ป้ายที่เก่าจนแทบจะอ่านไม่ออกเขียนไว้แบบนั้น
‘ที่นี่คือตรอกอาร์เบล!’
สถานที่ที่ชายหนุ่มบอกว่าจะนำกริชมาขาย แม้ไม่รู้ว่าที่นี่มีกริชอยู่จริงหรือไม่ แต่ก็เป็นสถานที่ที่มีความเป็นไปได้ในการตามหามากที่สุด ฉันพิจารณาดูด้านในตรอก และเดินตรงไปที่ประตูที่ชายหนุ่มเข้าไป
ที่นั่นเป็นร้านค้าที่ไม่มีป้าย ด้านล่างประตูไม้ที่ทรุดโทรมผุกร่อนจนห้อยต่องแต่งและกระจกของหน้าต่างแสดงสินค้าเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าถูกละเลยมานานเพียงไหนถึงได้มีฝุ่นและขี้เลนกระเซ็นจนทำให้มองไม่ออกว่ามีอะไรอยู่ด้านใน
อีกทั้งสิ่งของต่างๆ ที่อยู่อีกฟากนั้น ยังมิใช่ว่าถูกจัดแสดง แต่กลับกองสุมกันอย่างเละเทะราวกับโยนเข้าไปลวกๆ แม้เรียกแบบดีๆ ว่าคือสิ่งของ แต่อันที่จริงล้วนมีแต่ของที่ดูไม่ต่างจากเศษขยะ
“ขายถูก…?”
หลังจากพึมพำคำที่เขียนอยู่ในกระดาษสีเหลืองซีด สายตาของฉันก็เห็นของที่กระจัดกระจายอยู่ด้านข้างกระดาษนั่น
“อยู่นั่น!”
ฉันพูดขึ้นมาเสียงดังโดยไม่รู้ตัว
อีกฟากหนึ่งของกระจกสกปรกมีกริชไคร์ลเรสอยู่!
ฉันตรวจสอบคนด้านในบานกระจกอย่างรวดเร็ว เพราะไม่เห็นทั้งตัวของชายหนุ่มที่เข้าไปด้านใน และสัมผัสไม่ได้ถึงเสียงของเจ้าของร้าน ฉันจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้บานกระจกอีกนิดและพิจารณากริชที่อยู่ในนั้น มองแล้วมองอีกอยู่หลายครั้งก็มั่นใจได้ว่าคือกริชไคร์ลเรสจริงๆ สิ่งที่ต่างจากรูปร่างที่เห็นในความทรงจำมีเพียงพลอยตกแต่งตรงปลายที่หายไปเท่านั้น
‘เป็นอย่างที่คิด…หลังจากขายพลอยแล้วเขาคงจะมอบมันไปในราคาถูกๆ’
โชคดีที่ดูเหมือนว่ามูลค่าของกริชเล่มนี้จะไม่ถูกล่วงรู้ เพราะหากรู้มันคงไม่อยู่ในที่แบบนี้ แต่ต้องถูกเก็บอย่างล้ำค่าอยู่กับเชื้อพระวงศ์ของประเทศไหนสักแห่งหรือไม่ก็คฤหาสน์ของตระกูลชนชั้นสูง
แม้จะมีความสามารถที่ช่วยสะท้อนความเสียหายที่ได้รับกลับไป แต่เพราะมันทำขึ้นจากกระดูกของปีศาจ มันจึงมีความสามารถที่ช่วยทำให้เหล่าปีศาจตัวอื่นนึกว่าผู้ครอบครองเป็นพวกเดียวกันอยู่ครู่หนึ่งด้วยเช่นกัน หากเป็นผู้คนในประเทศที่อยู่พรมแดนของทวีปซึ่งหวาดกลัวปีศาจล่ะก็ กริชไคร์ลเรสถือเป็นสิ่งของที่พวกเขาอยากมีไว้ในครอบครองไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
‘แต่ว่าไปแล้วจะทำยังไงกับมันดี? เข้าไปแล้วบอกว่าจะซื้อมันได้ไหมนะ?’
