บทที่ 356: การประชุมการค้าระหว่างประเทศ (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 356: การประชุมการค้าระหว่างประเทศ (2)

ตำนานของยมโลกไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่เพียงแค่ชื่อ

ไม่มีประเทศใดในทวีปตะวันออกนอกจากจีนและฮินดู สถานที่มีตำนานเรื่องเล่าและศาสนาที่เป็นของตัวเอง นับประสาอะไรกับระบบโลกใต้พิภพที่แท้จริง และปราศจากระบบที่เหมาะสม พวกเขาจะมีสิทธิ์อะไรในอำนาจและสิทธิประโยชน์ในยมโลก ไม่ว่าจะเป็นพระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบ กระจกส่องกรรม สมุดแห่งความเป็นตาย หินสามชาติภพ ตราจ้าวนรก และวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่น ๆ?

และวัตถุศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ใด ?

พลังของสมุดแห่งความเป็นตายแพร่กระจายไปทั่วทุกดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของยมโลก ไม่ว่าจะเป็นดินแดนที่อยู่บนแผ่นดินจีน หรือกองกำลังรักษาการณ์ หรือแม้กระทั่งรัฐบริวารต่าง ๆ มันจะเผยให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นและความตายของมนุษย์ รวมถึงระยะเวลาที่เหลืออยู่และโชคชะตาที่กำลังจะมาถึง ผู้ที่อยู่ขั้นตุลาการนรกและสูงกว่าสามารถยุ่งเกี่ยวกับชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตได้ภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม

มันอาจจะฟังดูไม่เท่าไหร่ใช่หรือไม่ ?

ก็อาจจะใช่ หากเป็นเพียงแค่ยมทูตธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่กับตัวยมโลกเองเล่า ?

การสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไปจะไม่ต่างอะไรกับการดึงผ้ามาปิดตาของจ้าวนรกเอง ยมโลกจะไม่สามารถรับรู้ถึงผู้คนที่ผ่านเข้าออก หรือคาดการณ์การเกิดเหตุหายนะได้อีกต่อไป เมื่อปราศจากความช่วยเหลือจากสมุดแห่งความเป็นตาย พวกเขาจะต้องระดมยมทูตจำนวนมากเพียงใดในการจัดการกับส่วนที่สูญเสียไป ? พวกเขาต้องสร้างเมืองอีกมากเพียงใด ? ไหนจะค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลความเรียบร้อยสำหรับการมาถึงของวิญญาณตนใหม่และป้องกันไม่ให้วิญญาณพวกนั้นหลบหนีอีกเล่า ? หากมีวิญญาณขั้นตุลาการนรกหลบหนีออกจากโลกใต้พิภพของพวกเขาอย่างกะทันหันจะทำอย่างไร ?

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง กระจกส่องกรรมคือเครื่องตัดสินสุดท้ายสำหรับการกระทำตลอดทั้งชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง สมุดแห่งความเป็นตายอาจจะระบุข้อมูลที่ชัดเจนในบางเรื่อง แต่มันไม่ได้จดบันทึกทุกการกระทำของคนคนหนึ่งในตลอดทั้งชีวิตของเขาเป็นแน่ ในกรณีนี้ กระจกส่องกรรมเพียงแค่ต้องส่องแสงมาที่วิญญาณบาปเท่านั้น และรายละเอียดทุกอย่างก็จะปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน ความสามารถในการสืบสวนของมันจะสามารถช่วยลดภาระของโลกใต้พิภพได้มาแค่ไหนกัน ?!

“ท่านฉิน !” หลิวอวี้เอ่ยออกมาในทันที “สมุดแห่งความเป็นตายและกระจกส่องกรรมคอยให้การสนับสนุนรัฐบริวารมาโดยตลอด ! ท่านจะถอนการสนับสนุนพวกนั้นไปดื้อ ๆ ได้อย่างไรกัน ?!”

