบันสุดเสียง แต่ราธบันกลับมองชายหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชาที่ไม่แม้แต่จะกระดิกขนคิ้ว ในมือของราธบันถือพระคัมภีร์ของวิหารราวกับมันเป็นของล้ำค่ามาก ชั่วขณะที่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของเขา ฉันก็เกิดความรู้สึกเหมือนมีอะไรมากวนใจทันที
‘เป็นเรื่องแล้ว’
ภาพของกริชไคร์ลเรสพลันแวบผ่านในหัว
‘ถ้าราธบันรู้ว่าฉันให้มันไปเป็นค่าตอบแทนแก่ชายที่ไม่รู้กระทั่งชื่อล่ะก็…’
ฉันสัมผัสได้ว่าแผ่นหลังกำลังมีเหงื่อไหล จนถึงตอนนี้ฉันคิดอย่างคลุมเครือว่าจะต้องพยายามเพื่อตามหาทรัพย์สมบัติชิ้นนั้นกลับมา หากหาไม่เจอก็แต่งเรื่องและยืดเวลาไปเสียก็สิ้นเรื่อง ทว่าตอนนี้พอได้เห็นท่าทีของราธคบันที่ปฏิบัติต่อสิ่งของของวิหารมันก็ชัดเจนขึ้น ฉันจะต้องตามหากริชไคร์ลเรสกลับคืนมาให้ได้เดี๋ยวนี้
พอความวุ่นวายสงบลง ผู้คนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ฉันมองดูราธบันแล้วหมุนตัวกลับ ก่อนจะปะปนไปกับฝูงชน หัวใจที่เต้นระรัวเมื่อครู่ก่อนสงบลงไปนานแล้ว ฉันแบกรับความรับผิดชอบอันแสนยิ่งใหญ่และก้าวเดินออกจากวิหารหลวง
***
“…?”
ราธบันสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมาทางเขาจึงหันศีรษะกลับไป เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยจากที่ไหนสักแห่ง เขากวาดสายตามองรอบๆ เพื่อหาว่าใครกันแน่ที่จ้องมองมาที่เขา ทว่าก็ไม่มีสายตาที่สบกัน เห็นเพียงภาพของผู้คนที่หยุดยืนเมื่อครู่กำลังเคลื่อนไหวเพื่อออกไปจากวิหารหลวงเท่านั้น
ในสายตาของราธบันที่ปราดตามองกลุ่มคนเหล่านั้น มีคนผู้หนึ่งที่สะดุดตา อาจเพราะกำลังรีบร้อน คนผู้นั้นถึงได้เบียดฝ่าผู้คนและออกจากวิหารหลวงไป
คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมและใส่ฮู้ดอย่างมิดชิดจึงทำให้อย่าว่าแต่ใบหน้าเลย กระทั่งเพศก็ยังไม่อาจล่วงรู้ แต่ไม่รู้ทำไมราธบันถึงได้รู้สึกเหมือนต้องตะโกนเรียกคนผู้นั้นไว้ ในขณะที่คิดเช่นนั้นและกำลังจะก้าวเท้าไป อัศวินผู้หนึ่งก็เอ่ยเรียกเขา
“หัวหน้า! ตอนนี้ก็จับผู้สมรู้ร่วมคิดได้แล้วขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ? นำตัวคนผู้นั้นไปหน่วยอัศวินเสีย”
ขณะที่ราธบันหันกลับไปมองทางผู้คนอีกครั้งหลังจากออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว ภาพของคนที่สะดุดตาเขาก็หายไปแล้ว อัศวินเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของราธบัน
“ตามหาใครอยู่หรือขอรับ?”
