บทที่ 357: การประชุมการค้าระหว่างประเทศ (3)
“ข้าตัดสินใจแล้ว” ฮั่นฉินหูพูด และเขาก็นั่งลงทันทีหลังจากนั้น
เยี่ยมมาก…
ฉินเย่เลียริมฝีปากของตัวเอง สถานการณ์กำลังเอนเอียงมาทางเขามากขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มเมฆดำทะมึนที่ปกคลุมอยู่เหนือยมโลกตั้งแต่เริ่มต้นการประชุมราชสำนักสลายไปแล้ว และเขาก็เริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวังที่ส่องมายังดินแดน ข้าราชการศักดินาสามคนอาจจะไม่มากนัก แต่การละทิ้งจากตำแหน่งก่อนหน้าของพวกเขาก็ยังเป็นสิ่งที่น่าเฉลิมฉลองอยู่ดี
เพราะไม่ว่าอย่างไร มันก็เหมือนกับการรักษาเส้นทางการค้าต่างประเทศได้อีกสามเส้นทาง พร้อมด้วยการได้รับเครื่องบรรณาการในทุก ๆ 50 ปีอีกด้วย !
มันยังหมายถึงแหล่งข้อมูลและข่าวสารที่เพิ่มขึ้น และการมีบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์อีกสามคนเป็นเจ้าหน้าที่ของยมโลกอีกด้วย !
“ดี ยมโลกจะไม่มีทางกระทำการใด ๆ ที่ส่งผลร้ายต่อผู้ที่ยังคงจงรักภักดีต่อมัน” เขายิ้ม “นี่คือการประชุมการค้าระหว่างประเทศครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ข้าขึ้นครองยมโลก เรามาพูดถึงเรื่องต่อไปกันเลยดีหรือไม่ ?”
ข้อตกลงยังไม่ใช่สิ่งที่จะต้องลงนามในตอนนี้
สิ่งที่พวกเขาจะต้องลงนามเมื่อจบการประชุมก็คือเอกสารที่มีชื่อว่าบันทึกความเข้าใจ
มันคือเอกสารที่ระบุถึงรายละเอียดข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นชอบด้วย แต่ข้อตกลงที่แท้จริงจะถูกสรุปตามผลของการยื้อยึดกันทางกฎหมายของทั้งสองฝ่าย ซึ่งประเด็นและรายละเอียดปลีกย่อยจำนวนมากจะต้องได้รับการแก้ไข นี่รวมถึงประเด็นอย่างการระบุเส้นแบ่งขอบเขตที่แน่นอน การกระทำใดที่นำไปสู่การคว่ำบาตร และรายละเอียดอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการนำเสนอจุดประสงค์ของข้อตกลง เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็กำลังพูดถึงข้อมูลแยกย่อยนับร้อย ! นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการประชุมในครั้งนี้ ข้าราชการศักดินาพวกนี้ให้ความสนใจต่อแผนการโดยรวมเท่านั้น ส่วนอื่นที่เหลือจะต้องถูกจัดการโดยเหล่าข้าราชการที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานเฉพาะเท่านั้น
ถึงแม้ว่าฝ่ายกฎหมายของยมโลกแห่งใหม่จะยังขาดแคลนในหลาย ๆ ด้าน แต่อย่างน้อยมันก็มีอยู่ และนี่ก็จะเป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะของตัวเอง
กระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาอย่างน้อยหกเดือนไปจนถึงหนึ่งปี ก่อนที่ร่างสัญญาจริงจะถูกสรุปและได้รับการลงนาม ประสบการณ์เช่นนี้จะช่วยเร่งความเจริญเติบโตในฝ่ายกฎหมายได้อย่างแน่นอน
ในที่สุดวาระแรกของการประชุมก็ถูกสรุป ทั้งสองฝ่ายต่างยอมประนีประนอม และไม่มีฝ่ายใดเอ่ยอะไรออกมาอีก
ฉินเย่กระแอมเบา ๆ “ต่อไป เราจะพูดถึงสิ่งที่รัฐแต่ละรัฐจะเสนอเป็นค่าชดเชยให้กับยมโลกสำหรับความเป็นอิสระของตัวเอง”
เงียบ
ราชทูตทั้ง 12 ต่างมองฉินเย่ราวกับพวกเขาเห็นผี สหาย…นี่ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน ? นี่ท่านคิดจะเรียกเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยหรืออย่างไร ? ไม่คิดที่จะยอมปล่อยผ่านเลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ ? ต้องการค่าชดเชยในการตัดความสัมพันธ์กับทางยมโลก ? นี่ท่านได้คิดถึงความขาดแคลนทางกำลังทหารของตัวเองและข้อเท็จจริงที่ว่าท่านไม่สามารถหยุดเราจากการจากไปได้บ้างหรือไม่ ?