ขณะที่กำลังตรวจดูว่ามีป้ายราคาติดอยู่หรือไม่ ฉันก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านในร้าน พอเห็นเงาจากอีกฟากของกระจกว่ากำลังมีใครบางคนเดินมา ฉันก็รีบเดินเข้าไปในส่วนลึกของตรอกแล้วแอบซ่อนตัว ประตูไม้เก่าส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดก่อนจะเปิดออกอย่างแรง ชายหนุ่มที่เข้าไปก่อนหน้าตะเบ็งเสียงขณะเดินออกมา
“เดี๋ยวไว้ข้ามาใหม่!”
หลังจากพูดแบบนั้น ชายหนุ่มก็ถุยน้ำลาย ชายที่ลักษณะดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้านเดินตามเขาออกมาจากด้านในนั้น ก่อนจะกอดอกด้วยสีหน้าไม่รีบเร่งพลางจ้องมองเขา
“คราวก่อนเจ้าก็พูดแบบนี้ก่อนกลับไป เอาเป็นว่าแม้แต่พุน[1]เดียวข้าก็ให้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้ามีเวลามาที่นี่ เจ้าก็ออกไปที่ถนนแล้วลองทำตัวน่ารักๆ ใส่คุณหนูที่ดูมีเงินสักครั้งเสียสิ ใครจะไปรู้? อาจจะจับบ่อเงินที่ไม่เลวแบบคราวที่แล้วได้อีกก็ได้”
คำพูดกลั้วหัวเราะของเจ้าของร้านทำให้ชายหนุ่มถุยน้ำลายอย่างหยาบคายอีกครั้งก่อนจะออกจากตรอกไป เจ้าของร้านมองดูเขาผู้นั้นพลางเดาะลิ้นและทำท่าจะปิดประตูกลับเข้าไป ฉันรีบเดินไปหาเจ้าของร้านอย่างรวดเร็วหลังจากตรวจสอบแล้วว่าชายคนนั้นจากไปแล้ว
“อะ อะไร!”
เขาระวังตัวเมื่อเห็นฉันที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ไม่รู้เพราะคิดว่าฉันเป็นคนที่ตนสามารถกดขี่ได้หรืออย่างไร สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเอื่อยเฉื่อยในทันที
“มีของจะขายหรือไม่? ใครแนะนำมา”
ฉันชี้ไปที่กริชซึ่งอยู่อีกฟากของกระจกแล้วเอ่ยถามเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าของร้าน
“สิ่งนั้นเท่าไร”
“อะไรกัน…คงไม่ใช่ว่ามาเพื่อซื้อมันหรอกนะ?”
คำถามของฉันทำให้เจ้าของร้านมีสีหน้าประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงห้วน
“อืม กริชเล่มนั้น? เอาแค่ห้าสิบเดียร์พอ”
ห้าสิบเดียร์คือราคาของเหรียญกษาปณ์ทองครึ่งเหรียญ ฉันพกเหรียญกษาปณ์ทองมาหลายเหรียญ ดังนั้นการจ่ายให้เท่านั้นจึงไม่ใช่ปัญหา ขณะที่คิดแบบนั้นและกำลังจะตอบรับ
“ห้าสิบเดียร์อย่างนั้นหรือ นั่นมันมากไปหน่อยนะ?”
น้ำเสียงที่ฉันรู้จักดังขึ้นจากด้านหลัง
“…!”
ร่างกายพลันถูกแช่แข็งเมื่อได้ยินเสียงนั้น พระเจ้าช่วย เป็นไปไม่ได้ ได้อย่างไรกัน…
ฉันค่อยๆ หมุนตัวกลับไปมองด้านหลัง ที่นั่นมีชายที่สวมฮู้ดอย่างมิดชิดเหมือนกับฉันยืนอยู่ นัยน์ตาสีฟ้าที่มองฉันจากใต้ฮู้ดนั่นกำลังเป็นประกายเต็มไปด้วยความสนใจ
‘ทำไมองค์ชายรัชทายาทถึงมาอยู่ที่นี่’
หากไม่ใช่เพราะมีเจ้าของร้านอยู่ ฉันคงกรีดร้องไปแล้ว ทันทีที่ฉันอ้าปากพะงาบๆ และไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ องค์ชายรัชทายาทก็เข้ามาใกล้ ก่อนจะดึงไหล่ฉันเข้าไปกอดในอ้อมอกของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็กระซิบสั้นๆ เสียงเบา
“ทำตามข้านะ”
ทำตามเขา? หมายความว่าอย่างไร?
