บทที่ 358: บทสรุป
ใช่แล้ว… อย่างนี้นี่เอง!
นี่ต่างหากคือสิ่งที่ฉินเย่ต้องการ !
ยมโลกแห่งใหม่เพิ่งก่อตั้งขึ้น การล่มสลายของยมโลกแห่งเก่าเป็นเหมือนกับการพังทลายของแรงสนับสนุนครึ่งหนึ่งที่ยมโลกแห่งใหม่ควรจะได้รับ หากพวกเขาต้องการทำให้สถานการณ์ดีขึ้น การค้าขายก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เช่นนั้น มันจะไม่มีทางเลยที่ยมโลกจะสามารถพัฒนาระบบเศรษฐกิจของตัวเองได้เร็วพอด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศของตัวเองเพียงลำพัง
แต่ใครเล่าที่พวกเขาต้องทำการค้าด้วย ?
การค้ากับต่างชาตินั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ยมโลกนั้นเป็นโลกใต้พิภพที่มีพรมแดนติดกับดินแดนอื่น ๆ การเปิดพรมแดนสำหรับเรือค้าขายย่อมหมายถึงการรั่วไหลของข้อมูลและข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของยมโลก ดังนั้น การทำการค้ากับราชทูตทั้ง 12 จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดที่พวกเขามีในตอนนี้ !
น่าเสียดาย…เพราะผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดนี้มีเพียงอวี๋เชียนและหยางจีเย่เท่านั้น
แม้แต่จิวยี่เองก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องแบบนี้
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าราชทูตทั้ง 12 ต่างรู้ดีว่าการทำการค้านั้นมีแต่จะทำให้ยมโลกแห่งใหม่พัฒนาได้เร็วขึ้น และนี่ก็เป็นสิ่งที่แม้แต่พวกที่เป็นกลางและยังไม่ตัดสินใจต่างก็ไม่ต้องการ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เหตุผลที่พวกเขายังคงเป็นกลางอยู่ก็เป็นเพราะว่ายมโลกยังไม่แข็งแกร่งมากพอ แต่เมื่อยมโลกแข็งแกร่งแล้ว มันจะยังมีช่องว่างสำหรับความเป็นกลางอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ?
“ท่านกำลังจะบอกว่า…การค้ากับลิชชาวีและลูซอนนั้นเพียงพอที่จะทำให้ท่านพึงพอใจได้อย่างนั้นหรือ? แม้ว่าท่านไม่ได้มีความขัดแย้งกับฝ่ายที่เป็นกลางกับยมโลกแห่งใหม่ แต่ท่านก็เชื่อว่าเราจะปฏิเสธต่อข้อเสนอของท่านอย่างตรงไปตรงมา ? ดังนั้น ท่านจึงใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างยมโลกแห่งใหม่กับภูฏาน เจียวจื่อ ดินแดนแห่งป่าไผ่ และฮันยาง โดยการอ้างไม่ให้พวกเขาใช้สมุดแห่งความเป็นตายและเรียกหาค่าชดเชยสำหรับการแยกตัวของพวกเขาแทน ดังนั้น ผู้ที่ท่านต้องการจัดตั้งเส้นทางการค้าขึ้นจึงไม่ใช่พวกเรา เหล่าข้าราชการศักดินาที่เป็นกลาง แต่คือข้าราชการศักดินาที่เป็นตัวแทนของโลกใต้พิภพที่เป็นปรปักษ์ ?”
ฟึ่บ…เขาหุบพัดในมือของตน หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นอย่างน่าแปลกใจ จากความคิดที่เข้ามาในหัว สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่านี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลก !
“ช่างเป็นวิธีการที่แยบยลเสียจริง… หากมองผิวเผิน มันอาจดูไม่ต่างอะไรกับคำขอที่ไร้สาระ มันเป็นเพียงท่าทีเจรจาที่ก้าวร้าวเพื่อให้เขาได้สร้างโอกาสให้ตัวเอง เขาไม่ได้ต้องการค่าชดเชยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เขาเพียงแค่ทำให้มันดูเหมือนว่าเขาต้องการมัน ก่อนจะยอมประนีประนอมด้วยการสร้างเส้นทางการค้าผ่านทางเมืองท่าของตัวเอง ! นั่นคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาในวันนี้ !”