นอกจากนี้ ท่านไปพัฒนาความไร้ยางอายพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
จิวยี่มองฉินเย่อย่างมึนงง และเขาก็พบว่าฉินเย่ยังคงแย้มยิ้มอย่างสดใดแม้ว่าจะมีสายตาตกตะลึงจำนวนมากคอยกดดัน หากพูดกันตามตรง สีหน้าของเด็กหนุ่มไม่ได้ดูแตกต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นจิวยี่ก็พบว่าเขาอาจจะประเมินความไร้ยางอายของชายผู้นี้ต่ำไป
แต่หลังจากผ่านไปไม่นานเขาก็กลับมาได้สติ หลังจากที่การเจรจาดำเนินมาถึงจุดนี้ เขารู้ดีว่าฉินเย่จะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตัวเองในอีกไม่ช้านี้ และเขาก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นว่าจ้าวนรกองค์ใหม่ผู้นี้ยังซ่อนสิ่งใดไว้อีก เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะได้ตัดสินใจ…ว่ายมโลกแห่งถังหมิงควรจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใดต่อ
ใบหน้าของเกาฉางกงในเวลานี้แดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ถึงกระนั้นทุกอย่างก็ถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้ผ้าปิดหน้าที่เขาสวมอยู่ เกาฉางกงเป็นคนแรกที่เอ่ยทำลายความเงียบนี้ “แล้วค่าชดเชยที่ท่านพูดถึงคืออะไร ?”
ฉินเย่อธิบายด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “ข้าได้อ่านบันทึกเก่า ๆ ของยมโลก ในตอนนั้น ยมโลกแห่งเก่าได้มอบหินวิญญาณหลายแสนล้านก้อนเพื่อช่วยรัฐบริวารแต่ละแห่งในการตั้งตัว ! นี่รวมถึงการสนับสนุนในการสร้างทางหลวง และจัดตั้งรัฐบาลในระดับเมืองและระดับนครของโลกใต้พิภพของพวกท่านด้วย ซึ่งมันรวมถึงสิ่งก่อสร้างพิเศษต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น ยมโลกมีส่วนสำคัญในการนำท่านมาสู่จุดที่พวกท่านมีอยู่ในวันนี้ หรือว่า…พวกท่านจะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ ?”
“แต่นั่นคือทรัพยากรของยมโลกแห่งเก่า ! มันเกี่ยวอะไรกับท่านกัน ?!” ชากันเอ่ย
“มันเกี่ยวกับข้าเพราะข้าคือผู้สืบทอดบัลลังก์ของยมโลกแห่งเก่า !” ฉินเย่ทุบโต๊ะและลุกยืนขึ้น “ทำไมกัน ? พวกท่านต่างได้รับความสะดวกสบายมากมายจากยมโลกแห่งเก่า แต่ตอนนี้พวกท่านกลับหันหลังให้กับภาระหน้าที่ของตัวเองที่มีต่อยมโลกไม่ใช่หรือ ? ทั้งหมดที่ข้าต้องการก็คือจ่ายค่าเสียหายกลับคืนมาเหมือนอย่างที่ท่านได้รับจากยมโลกแห่งเก่า ข้าไม่ได้ขอให้พวกท่านจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่พวกท่านได้จากยมโลกแห่งเก่าในอดีตด้วยซ้ำ ! นี่พวกท่านยังคิดว่าตนเองเป็นวิญญาณชาวจีนอยู่หรือเปล่า ? หรือว่าพวกท่านต้องการให้ข้าลบร่องรอยทั้งหมดของพวกท่านออกจากทุกบันทึกที่เรามี ?”
“ไร้สาระ !” หลิวอวี้สะบัดแขนเสื้อของตนและลุกขึ้นหัวเราะอย่างท้าทาย “ข้ามอบเครื่องบรรณาการให้กับยมโลกแห่งเก่ามาโดยตลอด และข้าก็ชดใช้ทุกอย่างที่ยมโลกแห่งเก่าได้มอบให้กับเราแล้ว ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาเรียกร้องสิ่งเหล่านี้จากเรา ?! ท่านฉิน โปรดมีความเคารพในตัวเองบ้าง !”