ฉินเย่คลี่พัดด้ามจิ้วในมือของตนและยิ้มให้กับอีกฝ่าย “แล้วฮันยาง… ยังถือว่าเป็นรัฐบริวารของยมโลกอยู่หรือไม่ ?”

หลิวอวี้กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะเงียบไป

การเจรจาระหว่างประเทศมักจะเต็มไปด้วยความพลิกผันอยู่เสมอ แม้แต่การเจรจาสมัยใหม่เองก็มักจะจบลงที่ต่างฝ่ายต่างประนีประนอมกันก่อนที่จะหาทางออกที่เป็นที่น่าพอใจสำหรับทั้งสองฝ่าย

เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับผลประโยชน์จากการเจรจามากเกินไป นั่นก็อาจจะเรียกว่าการรุกราน มากกว่าการเจรจา

ครั้งนี้ แม้ว่าฉินเย่จะได้รับผลประโยชน์เป็นหินวิญญาณ 3,600 ล้านก้อนไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาแลกไปก็คือการควบคุมข้าราชการศักดินาทั้งเจ็ดภายในคราวเดียว ! หากพวกเขายังคงจ่ายส่วยตามกฎข้อบังคับของยมโลกแห่งเก่า ยมโลกจะได้หินวิญญาณถึง 3,600 ล้านก้อนอย่างนั้นหรือ ? ไม่มีทาง ! และมันก็คงจะเป็นเพียงน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทรด้วยซ้ำ !

แต่ไม้ตายที่ฉินเย่เพิ่งหยิบออกมาจากกระเป๋าคือสิ่งที่แม้แต่หลิวอวี้และกลุ่มข้าราชการศักดินาของพวกเขาไม่ทันได้คาดคิดเอาไว้ !

“และหากท่านไม่ใช่ข้าราชการศักดินาของรัฐบริวาร เหตุใดยมโลกจึงต้องให้ความช่วยเหลือแก่ท่านด้วย ?” ฉินเย่เอ่ยด้วยเสียงฮึดฮัด ในขณะที่ผู้จดบันทึกการประชุมนับสิบที่อยู่ด้านหลังจดตามบทสนทนาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว “นอกจากนี้ โปรดทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มันไม่ใช่เพียงแค่สมุดแห่งความเป็นตายและกระจกส่องกรรมเท่านั้นที่จะถอนการสนับสนุนจากท่าน แต่มันยังรวมถึงวัตถุศักดิ์สิทธิ์และงานวิจัย รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาทั้งหมดของยมโลกอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถแบ่งปันให้รัฐบริวารที่ต้องการจะประกาศตนเป็นเอกราชรับรู้ได้เลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเราจัดการเรื่องของตัวเองเสร็จแล้ว เราจะทำการจัดตั้งกระทรวงการต่างประเทศเพื่อรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐต่าง ๆ ขึ้น”

คำพูดสุดท้ายของเด็กหนุ่มเป็นเหมือนกับใบมีดคมที่ตัดเข้าที่เส้นเลือดแดงของพวกเขา ส่งผลให้เลือดจำนวนมากพุ่งกระฉูดออกมาในคราวเดียว

มันเป็นการโจมตีที่รุนแรงจนพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงเขม่าดินปืนที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ หลิวอวี้และพวกจ้องไปที่ฉินเย่เขม็ง นี่จู่ ๆ ท่านจะหงายไพ่ออกมาแบบนี้เลยอย่างนั้นหรือ ? ท่านต้องการให้พวกข้าตอบตกลงกับสิ่งใดกัน ? เป้าหมายที่แท้จริงของท่านคืออะไร ?

หม่าฝูโปวสูดหายใจเข้าช้า ๆ “ท่านฉิน แล้วหากพวกเรายอมตกลงที่จะมอบเครื่องบรรณาการให้กับยมโลกอีกครั้งเล่า ?”