พอฉันมองไปที่เขาเพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกันแน่ องค์ชายรัชทายาทก็หันไปพูดกับเจ้าของร้านอีกครั้ง
“คุณหนูของข้า แม้มองตรงๆ จะดูอ่อนต่อโลกแต่ราคาห้าสิบเดียร์ต่อกริชหนึ่งอันนี่มันจะไม่มากไปหน่อยหรือ? นี่จะต่างอะไรกับโจรกัน ของที่มาโยนไว้ที่นี่ก็ไม่ต่างไปจากเศษขยะเลยแท้ๆ กล้าดีอย่างไรถึงได้คิดจะเก็บเงินถึงห้าสิบเดียร์?”
องค์ชายรัชทายาทที่พรั่งพรูคำพูดออกมาเช่นนั้น ยังพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่โอ้อวดต่างจากปกติกับเจ้าของร้านต่อไป
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูของข้ามีความปรารถนาที่จะมาลองซื้อของในที่แบบนี้ดูสักครั้ง ก็คงจะพากลับไปแล้วแท้ๆ… คุณหนู กริชแบบนั้นมันเก่าแล้ว ใช้ก็ไม่ได้แล้วขอรับ ห้าสิบเดียร์อย่างนั้นหรือ ห้าสิบเดียร์ก็แพงขอรับ เรากลับกันเถิด”
หลังจากพูดแบบนั้น องค์ชายรัชทายาทก็จับมือฉันลากไป
“ดะ เดี๋ยวก่อน…ข้า!”
กลับไปไม่ได้นะ! เกือบจะได้กริชไคร์ลเรสมาแล้วเชียว ทำไมจู่ๆ ถึงได้โผล่มาขัดขวางกันเล่า! ขณะที่ฉันบิดตัวเพื่อดึงมือที่เขาจับอยู่สุดแรง องค์ชายรัชทายาทก็ยืนหันหลังให้เจ้าของร้านและจ้องมองฉัน ทันทีที่สายตาประสานกัน เขาก็ขยิบตาข้างหนึ่งพลางยิ้ม
ขณะที่ฉันกำลังจะโมโหเพราะท่าทีสบายๆ ของเขา
“เดี๋ยวก่อน!”
น้ำเสียงรีบร้อนของเจ้าของร้านก็ดังขึ้น
***
“ซื้อมาได้ในราคาห้าเดียร์…”
ผ่านไปสักพัก หลังจากที่เข้ามาอยู่ในซอกหลืบของอาคารไหนสักแห่งที่ห่างจากตรอกอาร์เบลระยะหนึ่ง ฉันก็มองดูกริชไคร์ลเรสที่ถืออยู่ในมือและอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา องค์ชายรัชทายาทมองฉันผู้นั้นก่อนจะยักไหล่เบาๆ
“ถ้าต่อรองอีกสักหน่อย คงซื้อได้ในราคาสามเดียร์ด้วยซ้ำ?”