“ไร้สาระที่สุด” อวี๋เชียนลุกขึ้นยืนพร้อมกับมือที่กำแน่นอยู่ภายในแขนเสื้อยาวสีแดงขณะที่แค่นหัวเราะออกมา “หลิวจี้หนู ท่านตายในปีค.ศ. 420 ตั้งแต่ 1,600 ปีที่แล้ว ท่านคิดว่าตัวเองมีความสามารถในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชหรืออย่างไร ? หากไม่ใช่เพราะราชสำนักของยมโลกส่งราชทูตผู้มีความสามารถและทรัพยากรต่าง ๆ ไปหล่อเลี้ยงโลกใต้พิภพของท่านในทุก ๆ ร้อยปี ท่านคิดว่าผู้ช่วยของท่านพวกนี้จะได้มายืนอยู่ตรงนี้ในวันนี้อย่างนั้นหรือ ?!”
“ท่านคือข้าราชการศักดินา แต่นอกจากท่านจะไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณแล้ว ท่านกลับยังคิดที่จะหันหลังให้กับยมโลกอีกด้วย ! ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายไป และยมโลกแห่งใหม่ก็เพิ่งก่อตั้งขึ้น ทั้ง ๆ ที่ท่านได้รับความเมตตาจากจ้าวนรกองค์ก่อนมาเวลากว่า 1,600 ปี แทนที่จะรับใช้ยมโลกแห่งใหม่ด้วยสำนึกที่มีต่อหน้าที่ แต่ท่านกลับเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในปัจจุบันของยมโลก ?! ท่านไม่สมควรที่จะมีชื่ออยู่ในพงศาวดารประวัติศาสตร์ ! ท่านเป็นได้แค่พวกเนรคุณ ! เป็นหมาป่าตาขาวที่ไร้ยางอาย !”
ตูม !
หลิวอวี้ระเบิดพลังหยินที่หนาแน่นออกมาจากร่าง และฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นจากพลังหยินก็พุ่งออกจากแขนเสื้อของเขาและตรงไปที่ศีรษะของอวี๋เชียนทันที สายฟ้าปรากฏให้เห็นรอบ ๆ และเปลวไฟนรกก็ลุกโชนขึ้น ในขณะเดียวกัน เกาฉางกงเงยหน้าขึ้น และปีกขนาดใหญ่ที่ก่อตัวจากพลังหยินก็สยายออกจากด้านหลังของเขา ขนนกจำนวนมากกระจัดกระจายไปทั่วฟ้า เขาทำท่าราวกับต้องการจะคว้าอะไรบางอย่าง และหอกเล่มใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาอย่างรวดเร็ว วิญญาณนับพันตัวปรากฏขึ้นและเต้นรำไปรอบ ๆ ราวกับว่านี่คือหอกที่ถูกหล่อหลอมขึ้นในส่วนที่ลึกที่สุดของยมโลก
ภายในเสี้ยววินาทีต่อมา พร้อมกันแรงสั่นสะเทือนอย่างล้นหลาม คลื่นกระแทกของพลังหยินก็ระเบิดออกจากจุดศูนย์กลางของการปะทะ ราชทูตที่ไม่ได้มีส่วนร่วมยังคงนิ่งเฉยและไม่แสดงท่าทีใด ๆ แต่พวกเขาเองก็ถูกซัดให้กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรจากคลื่นกระแทกที่ทรงพลังนี้ ทว่าก่อนที่คลื่นกระแทกจะได้กระจายออกไปไกลกว่านี้ ตะเกียงไฟโบราณที่ถูกแขวนอยู่บนรูปปั้นของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ก็วูบไหวเล็กน้อย และเปลวไฟในตะเกียงดวงหนึ่งก็ดับไป ทันใดนั้น คลื่นกระแทกที่กำลังขยายตัวออก พลันหายไปอย่างสมบูรณ์ ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน !
แต่เมื่อกลับมาที่โต๊ะประชุม เสื้อผ้าของหลิวอวี้ เกาฉางกง ชากัน และหม่าฝูโปวยังคงกระพืออย่างรุนแรงจากพลังหยินที่แพร่กระจายไปในอากาศ ในที่ขณะที่อีกด้านหนึ่ง อาร์ทิสและหยางจีเย่ได้ลุกจากที่ของตนและมายืนอยู่ด้านหน้าของอวี๋เชียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พื้นที่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายต่างเต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลุกโชน
“นี่พวกเจ้าทั้งสี่ยังเห็นท่านจ้าวนรกแห่งยมโลกอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่ ?!” หยางจีเย่เอ่ยเสียงเข้ม “แล้วพวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมากระทำตัวเช่นนี้ภายใต้รูปปั้นของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ! นี่พวกเจ้าไม่รู้สึกละอายกับการกระทำของตัวเองเลยหรืออย่างไร ?!”