“หืม ?” ฉินเย่พัดให้กับตัวเองเบา ๆ ราวกับกำลังนึกสนุกกับคำถามที่ได้รับ “เช่นนั้น ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการแสดงความจริงใจของพวกท่าน”

หลิวอวี้จึงเอ่ยขึ้นว่า “อ้างอิงตามระบบภาษีของยมโลกแห่งเก่า รัฐจะจัดเก็บภาษี 50% จากผลผลิตในที่ดินของตน และ 20% ของภาษีจะถูกส่งมอบให้กับยมโลกตามเดิม ท่านคิดว่าอย่างไร ?”

“แน่นอนว่า…” ฉินเย่แย้มยิ้มบางก่อนจะเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่มีทาง !”

“พวกท่านเคยเป็นรัฐบริวารของยมโลก และมันก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ภาษีส่วนหนึ่งของพวกท่านจะต้องถูกส่งกลับมายังยมโลก แต่นั่นไม่ได้รวมถึงการเช่ายืมสมุดแห่งความตายและวัตถุศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ของยมโลกในภายภาคหน้า ! นอกจากนี้ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ารัฐของพวกท่านมีผลผลิตจำนวนเท่าใดในช่วงเวลานี้ ?”

“เราสามารถเปิดสมุดปกเขียวของเราให้ท่านดูได้” เกาฉางกงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าการรับมือกับจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกนั้นไม่ง่ายเลยสักนิด ในตอนที่การประชุมราชสำนักเริ่มต้นขึ้นในตอนแรก ฉินเย่รักษาใบหน้าเรียบนิ่งอยู่ตลอดเวลา และพวกเขาก็ไม่สามารถคาดเดาถึงอารมณ์ใด ๆ จากสีหน้าของเขาได้เลย และไม่นาน พวกเขาก็ถูกโต้กลับจากการกระทำของตัวเอง ตอนนี้ยมโลกได้เผยเขี้ยวเล็บของตัวเองออกมาแล้ว และพวกเขาก็พยายามจะกอบโกยผลประโยชน์ทุกอย่างที่พวกตนสามารถหาได้ !

กองกำลังทางทหารของยมโลกนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าเป็นกังวล หากพูดกันตามจริง มันมีความเป็นไปได้ที่ยมโลกจะอ่อนแอจนไม่สามารถต่อต้านกับการปะทะเพียงเล็กน้อยได้ด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้น อีกฝ่ายก็ยังสามารถหาวิธีจัดการกับพวกเขาได้ในทุกย่างก้าว มันมากจนเขาไม่ต้องการที่จะรับมือกับฉินเย่อีกเลยหากเป็นไปได้

เขารู้สึกว่าฉินเย่นั้นทั้งไร้ยางอายและน่ารำคาญอย่างไม่น่าเชื่อ

“แค่สมุดปกเขียวอย่างนั้นหรือ ? หึหึ ดูเหมือนว่าท่านเกาจะพอมีความรู้เกี่ยวกับยุคสมัยใหม่อยู่บ้างสินะ” ฉินเย่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ของตน “สมุดปกขาว สมุดปกน้ำเงิน สมุดปกเหลือง และสมุดปกเขียวคือเอกสารที่มีไว้สำหรับการโน้มน้าวผู้ถือหุ้น หรือนำเสนอรายงานของตนเองเท่านั้น หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ มันเป็นเพียงรูปแบบที่แตกต่างกันของการพูดใจความเดียวกันเท่านั้น ท่านอยากให้ข้าแสดงบรรทัดฐานของตัวเองอย่างนั้นหรือ ? ได้ เราสามารถใช้ระบบภาษีเก่าของยมโลก แต่ท่านจะต้องมอบสิทธิ์การเข้าถึงสมุดปกขาวทั้งหมดของท่าน และยอมอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของสถานทูตของเราเข้าไปในห้องเก็บเอกสารของโลกใต้พิภพของท่านด้วย”

หม่าฝูโปวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป “ท่านฉิน ท่านสามารถพิจารณาถึงเรื่องการทูตทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ของยมโลกยังเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ? มันจะไม่เป็นการคิดไปไกลเกินไปอย่างนั้นหรือ ?”