“…”
หรือก็คือ เจ้าของร้านซื้อมันมาในราคาที่ต่ำกว่าสามเดียร์อีก พอคิดได้แบบนั้น ฉันถึงตระหนักได้ว่าเจ้าของร้านขายมันให้ฉันแพงขนาดไหน
‘ฉันก็เคยคิดว่าดูอ่อนต่อโลกแต่…’
ฉันรู้แล้วว่าความคิดที่ว่าอย่างมากที่สุดเขาก็คงขายแพงขึ้นกว่าเดิมแค่สองสามเท่ามันเป็นความเข้าใจผิดที่ใหญ่หลวงแค่ไหน รวมถึงเรื่องที่ฉันไม่มีความรอบรู้ในโลกฝั่งนี้เลยแม้แต่น้อยจริงๆ
‘อย่างไรก็ได้กริชกลับคืนมาแล้ว’
พอคิดแบบนั้น ร่างกายที่เป็นกังวลถึงได้หายใจหายคอได้ ในที่สุดใบหน้าแสนน่ากลัวของราธบันที่ได้เห็นก่อนออกมาก็หายไปจากหัวของฉันสักที เป็นเพราะรู้สึกปลดเปลื้องที่คิดว่าเขาคงไม่หันดาบมาหาฉันเพราะกริชเล่มนี้แล้ว
ฉันเก็บกริชลงในกระเป๋าด้านในเสื้อคลุมอย่างให้ความสำคัญ ก่อนจะเอ่ยถามองค์ชายรัชทายาท
“…ว่าแต่องค์ชายรัชทายาทมีเรื่องอะไรในที่แบบนี้หรือเพคะ? แล้วก็มาพบข้าได้…”
เขาพูดขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าองค์ชายรัชทายาท
“อยู่ที่นี่เรียกข้าว่าเลออนเถิด อย่างไรบนแผ่นดินนี้ก็มีคนชื่อเหมือนข้าอีกนับหมื่นคนคงจะไม่มีปัญหา ทว่าท่านนักบุญหญิง…”
“…”
ฉันรู้ บางทีชื่ออีเบลลีน่าคงมีเพียงแค่ฉันคนเดียว เพราะผู้คนจะเปลี่ยนชื่อของตนเองเมื่อนักบุญหญิงคนใหม่ปรากฏตัวขึ้น เพราะฉะนั้นหากเอ่ยเรียกชื่ออีเบลลีน่าก็เหมือนกับเอ่ยเรียกนักบุญหญิง องค์ชายรัชทายาทมองสีหน้าวุ่นวายใจของฉันแล้วกล่าว
“…ข้าจะเรียกท่านว่าลีน่า แม้เป็นชื่อที่มีอยู่ทั่ว แต่มันก็เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชื่อท่านนักบุญหญิงเช่นกัน เพราะฉะนั้นช่วยยกโทษให้การเสียมารยาทนี้ด้วย”
ฉันทำได้เพียงพยักหน้าช้าๆ ให้องค์ชายรัชทายาทที่ส่งสายตาราวกับถามว่า ‘โอเคเลยใช่ไหม?’ ขณะพูดแบบนั้น
‘ไม่มีเหตุผลอะไรให้โต้แย้งอยู่แล้ว’
“ถ้างั้น ท่านลีน่า ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดในเวลาแบบนี้ ท่านถึงได้มาอยู่ในที่แบบนี้ได้?”
“คือว่า…”
“ยิ่งกว่านั้น กริชนั่น…ไม่สิ ช่างเถิด ไม่ถามเรื่องที่ลำบากใจที่จะตอบกันดีกว่า ทว่าการที่ท่านออกมาที่นี่คนเดียวแบบนี้ ผู้บัญชาการราธบันมัวแต่ทำอะไร…ไม่สิ ถ้าออกมาด้วยมันก็น่ารำคาญ…”
องค์ชายรัชทายาทพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เล็กลงเรื่อยๆ พลางลูบหน้าตนเอาซ้ำๆ เสียงบ่นอู้อี้พร้อมกับชื่อของราธบันดังออกมาจากปากของเขาอีกหลายครั้ง ก่อนที่องค์ชายรัชทายาทจะหยุดบ่น ท่าทางแบบนั้นขององค์ชายรัชทายาททำให้ฉันระบายยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ก่อนจะค้อมศีรษะเล็กน้อยและกล่าวลา
“ขอบคุณที่วันนี้ช่วยข้าเอาไว้ เช่นข้าขอลา…”
แม้จะเป็นสถานการณ์ที่เหมือนคราวก่อนที่ฉันใช้ประโยชน์องค์ชายรัชทายาทเสร็จแล้วจากไป แต่ฉันก็ควรจะออกไปจากที่นี่ก่อน ขณะที่หมุนตัวกลับและกำลังจะขยับฝีเท้าอย่างรวดเร็ว ฉันก็ตระหนักได้ถึงปัญหาข้อใหญ่
“…เอ๋?”