“หากสวรรค์รับรู้ว่ายมโลกตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง พวกเขาจะต้องเข้ามาแทรกแซงการกระทำของพวกเจ้าเป็นแน่ และเมื่อถึงเวลานั้น… ผู้ที่จะถูกเนรเทศให้ไปอยู่ภายใต้กงล้อแห่งสังสารวัฏก็อาจจะเป็นเจ้า!”
จากนั้น ทั้งห้องก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบ
คลื่นพลังหยินที่ทรงพลังยังคงปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดประกายไฟจากแรงเสียดสีขึ้นในอากาศ
แผ่นหลังของฉินเย่ในตอนนี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขามีระดับพลังที่ต่ำที่สุดในหมู่ผู้ที่เข้าประชุม หากพูดกันตามตรง เขาไม่สามารถตอบสนองต่อการปะทะที่ทรงพลังเมื่อครู่ได้ด้วยซ้ำ เหตุผลเดียวที่ยังคงนั่งอยู่ได้ก็เพราะว่าเขาได้รับการปกป้องโดยเศษตราจ้าวนรกที่อยู่ภายในครอบครอง นี่เป็นครั้งที่สองที่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าวิญญาณขั้นตุลาการนรกระดับสูงนั้นน่ากลัวเพียงใด
“อวี๋เชียน…คำพูดของเจ้าช่างเฉียบคมดีจริง ๆ” เกาฉางกงถอนหายใจออกมายาวเหยียดและนั่งลง ก่อนจะเอ่ยด้วยมารยาทที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด “เจ้า…ควรจะระวังตัวให้ดี”
“เจ้ายังมองว่าตนเองเป็นศูนย์รวมของความยุติธรรมอยู่อีกหรือ ?” ชากันแค่นหัวเราะและนั่งลง “เจ้าคือผู้ที่มีกำลังทหารน้อยที่สุดในหมู่ราชทูตทั้ง 12 กล้าดีอย่างไรมามีปากมีเสียงในการประชุมครั้งนี้ ?!”
หลิวอวี้และหม่าฝูโปวไม่เอ่ยอะไรออกมา กลับกัน พวกเขาเพียงหันไปมองฉินเย่และนั่งลงตามเดิม
“มโนธรรมของข้านั้นชัดเจน และหัวใจของข้าก็ซื่อตรง ในทางกลับกัน ข้าสามารถบอกได้ว่ามันยังมีคนบางส่วนในหมู่พวกเราที่ยังเย่อหยิ่งและดื้อด้าน และข้าก็ยังยืนยันที่จะยืนหยัดและเชิดหน้ามองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับท่านในตอนจบ” อวี๋เชียนไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย อันที่จริง ท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว มันแทบจะเหมือนกับว่าการปะทะกันเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างไม่พอใจและไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
ฉินเย่กระแอมออกมาเบา ๆ และคนทั้งหมดก็หันกลับมามองเขาอีกครั้ง
“เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่มีพวกท่านคนใดยอมตกลง ?” ฉินเย่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแย้มยิ้มออกมา แต่ความจริงก็คือฝ่ามือของเขาในตอนนี้กลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ !
“น่าเสียดาย”
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็เกรงว่าสมุดแห่งความเป็นตายและกระจกส่องกรรมก็คง—…”
“ท่านฉิน” ชากันเอ่ยขึ้น ใบหน้าก้มต่ำและไม่แม้แต่จะมองไปที่ฉินเย่ขณะที่หยิบตราสัญลักษณ์รูปเสือออกมาและวางมันลงบนโต๊ะ “ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร ?”
ฉินเย่ส่ายหน้า
“มันคือป้ายทหารวิญญาณ” ชากันเอ่ยเสียงเรียบ “เดิมทีแล้วป้ายนี้มีสีดำ ส่วนเดียวที่เป็นสีขาวคือส่วนหัวของมัน ป้ายนี้มีความหมายว่าพวกเราสามารถรวบรวมกองกำลังทหารได้เพียงแค่ 5,000 นายเท่านั้น นี่เป็นข้อห้ามสำหรับพวกเราแต่ละคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ศักดินาของยมโลกแห่งเก่า แต่ตอนนี้ ยมโลกแห่งเก่าได้ล่มสลายไปแล้ว และป้ายก็เปลี่ยนเป็นสีขาว ซึ่งมันหมายความว่า…ตอนนี้พวกเราสามารถรวบรวมกองกำลังทหารได้ทั้งสิ้น 100,000 นาย”
“นอกจากนี้… ทันทีที่ข้าโยนป้ายนี้ขึ้นฟ้า…” เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบาย ๆ “กองกำลังทั้งหมดของข้าที่ประจำการอยู่ด้านนอกของยมโลก จะปิดล้อมยมโลกโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเอง”
บ้านเจ้าที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยแทรกขึ้นทันที “ระวังคำพูดของพวกเจ้าให้ดี หากพวกเจ้าต้องการจะประกาศเอกราช ข้าไม่ว่า แต่หากเจ้าคิดที่จะแย่งชิงบัลลังก์ของยมโลก เช่นนั้นก็จงอย่าโทษพวกข้าที่จะยืนหยัดต่อสู้กับพวกเจ้า”
ชากันที่ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นหัวเราะออกมาขณะที่ไล่นิ้วไปตามแผ่นป้าย “ในเมื่อจ้าวนรกองค์ใหม่แห่งยมโลกไม่มอบทางออกให้ข้า เหตุใดข้าจึงต้องสนใจถึงการอยู่รอดของยมโลกด้วยเล่า ?”