ให้ตายเถอะ นี่เรายังอยู่ในยุคสมัยของรถไฟไอน้ำอยู่นะ แต่นี่ท่านกลับคิดเกี่ยวกับการสำรวจดวงจันทร์แล้วหรืออย่างไร ?

ฉินเย่หัวเราะ

เขาลุกขึ้นยืนและโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางที่อุกอาจมากขึ้น “ข้าสามารถรับรองได้เลยว่าทันทีที่ท่านออกไปจากที่นี่ และความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองโลกใต้พิภพทั้งสองถูกจัดตั้งขึ้น คณะทูตของเราจะไปถึงตามกำหนดอย่างแน่นอน”

มันจะไม่ดีกว่าหรือที่จะรอให้จำนวนประชากรของท่านถึง 100 ล้านเสียก่อน ? เห็นได้ชัดเลยว่าฉินเย่กำลังโอ้อวดความสามารถของยมโลกมากเกินไป แม้แต่อวี๋เชียนก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากเข้าหากัน แต่ก็ยังไม่มีข้าราชการศักดินาคนใดเอ่ยอะไรออกมา

แววตาของจิวยี่ลึกล้ำมากยิ่งขึ้น แต่เขาก็ยังพัดให้ตนเองเบา ๆ ต่อไปเนื่องด้วยไม่ต้องการที่จะถูกลากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และที่สำคัญที่สุด เขาอยากรู้เกี่ยวกับฉินเย่มากกว่านี้ อยากรู้อย่างไม่น่าเชื่อ

บ้านเจ้าได้เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้ว และเขาก็พอจะได้ข้อสรุปบางอย่างแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ เขาสามารถบอกได้ว่าฉินเย่เป็นคนจำพวกที่ไม่สนใจเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

เด็กหนุ่มไม่เคยมอบคำตอบที่ชัดเจนให้กับคำขอใด ๆ ของฝ่ายหลิวอวี้ กลับกัน คำตอบที่ออกมามีเพียงคำสัญญาปากเปล่าที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ภายในอีก 50 ปี

แล้วนั่นทำให้ฉินเย่ไร้ความสามารถหรือไม่ ?

ไม่เลยสักนิด จิวยี่เองก็เคยใช้ชีวิตในแดนมนุษย์ และเขาก็เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเอกอัครราชทูตมาก่อน สิ่งที่ฉินเย่กำลังทำก็คือการบังคับให้ฝ่ายของหลิวอวี้ต้องเลือก นอกจากนี้ สิ่งที่ฉินเย่ต้องการจริง ๆ นั้นยังคงถูกซ่อนไว้ภายใต้คำพูดที่เกินจริงเหล่านี้ และมันก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

นี่อีกฝ่ายอายุไม่ถึง 20 ปีจริง ๆ น่ะหรือ ? จิวยี่หลุบตาลงและครุ่นคิดกับตัวเอง

“แล้วยมโลกต้องการสิ่งใดกันแน่ ?” หลิวอวี้ถามด้วยความอดทนอย่างมหาศาล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องมาเจรจาอะไรแบบนี้หลังจากที่ตายมาแล้ว แถมเขาเคยเจรจากับยมโลกแห่งเก่าเสียที่ไหน ?