การเจรจาย่อมต้องอาศัยการประนีประนอมจากทั้งสองฝ่าย หากหลิวอวี้ไม่ตอบตกลงกับข้อเสนอเกี่ยวกับเส้นทางการค้า เขาก็จะถูกมองว่าเย่อหยิ่งเกินไป นอกจากนี้ คำร้องขอในตอนนี้ก็เป็นเพียงสนธิสัญญาสำหรับการค้าเท่านั้น และพวกเขาก็ได้รับอิสระในการเลือกสินค้าที่จะส่งออกด้วยตัวเอง ดังนั้นจิวยี่จึงค่อนข้างมั่นใจว่าฝ่ายของหลิวอวี้จะต้องตอบตกลงกับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน
พวกเจ้าที่ขาดประสบการณ์เกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมสมัยใหม่ได้มอบความได้เปรียบทางการเจรจาทั้งหมดให้ฉินเย่ไปแล้ว…
และทันทีที่พวกเจ้าตกลง ผลที่ตามมาก็จะเลวร้ายเกินกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้ !
ทว่าก่อนที่จิวยี่จะทันได้เอ่ยอะไรออกมา ฉินเย่ก็เอ่ยต่อ ปิดกั้นโอกาสในการระแวดระวังทั้งหมดลงอย่างสมบูรณ์ “ข้าตั้งใจที่จะจัดการประมูลยุทโธปกรณ์ชุดต่อไปขึ้นที่เมืองท่านี้ด้วย หากพูดกันตามตรง ยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่ถูกผลิตขึ้นในอนาคตจะถูกทำการซื้อขายที่เมืองนี้ แต่วิญญาณต่างชาติทั้งหมดจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองเด็ดขาด ดังนั้น หากพวกท่านไม่ตอบตกลงกับข้อเสนอที่ข้ามอบให้นี้… ข้าก็รับรองได้เลยว่ายมโลกแห่งใหม่จะไม่สามารถมอบการสนับสนุนในเรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับท่านได้อีกต่อไป แม้ว่าจะมีศัตรูมารออยู่ที่หน้าบ้านของท่านเองก็ตาม !”
โว้ว !
จิวยี่หลับตาและก้มหน้าลง ภายในหูของเขายังคงมีเสียงดังก้องจากระเบิดที่ฉินเย่เพิ่งทิ้งลงมา จ้าวนรกองค์ใหม่ได้เปิดเผยไม้ตายของเขาแล้ว และมันก็เป็นไม้ตายที่รุนแรงมากเสียด้วย
มันสายเกินไปแล้ว
เขาสามารถบอกได้เลยว่าภายในหัวของคนทั้งหมดได้ตัดสินใจแล้ว
ไพ่อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทรงพลังที่สุดได้ถูกใช้ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด อีกฝ่ายตั้งใจจะบอกทุกคนว่ายมโลกแห่งใหม่เตรียมที่จะตัดขาดข้าราชการศักดินาทั้งสี่ที่ตั้งใจจะประกาศเอกสารออกอย่างไม่ใยดี หากทั้งสี่ต้องการยุทโธปกรณ์ พวกเขาก็ต้องยอมตกลงกับสัญญาการค้านี้ มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
มันเป็นทางตัน
รุกฆาต
“กงจิน ท่านถอนหายใจเพราะเหตุใด ?” หวางเมิ่งขมวดคิ้วและกระซิบเสียงเบา
“ที่ผ่านมามันอาจจะดูเหมือนว่าเขาโยนเงื่อนไขที่ไร้สาระ แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือทุกอย่างล้วนเชื่อมต่อกันราวกับโซ่เหล็ก เขาใช้เวลาหลายสิบนาทีในการกำหนดโชคชะตาของยมโลกแห่งใหม่ในอีกร้อยปีข้างหน้า สุดยอด สุดยอดมากจริง ๆ…” จิวยี่หลับตาลงและถอนหายใจออกมา หวางเมิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ค่อนข้างมึนงง “ท่านหมายความว่าอย่างไร ?”