ขณะที่ออกมาจากตรอกอาร์เบล ฉันก็เอาแต่สนใจกริชไคร์ลเรส จนกระทั่งทำเพียงเดินตามองค์ชายรัชทายาทที่ลากมา เลยทำให้ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน
แน่นอนว่าจากตรงนี้ก็สามารถมองเห็นกำแพงสูงสีขาวของวิหารหลวงได้ แต่ฉันไม่รู้เลยว่าต้องเดินไปที่ไหนจึงจะไปทางประตูใหญ่ และต้องใช้เส้นทางไหนจึงจะไปจนถึงประตูใหญ่นั่นได้ ขณะที่ฉันยืนงงงันอยู่บนถนนแบบนั้นก็มีรถม้าคันหนึ่งผ่านหน้าฉันเสียงดังกุกกักอย่างรวดเร็ว ซ่าเสียงดังขึ้นพร้อมกับน้ำโคลนที่ขังอยู่บนพื้นสาดกระเซ็น
“…!”
ดวงตาปิดลงตามสัญชาตญาณ แต่เวลาผ่านไปสักพักแล้วฉันก็ยังไม่รู้สึกอะไร เมื่อลืมตาขึ้นอย่างระมัดระวังก็เห็นองค์ชายรัชทายาทมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เสื้อของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำโคลน
“องค์…!”
“เลออน”
เขาพูดตัดคำของฉันที่จะเอ่ยเรียกว่าองค์ชายรัชทายาทอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปัดน้ำโคลนที่เปื้อนอยู่บนเสื้อของตนราวกับมิใช่เรื่องใหญ่ ผมสีบลอนด์ทองของเขาที่อยู่ใต้ฮู้ดและใบหน้าที่เผยออกมาเล็กน้อยเต็มไปด้วยน้ำสกปรกเช่นกัน เขาสะบัดเส้นผมและเช็ดใบหน้าด้วยแขนเสื้อราวกับไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญต่างจากที่ฉันคิดว่าเขาจะหงุดหงิด ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าขวยเขิน
“ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องมาเห็นสภาพที่ไม่เรียบร้อย”
เขาพูดราวกับเขินอายที่ตนหันหลังหลบไม่ทันจนถูกน้ำโคลนกระเซ็นใส่โดยตรง ทั้งที่หากเขาไม่มาขวางหน้าฉันก็คงปลอดภัยดี ฉันมองเขาขณะเอ่ยถาม
“…ท่านมาขวางหน้าข้าทำไมกัน”
ฉันไม่ได้ถามเพราะสงสัย แต่ถามเพื่อต้องการยืนยันให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น องค์ชายรัชทายาทระบายรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำถามของฉัน เขายื่นมือมาแทนคำตอบ จากนั้นก็ปัดบนฮู้ดที่ปกปิดใบหน้าของฉันอย่างนุ่มนวล หยดน้ำโคลนสองสามหยดกระเด็นลงมา
“…คิดว่าจะกันได้หมดเสียอีก แต่เหมือนจะไม่ใช่เสียแล้ว”
พูดจบ เขาก็เก็บมืออย่างเชื่องช้าราวกับเสียดาย
“คราวหน้าข้าจะขวางให้ดี”
“…”
“จะไม่ทำให้ท่านต้องแปดเปื้อนสิ่งสกปรกแม้แต่น้อย”
นั่นไม่ใช่ประโยคที่สื่อถึงความคาดหวัง แต่มันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ความมั่นใจที่จะป้องกันฉันจากสิ่งสกปรกทั้งปวงให้สมบูรณ์แบบในคราวหน้าจริงๆ คำพูดแบบนั้นขององค์ชายรัชทายาททำให้ฉันรู้สึกเสียใจที่เมื่อครู่ก่อนเอ่ยถามเพื่อทดสอบเขา
คนผู้นี้ชอบฉันมากกว่าที่ฉันคิด
ทันทีที่ตระหนักได้ อารมณ์และความคิดหลากหลายอันยุ่งเหยิงก็โหมกระหน่ำภายในฉันอีกครั้ง ฉันย้อนนึกถึงอุปนิสัยของเขาที่ได้อ่านในหนังสือ องค์ชายรัชทายาทผู้ไม่เลือกหนทางและวิธีการใดๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ เขาไม่ลังเลที่จะโกหกอย่างหน้าไม่อายโดยไม่ทำให้ตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากอีกฝ่ายและทำให้ประมาท
เพราะฉะนั้นฉันจึงคิดว่าความสนใจและความชื่นชอบที่ดูเหมือนจะมีให้ฉันผู้เป็นนักบุญหญิงคงเป็นหนึ่งในแผนการเพื่อกำราบวิหารหลวง ทั้งยังมีความปรารถนาในความสุขทางกายที่เขาพึงพอใจด้วย
ทว่าท่าทีของเขาที่พูดอย่างอับอายเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้กลับไม่พบจุดมุ่งหมายอื่นเลย
แน่นอนว่าคนที่ทำเพียงเฝ้าสังเกตุแต่ผู้คนที่กักตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างฉันก็อาจจะถูกองค์ชายรัชทายาทผู้ผ่านเรื่องราวมากมายมาหลอกได้
‘แต่ว่า…’
ฉันยื่นมือไปทางใบหน้าของเขา มองเห็นเขาที่ยิ้มอยู่จนถึงครู่ก่อนตัวเกร็งขึ้นมาทันใด ท่าทีแบบนี้ก็ถูกคำนวณไว้เหมือนกันเหรอ?