การไม่ปฏิบัติตามหมายถึงการถูกกำจัด นั่นคือวิถีของยมโลกแห่งเก่า

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เผยรอยยิ้มจริงออกมา

นั่นแหละ

ในเมื่อท่านเป็นฝ่ายต้องการความช่วยเหลือ ท่านก็ควรจะพูดมันออกมาด้วยตัวเอง

การตัดความสัมพันธ์กับรัฐบริวารทั้งเจ็ดย่อมนำมาซึ่งความเสียหายมาให้กับยมโลกอย่างมหาศาล แต่การเก็บพวกเขาเอาไว้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลี้ยงเสือไว้ในสวนหลังบ้าน และในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการกอบโกยให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะปล่อยอีกฝ่ายไป

“ผลผลิต” ฉินเย่หุบยิ้มและเอ่ยต่อ “ผลผลิตพิเศษจากดินแดนของพวกท่านแต่ละคน ข้าจะส่งขนนกทมิฬไปทันทีหลังจากที่ท่านเดินทางออกจากที่นี่ และข้าต้องการคำตอบภายในหกเดือน พวกท่านต้องการการสนับสนุนจากสมุดแห่งความเป็นตายอย่างนั้นหรือ ? ได้ แต่นั่นต้องแลกกับผลผลิตพิเศษของพวกท่าน”

เงียบ

ครั้งนี้ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว

หลิวอวี้ลูบคางของตัวเองขณะที่ครุ่นคิดถึงคำขอดังกล่าว ในขณะที่หม่าฝูโปวกลับจ้องมองไปยังต้นไม้ประดับภายในห้องด้วยสายตาเหม่อลอย เกาฉางกงเอนหลังพิงพนักโดยยกแขนขึ้นกอดอก ในขณะที่ชากันจ้องมองฉินเย่ด้วยสายตาเย็นยะเยือก

หากเป็นหินวิญญาณยังพอคุยกันได้ !

แต่ผลผลิตเหล่านั้นคือสิ่งเดียวที่ไม่มีพวกเขาคนใดยอมประนีประนอมเด็ดขาด !

“ในเมื่อทุกท่านดูเหมือนต้องการเวลาในการพิจารณาข้อเสนอเหล่านี้ เรามาพักกันสักครู่ก็แล้วกัน” ฉินเย่มองดูเวลา “นี่ก็ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่ที่การประชุมเริ่มขึ้น “เราจะกลับมาประชุมกันอีกครั้งในอีก 20 นาที”

ทุกคนพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ทันทีที่หลิวอวี้และข้ารับใช้ทั้งสี่เดินออกมาพ้นประตูนรก พวกเขาก็ได้ยินเสียงชากันสบถออกมาอย่างหัวเสีย “ช่างเป็นคนที่เจ้าเล่ห์และลื่นไหลเสียจริง ! พวกเราทุกคนต่างเริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่เขาทำได้ดีตั้งแต่แรก แต่เขากลับอยากได้ผลผลิตมากกว่านี้เพื่อเร่งการพัฒนาของตัวเองเนี่ยนะ ?!”

“ด้วยความเร็วเช่นนี้ เขาอาจจะมาอยู่ที่หน้าบ้านของเราก่อนที่เราจะมีกองกำลังที่พร้อมรบก็เป็นได้ !”

“ไม่เสมอไป” หม่าฝูโปวเอ่ย “ผู้ใดเป็นคนพูดกันว่าเขาจะสามารถพัฒนากองกำลังทหารได้รวดเร็วกว่าเรา ? ด้วยหยางจีเย่เพียงลำพังน่ะหรือ ? นอกจากนี้ นั่นหมายความว่าเขาจะทิ้งลูซอนไม่ใช่หรืออย่างไร ? เขาจะเรียกตัวหยางจีเย่กลับมาและส่งคนไปแทนที่อย่างนั้นหรือ ? หยางจีเย่อาจจะเป็นพวกรักษามารยาท แต่เขาไม่มีทางอดกลั้นความโกรธจากการถูกปลดออกจากตำแหน่งแบบนั้นได้แน่”

เกาฉางกงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา “เขาอาจจะไม่สามารถฝึกฝนกองกำลังที่แข็งแกร่งได้ แต่พวกเขาก็ยังอยู่เหนือเราในเรื่องของจำนวน”

หม่าฝูโปวเงียบไปอีกครั้ง

เขาเข้าใจในสิ่งที่เกาฉางกงต้องการจะสื่อทันที บนแผ่นดินจีนมีประชากรอยู่จำนวนเท่าใดกัน ?