“เจ้ากำลังตั้งใจจะก่อกบฏชัด ๆ…” หวางเมิ่งถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
“ท่านฉิน” เกาฉางกงหันไปหาฉินเย่ “รัฐนั้นก็เหมือนครอบครัว พวกเราเพียงผ่านมาและจากไป มันจำเป็นจริง ๆ น่ะหรือที่จะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตกับแค่การแยกตัวเป็นเอกราชที่เล็กน้อยนี่ ? เราจะไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้ได้เลยอย่างนั้นหรือ ? หากในภายภาคหน้ายมโลกพบเจอกับภัยพิบัติร้ายแรงหรือการก่อความไม่สงบ พวกเราจะส่งกองกำลังมาเพื่อช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ พวกเรายังไม่เคยมีความคิดที่จะละทิ้งซึ่งสายเลือดของชาวจีนในตัวเองเลยแม้แต่น้อย เหตุใดท่านจึงต้องยื่นข้อตกลงที่ยากลำบากเช่นนี้ด้วย ?”
หลิวอวี้เอ่ยเสริมด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “แต่หากท่านฉินยังคงยืนยันที่จะใช้วิธีนี้… เช่นนั้นก็โปรดอย่าโทษเราที่ไม่เห็นถึงสายเลือดที่เราเคยมีร่วมกันในอดีตก็แล้วกัน”
ฉินเย่ยังคงมอบรอยยิ้มให้กับคนทั้งหมด ซึ่งล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ เขาสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายยังคงกระด้างกระเดื่องต่อเขา และจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายเป็นข้ารับใช้ของยมโลกแห่งเก่า แต่กลับกล้าเหยียบย่ำจ้าวผู้ปกครองยมโลกแห่งใหม่ แถมยังกล้ากดดันเขาราวกับต้องการจะบอกว่า ข้ายอมให้เจ้าเฉิดฉายได้ แต่จงอย่าส่องสว่างจนเกินไป ข้าไว้หน้าเจ้า แต่อย่าได้หลงคิดเชียวว่าข้าหวาดกลัวเจ้า !
แต่ถึงอย่างนั้น ฉินเย่ก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาจัดการกับคนพวกนี้ เด็กหนุ่มข่มเปลวไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวภายในใจของตนและรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้าตามเดิม “เช่นนั้นก็ได้ หากพวกท่านไม่ต้องการที่จะจ่ายค่าชดเชยแบบครั้งเดียว เช่นนั้นข้าก็ขอเสนอวิธีชดเชยอีกแบบหนึ่ง”
จิวยี่พับพัดของตนเก็บขณะที่เหลือบไปมองฉินเย่ บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่าฉินเย่กำลังจะเผยสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ แล้ว !
มอบข้อเสนอที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ก่อนจะมอบข้อเสนออีกข้อที่มีความเป็นไปได้มากกว่าและทำให้มันดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่สิ อันที่จริง การกระทำเช่นนี้อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ในสิ่งที่ตนต้องการแล้ว
“ในปีหน้า ข้าจะก่อตั้งเมืองใหม่ขึ้นในแถบชายฝั่งของจีน”
“มันจะเป็นเมืองท่าสำหรับการค้าขาย ข้าหวังว่าพวกท่านทั้งสี่จะตอบตกลงกับการทำสนธิสัญญาการค้าต่างประเทศกับยมโลกแห่งใหม่ เพราะหากพวกท่านไม่ตกลง…” เขาปรายตามองชากัน “เช่นนั้นท่านก็ต้องยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมีอยู่ในตอนนี้เสีย”
“ยมโลกไม่ใช่สถานที่ที่ท่านจะสามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ !”
จิวยี่เข้าใจทุกอย่างในทันที