“…”
ราธบันย้อนนึกถึงสายตาที่เขาสัมผัสได้เมื่อครู่ก่อนโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยจริงๆ สายตาของราธบันมองดูมือของตน มือที่ตอนนี้เนียนเรียบไม่หลงเหลือบาดแผลใดๆ ใบหน้าของราธบันขึ้นสีแดงในชั่วพริบตา บางทีอาจเป็นเพราะบาดแผลหายไปเพราะนักบุญหญิง หรือไม่ก็เพราะความขุ่นเคืองใจในตัวนาง
‘บ้าไปแล้ว’
ดูอย่างไรก็เหมือนตนจะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นี่เขาถึงกับนึกถึงนักบุญหญิงเมื่อได้มองคนที่เดินผ่านไปอย่างนั้นหรือ หลังจากซุกมือใต้ชุดเครื่องแบบราวกับเขินอาย ราธบันก็ปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วแล้วหมุนตัวกลับ ทว่าสายตาก็ยังเอาแต่หันไปด้านหลังอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ทำไมเรื่องที่เขาไม่ได้จับคนที่เห็นเมื่อครู่ก่อน ถึงได้ขีดข่วนสักแห่งในใจของเขาด้วยความไม่สบายใจอยู่เรื่อย
***
ฉันมองเห็นจัตุรัสที่แสนอึกทึกครึกโครม มีคนกำลังนั่งพักผ่อนอยู่รอบน้ำพุที่กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงอยู่ตรงกลางจัตุรัส คนที่กำลังขยับผีเท้าอย่างเร่งรีบ และร้านขายของที่ยังคงเปิดไฟสว่างโล่ทั้งที่เป็นเวลาดึกแล้วตั้งเรียงรายเป็นแถว
บรรยากาศของจัตุรัสที่เอะอะเจี๊ยวจ๊าวและมีชีวิตชีวาต่างจากวิหารหลวงที่เงียบสงบอยู่เสมอเป็นภาพของโลกใบนี้ที่ฉันอยากเห็นถึงเพียงนั้น ทว่าตอนนี้ฉันกลับไม่มีเวลาว่างที่จะดื่มด่ำภาพบรรยากาศนั่น
“ตรอกอาร์เบลอยู่ไหน…”
ฉันเดินตามหาที่นั่นทันทีที่ออกมาจากวิหารหลวง โชคดีที่บนอาคารของเมืองแห่งนี้ซึ่งอยู่ติดกับวิหารหลวงมีชื่อเขียนเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะเดินหาอย่างไรฉันก็ยังไม่เห็นชื่อที่เขียนว่าอาร์เบลเลย สุดท้ายก็เอ่ยถามผู้คนที่เดินผ่านไป ทว่าพวกเขาต่างก็ส่ายศีรษะด้วยสีหน้าราวกับเพิ่งเคยได้ยินชื่อตรอกนั้นเป็นครั้งแรก
‘แน่ล่ะ…ดูจากในนิยายแล้ว ที่นั่นเป็นสถานที่ที่มีเพียงคนที่รู้เท่านั้นที่จะไป…’
ฉันนั่งลงบนม้านั่งในมุมของจัตุรัสแล้วทุบเท้าที่ปวดหนึบ แม้ว่าจะพยายามสะบัดมันทิ้งไปแต่สีหน้าและน้ำเสียงของราธบันที่เห็นโจรขโมยหนังสือก็ยังไม่หลุดออกจากหัว ฉันย้อนนึกถึงรูปลักษณ์ที่เฉียบขาดและเยือกเย็นกับภาพของดาบที่อยู่ตรงเอวของเขา
“อนาคตอาจจะเปลี่ยนไป…แต่ดูเหมือนจะไปในทางที่แย่ลง…”
ฉันพึมพำออกไปแบบนั้นอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนหินก้อนใหญ่ที่กดทับหน้าอกกำลังขยายใหญ่ขึ้น ฉันทุบขาที่คลายตัวอีกเล็กน้อยก่อนจะขยับตัว ฉันควรเอาเวลาที่นั่งพักอยู่แบบนี้ไปเดินสำรวจอีกสักหน่อย ให้คุ้นเคยที่ภูมิประเทศของที่นี่และตามหาว่าตรอกอาร์เบลอยู่ที่ไหน
ฉันคิดแบบนั้นพลางมองไปยังถนนที่เชื่อมกับข้างจัตุรัส แม้มองเพียงแวบเดียว แต่ก็เห็นถนนที่มีร้านค้าที่ดูแพงและโออ่ามากตั้งเรียงรายต่างจากถนนเส้นอื่น รถม้าที่จอดอยู่ด้านหน้าร้านค้าเหล่านั้นก็ทั้งหรูหราและใหญ่โต
ไม่นานก็มีหญิงสาวที่ดูมีเงินเยอะเดินออกมาจากร้านค้าร้านหนึ่ง ด้านข้างของนางมีชายหนุ่มรูปงามกำลังยิ้มพลางพูดสนับสนุนคำพูดของนาง
ไม่ช้าทั้งสองคนก็ขึ้นรถม้าและจากไป ชายหนุ่มรอบข้างต่างก็จ้องมองไปราวกับอิจฉาเมื่อเห็นภาพนั้น
“…!”
ฉันกัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้ส่งเสียงหลังจากมองดูเหล่าชายหนุ่มอย่างตั้งใจ
‘เป็นชายคนนั้น!’
หนึ่งในชายที่จ้องมองราวกับอิจฉา มีชายหนุ่มที่ได้รับกริชไคร์ลเรสไปจากอีเบลลีน่าอยู่!
“ช่วงนี้ไอ้เจ้านั่นมันสบายดีเสียจริง น่าอิจฉานะเนี่ศย?”
ใครบางคนมองรถม้าและบ่นพึมพำขึ้น สีหน้าของชายหนุ่มที่ได้รับกริชไปพลันเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว
“เฮอะ จะได้สักกี่วันเชียว คารมของมันแรกๆ ก็คงน่าฟังแต่ไม่นานก็คงเบื่อ? เดี๋ยวก็ถูกทิ้งแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้เหล่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างหัวเราะคิกคักคล้ายว่าสนุกสนานก่อนจะพูดขึ้น
“ใช่สิ เหมือนกับเจ้าอย่างไร เห็นว่างับบ่อเงินดีๆ ได้แล้ว แต่พอหลับนอนกันไปเพียงหนึ่งครั้งก็ถูกทิ้งเสียนี่? อีกทั้งของที่ได้มายังเป็นแค่กริชราคาถูก แม้จะมีพลอยตกแต่งมาด้วย แต่พูดตามตรงนะ แค่ของชิ้นนั้นจะไปทำอะไรได้”
…ดูเหมือนว่าบ่อเงินดีๆ ที่เขาพูดจะหมายถึงฉัน ไม่สิ หมายถึงอีเบลลีน่าเป็นแน่ ชายหนุ่มที่รับกริชไปพลันนิ่วหน้าเมื่อได้ฟังคำของผู้อื่น จากนั้นก็หมุนตัวกลับและเดินไปที่ไหนสักแห่ง ชายหนุ่มเหล่านั้นเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็หัวเราะเย้ยหยันก่อนจะพากันเข้าไปในร้านค้าร้านอื่นในไม่ช้า
พอกลุ่มชายหนุ่มหายไป ฉันก็ไล่ตามหลังเขาไปทันที แม้กังวลว่าชายหนุ่มอาจจะรู้สึกตัวได้เพราะเพิ่งเคยทำอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่พอเห็นเขาเอาแต่เดินพ่นคำด่าและถุยน้ำลาย ดูเหมือนคงจะไม่มีสติมาใส่ใจรอบข้าง
ระหว่างที่เดินตามเขาไปเรื่อยๆ ภายในหัวของฉันก็กำลังหมุนวนอย่างไม่มีสติ
‘ทำยังไงดี? ชวนคุยเหรอ? ควรถามไหมว่าเขาเอากริชไปไว้ที่ไหน? ถ้ายังอยู่กับตัวขอคืนได้ไหม? แต่เขาจะยอมคืนให้อย่างมีมารยาทเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเกิดเขาทิ้งไปจนหาไม่เจอแล้วจะทำยังไง?’
ขณะที่กำลังลังเลว่าควรทำอย่างไรดี ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ข้างอาคาร
‘ถ้าตามเข้าไปในตรอกแบบนี้คงถูกจับได้แน่’
ด้วยเพราะมันเป็นสถานที่ที่แคบและไม่ค่อยมีร่องรอยของผู้คน ฉันจึงไม่ได้ตามเข้าไปและสังเกตดูว่าชายหนุ่มว่าเข้าไปในประตูบานไหนภายในตรอก ไม่นานชายคนนั้นก็หายไป ขณะที่กำลังยืนยันว่าที่นั่นคือที่ไหน ฉันก็เห็นป้ายของร้านค้าซึ่งดูเหมือนปิดกิจการมานานแล้วที่อยู่ตรงปากทางเข้าตรอก
อาร์เบล