ตราบใดที่พวกฉินเย่สามารถรวบรวมมณฑลในจีนได้สักมณฑล จำนวนทหารวิญญาณที่อีกฝ่ายสามารถรวบรวมได้ก็มากเพียงพอที่จะเอาชนะพวกเขาในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อได้แล้ว

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลิวอวี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “ผลผลิตไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเจรจาต่อรองกันได้ เราต้องหาวิธีอื่น ลองใช้ข้อได้เปรียบที่เรามีแทน มีบางสิ่งบางอย่างที่ข้าอยากจะพูดถึงหลังจากที่เขาเริ่มพูดถึงเรื่องของการค้าอาวุธ”

ชากันกัดฟันกรอด “ท่านจะใช้มันจริง ๆ น่ะหรือ ?”

“แล้วเจ้ามีทางออกที่ดีกว่านี้หรืออย่างไร ?”

ชากันถอนหายใจออกมา “ก็ได้ อย่างไรเสีย ทางเลือกสุดท้ายของเราก็คือการถอยทัพไปยังออสเตรลิสอยู่แล้ว ปัญหาเพียงอย่างเดียวของมันก็คือมันอยู่ค่อนข้างไกลเท่านั้น”

20 นาทีผ่านไปในชั่วพริบตา เมื่อคนทั้งหมดกลับมารวมตัวกันที่ใต้รูปปั้นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์อีกครั้ง หลิวอวี้ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา “ท่านฉิน เราได้คิดดูแล้ว บางทีหากท่านลองฟังข้อเสนอนี้ ท่านอาจจะพอใจก็เป็นได้”

“ข้ารอฟังอยู่”

หลิวอวี้สูดหายใจเข้าช้า ๆ และกัดฟันแน่นขณะเอ่ยออกมา “นับจากนี้ไปเป็นระยะเวลาอีกร้อยปี เราจะไม่เดินทางมาใกล้พรมแดนจีนอีก และเราก็จะไม่ส่งขนนกทมิฬเข้ามาในแผ่นดินจีนอีกเช่นกัน !”

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นทันที

ไม่ใช่ว่านั่นคือสนธิสัญญาสันติภาพร้อยปีอย่างนั้นหรือ ?

ทันใดนั้น อาร์ทิสก็โน้มตัวมาจากด้านหลังและกระซิบเบา ๆ “เจ้าสามารถตอบตกลงกับข้อเสนอพวกนี้ได้”

“ทำไมถึงคิดเช่นนั้น ?” ฉินเย่กระซิบตอบ “ข้าคิดว่าเรายังสามารถต่อรองได้อีก เพราะต่อให้พวกเขาต้องการจะผ่านพรมแดนจีน พวกเขาก็ยังต้องผ่านเหล่าราชาผีที่ขวางพวกเขาอยู่ก่อน พวกนั้นอาจจะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับกิจการของยมโลกและรัฐบริวาร แต่ท่านคิดว่าพวกเขาจะไม่ตื่นตระหนกเมื่อทหารวิญญาณนับหมื่นต้องการเดินข้ามเขตแดนของพวกตนหรืออย่างไร ? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนนี้ที่พวกเขายังไม่มีฐานที่มั่นที่แน่นอน ? กลยุทธ์ติดพันที่ 24 กลยุทธ์ยืมทางพรางกล [1]”

“ไม่” อาร์ทิสตอบกลับอย่างทันควัน “พวกเขายังสามารถเข้ามาในยมโลกผ่านทางเส้นทางอื่นได้ โลกใต้พิภพแห่งฮันยางอาจจะมีอุปสรรคในการเข้าถึง แต่ชากันและราชทูตคนอื่น ๆ ยังสามารถเข้ามาในจีนได้ และข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีพรมแดนติดกับเราก็หมายความว่าพวกเขาสามารถแย่งวิญญาณของเราไปได้ เพราะฉะนั้นในเมื่อเราไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรที่จะตอบตกลงกับข้อเรียกร้องของพวกเขาเพื่อให้เหล่าวิญญาณพวกนี้มีชีวิตรอดต่อไปได้”

“มีชีวิตรอด ?”