ปลายนิ้วสัมผัสใบหน้าของเขาที่มีทรายติดอยู่ ฉันใช้แขนเสื้อของตนเช็ดรอยที่เหลืออยู่บนหน้าเขา
“ขอบคุณนะคะ”
หลังจากพูดแบบนั้นและลังเลเล็กน้อย ฉันก็เอ่ยกับเขาอีกครั้ง
“…เลออน”
เพียงแค่เอ่ยเรียกชื่อเท่านั้น แต่บนใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มสดใสที่ต่างจากรอยยิ้มก่อนๆ ที่เคยเห็นจนถึงตอนนี้โดยสิ้นเชิง
***
“ว้าว…”
ฝีเท้าของฉันที่ขยับตามองค์ชายรัชทายาทหยุดลงตรงหน้าร้านค้าร้านหนึ่ง ที่นั่นเป็นร้านค้าที่ขายภาพวาด แม้จะไม่ถึงขนาดแกลลอรี่ในปัจจุบัน แต่ด้านในของร้านที่ดูกว้างขวางจากอีกฟากของกระจกก็มีภาพวาดจำนวนมากแขวนไว้จนแทบไม่เห็นช่องว่างของผนัง
แม้ว่าในวิหารหลวงก็มีภาพวาดอยู่เต็มเปี่ยมเช่นกัน แต่ภาพวาดที่ขายที่นี่ต่างจากภาพวาดของวิหารหลวง หากภาพวาดที่อยู่ในวิหารหลวงส่วนใหญ่เป็นรูปของเหล่านักบุญหญิงคนก่อนๆ หรือไม่ก็ผลงานของพวกนาง รวมถึงภาพทางศาสนาที่เกี่ยวกับปาฏิหารณ์ที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินล่ะก็ ภาพวาดที่ขายที่นี่ก็เป็นภาพธรรมชาติที่งดงามและน่าอัศจรรย์ใจจากทุกที่บนแผ่นดิน และยังแฝงไปด้วยวิถีชีวิตของผู้คน
“ลีน่า สนใจภาพวาดหรอกหรือ?”