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยเรื่องพวกนี้อย่างละเอียด หากหลังจากการประชุมการค้านี้แล้วเจ้ายังต้องการที่จะสร้างเส้นทางการค้าทางทะเลอยู่ ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟัง”

ฉินเย่พยักหน้า จากนั้นจึงหันกลับไปหาโต๊ะประชุมและตอบ “ตกลง เราจะเซ็นสัญญากันเมื่อใด ?”

“ทางเราได้ร่างมันเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” หลิวอวี้ตอบราวกับเขาไม่ประหลาดใจกับคำตอบที่ได้รับเลยแม้แต่น้อย เขาหันไปหาผู้ช่วยของตน “ต่าวไห่ นำร่างสัญญานี้ไปให้เจ้าหน้าที่ของทางยมโลกรับรองและนำมันมาให้ข้า”

“รับทราบ”

“เดี๋ยวก่อน !” ทันใดนั้นเอง เสียง ๆ หนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฮั่นฉินหูลุกขึ้นยืนและเอ่ย “ตั้งแต่เมื่อใดที่เจ้าศักดินาแห่งสยาม เจ้าศักดินาแห่งจักรวรรดิเขมร และตัวข้าได้พูดออกมาว่าเราต้องการจะแยกตัวออกจากยมโลก ?”

เงียบ

เงียบสนิท

หลิวอวี้รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขามีเลือดซิบออกมา พวกฉวยโอกาสอย่างพวกเจ้ามันเชื่อถือไม่ได้เลยสักนิด !

“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นฝ่ายบังคับเจ้าหรืออย่างไร ?” เขาจ้องฮั่นฉินหูเขม็ง “ฮั่นฉินหู เจ้าควรจะมีหลักฐานในการพิสูจน์คำพูดของตัวเอง คำพูดของเจ้านั้นมีน้ำหนัก หากเจ้าไม่มีความคิดที่จะมาอยู่ฝ่ายเดียวกับเราตั้งแต่แรก เราจะสามารถโน้มน้าวให้เจ้ามายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเราได้หรืออย่างไร ?”

“ถูกต้อง ข้ามีความคิด แต่ข้าไม่คิดจะทำมัน!” ฮั่นฉินหูเอ่ยเสียงเย็นก่อนจะหันไปหาฉินเย่และประสานกำปั้นพร้อมกับโค้งคำนับฉินเย่ด้วยความเคารพ “ท่านฉิน โปรดลบชื่อของสยาม อาณาจักรเขมร และซานฟอตซีออกจากรัฐทั้งเจ็ดด้วยเถิด”

หลิวอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นสูดหายใจเข้าช้า ๆ และข่มจิตสังหารที่รุนแรงภายในใจของตนขณะที่หลับตาลง

หัวใจของฉินเย่เองก็เต้นผิดจังหวะไปเช่นกันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาหลุบตาลง ปกปิดประกายแวววาวในดวงตา “พวกท่านทั้งสามควรจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดี นี่คือโอกาสเพียงครั้งเดียวที่ท่านจะได้รับในชีวิต”

“หากท่านไม่จากไปตั้งแต่ตอนนี้ ท่านจะต้องเป็นวิญญาณของแผ่นดินจีนไปตลอดชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ !”

[1] หนึ่งในยอดกลยุทธ์พิชิตศึกจากพิชัยสงคราม 36 กลยุทธ์