เลออนที่เข้ามาด้านข้างฉันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เอ่ยปากถาม ตอนนี้เขาไม่ใช้คำเรียก ‘ท่าน’ นำหน้าชื่อของฉันอีกต่อไปแล้ว การให้เรียกแต่ชื่อของกันและกันอย่างสบายๆ เป็นหนึ่งในเรื่องที่ฉันตกลงกับเขาระหว่างที่เดินมาจนถึงตรงนี้
ฉันโบกมือขณะมองเลออนที่หยุดยืนเพราะฉัน
“เปล่าค่ะ ก็แค่ตื่นเต้นที่ได้เห็นทิวทัศน์ที่เพิ่งได้เคยเห็นเป็นครั้งแรกเท่านั้น”
ฉันพิจารณาสีหน้าของเลออนหลังจากพูดแบบนั้น ตอนนี้ฉันล้มเลิกที่จะนับไปแล้วเพราะไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เขาต้องหยุดเดินเพราะฉัน
‘แต่มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ…’
หลังจากช่วยกันเช็ดน้ำโคลนที่เปรอะเปื้อนและพากันอมยิ้มเคอะเขินเล็กน้อย คนที่เป็นคนเปิดปากพูดก่อนคือเลออน เขาเดินนำหน้าพลางเอ่ยว่าจะนำทางกลับประตูใหญ่ของวิหารหลวงเอง ทันทีที่คิดว่าจะได้กลับวิหารหลวงอย่างปลอดภัย ภาพสิ่งรอบข้างที่ไม่ได้มองดีๆ เพราะความเครียดจนถึงเมื่อครู่ก่อนก็เข้ามาในสายตา
ภาพของเมืองที่ไม่คุ้นเคย น่ากลัวและต้องระแวดระวังจนถึงก่อนเจอกริช ตอนนี้กลับเริ่มดูน่าสนใจ น่าเพลิดเพลินและน่าสนุกสนาน ดังนั้นแม้จะคิดว่าควรตามเลออนไปไม่ให้คลาดสายตาแต่ตาก็ยังคอยมองสิ่งรอบข้างอยู่เรื่อย
โชคดีที่แม้เลออนจะเดินนำอยู่ด้านหน้าแต่ก็ยังหันกลับมาดูว่าฉันเดินตามมาหรือไม่อยู่บ่อยๆ และเพราะแบบนั้น เมื่อใดที่ฉันหยุดฝีเท้าลงชั่วครู่ เขาก็จะเดินมาตรงข้างๆ ฉันในไม่ช้าเหมือนอย่างตอนนี้
เขาจ้องมองภาพวาดที่ฉันดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว
“ที่นี่คือป่าเฮอร์เบลมันที่อยู่ทางเหนือของแผ่นดิน ข้ารู้เพราะเห็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านอยู่ตรงกลางนั่น”
“…ป่าเฮอร์เบลมัน?”
ทันทีที่ฉันพูดพึมพำถึงชื่อที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เลออนก็พยักหน้าและอธิบาย
“ใช่แล้ว แม้จะไม่ใช่ป่าใหญ่ แต่มันเป็นป่าลึกลับที่ไม่ว่าจะเข้าไปที่ไหนของป่าแต่สถานที่ที่ออกมาก็จะคือที่เดียวกัน”
คำอธิบายของเขาทำให้ฉันจ้องมองภาพวาดอีกครั้ง ภายในที่ราบทรงกลมที่โอบล้อมภูเขาสูงรอบข้างล้วนปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ตรงกลางนั่นมีต้นไม้ที่เติบโตจนสูงใหญ่ราวกับจะทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่ผู้เดียว เป็นสถานที่ที่แค่ภาพวาดก็ทำให้เกิดความสนใจ เป็นสถานที่ที่สามารถสร้างความแปลกใหม่ได้
“ข้าอยากลองไปสักวันหนึ่ง”
ถ้าอีริสปรากฏตัวและฉันต้องออกจากวิหารหลวง ตอนนั้นจะไปได้ไหมนะฉันคิดแบบนั้นพลางจดจำชื่อของป่าเฮอร์เบลมันไว้ในหัว
“ข้าจะนำทางเอง”
“อะไรนะคะ?”
“ป่าเฮอร์เบลมันเป็นที่ที่ข้าเคยไปอยู่หลายครั้ง…แต่ก็ อย่างไรที่นั่นก็คงไม่จำเป็นต้องมีคนนำทางก็ได้ เพราะแค่เตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะพบกับทางออกอยู่ดี”
เลออนกล่าวเช่นนั้นแล้วยักไหล่ราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญ นั่นทำให้ฉันพลาดโอกาสที่จะเอ่ยถามความหมายที่แฝงอยู่ในพูดที่ว่าจะนำทางให้ของเขา
‘…นี่เขาชวนให้ไปด้วยกันใช่ไหม?’
ระหว่างที่ฉันกำลังครุ่นคิด เขาก็เริ่มอธิบายภาพวาดอื่นๆ ที่แขวนอยู่ด้านข้าง สุดท้ายฉันก็ต้องฟังคำอธิบายของเขาอีกครั้งโดยที่ไม่ได้ถามความหมายที่แฝงอยู่จนถึงที่สุด