จิวยี่ลืมตาขึ้นช้า ๆ และจ้องลึกเข้าไปในตาของหวางเมิ่งก่อนจะแย้มยิ้ม “คำตอบของหลิวอวี้จะต้องเป็น ตกลง อย่างแน่นอน”
“ตกลง” ทันทีที่จิวยี่เอ่ยจบ หลิวอวี้ก็ให้คำตอบตามที่จิวยี่คาดเดาไว้ทันที “ให้ตัวแทนร่างข้อกำหนดของสัญญาขึ้นมาอย่างละเอียด แต่ข้าต้องขอพูดให้ชัดเจนก่อนว่ามันจะไม่มีโควตาหรือขีดจำกัดใด ๆ ข้าจะเป็นฝ่ายตัดสินใจเองว่าต้องการจะส่งออกอะไร”
หวางเมิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองจิวยี่ด้วยความตกตะลึง
จิวยี่แย้มยิ้มและพัดให้ตัวเองเบา ๆ ด้วยพัดด้ามจิ้วในมือ หลิวอวี้…เจ้ายังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาในการประชุมครั้งนี้ ข้าสามารถรับรองได้เลยว่าเขาจะต้องตกลงกับข้อตกลงที่้เจ้าขออย่างแน่นอน
“ข้ารับรอง” ฉินเย่ยิ้มและเอ่ยต่อ “เช่นนั้น ข้าก็จะขอพูดให้ชัดเจนเช่นกัน สินค้าทั้งหมดที่จะทำการค้าขายจะถูกเก็บภาษีตามระบบภาษีของยมโลกแห่งเก่า ซึ่งสินค้าส่งออกจะคิดภาษี 50% ซึ่ง 20% นี้จะถูกกักไว้สำหรับยมโลก โดยภาษีสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยจะสูงขึ้นจากเดิมหนึ่งในแปด เงื่อนไขนี้ไม่สามารถต่อรองได้”
เป็นอย่างที่คิด…
จิวยี่แทบจะอดใจไม่ไหวที่จะออกไปจากตรงนี้ หากสิ่งที่เขาคิดถูกต้อง จ้าวนรกองค์ใหม่ผู้นี้จะต้องพูดถึงประเด็นทางการทูตมากมายเพื่อปกปิดจุดประสงค์ที่แท้จริงของตัวเองอย่างแน่นอน
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวมากจริง ๆ…
“ไม่ขัดข้อง” “ข้าตกลง” “ไม่มีปัญหา” “เช่นนั้น…ก็ลงนามกันเลย ทางเราได้ร่างสัญญาไว้แล้วเช่นกัน”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเมื่อข้อเสนอเกี่ยวกับพันธมิตรทางการทหารของฉินเย่ถูกปฏิเสธ มันก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
“การเจรจาในครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดีทีเดียว เราสามารถครอบคลุมวาระการประชุมทั้งหมดได้ เดิมทีข้าคิดว่ามันจะกินเวลาไปจนถึงวันพรุ่งนี้เสียอีก” ฉินเย่พลิกเอกสารดูอย่างตื่นเต้น เอกสารตรงหน้าของเขาบันทึกถึงรายละเอียดของสัญญาที่ได้รับการลงนามทั้งหมดในวันนี้ และมันจะได้รับการสรุปในสนธิสัญญาที่มีผลจริงซึ่งจะลงนามโดยผู้ลงนามในนรกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จากนั้น…มันก็จะเป็นการตอกตะปูตัวสุดท้ายลงบนฝาโลง
ทั้งสองฝ่ายต่างยอมประนีประนอม และรักษาผลประโยชน์ของตน นอกจากนี้ มันก็ยังมีผลประโยชน์บางอย่างที่ได้รับเพียงหลิวอวี้โดยเฉพาะ แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ทันทีที่เมืองท่าสำหรับค้าขายถูกสร้างขึ้น… เขาก็จะแสดงให้เหล่าข้าราชการศักดินาพวกนี้ได้เห็นว่าเขาจะมีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายมากกว่าที่พวกเขาจะทันได้รู้ตัวเสียอีก
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราทั้งหมดก็จะเดินทางกลับดินแดนของตัวเองในวันพรุ่งนี้ ท่านฉิน โปรดอย่าลืมที่จะลบชื่อของพวกเราออกจากบันทึกนรกภายในคืนนี้ด้วย” การประชุมราชสำนักก็จบลงอย่างเป็นทางการ และคนทั้งหมดก็ลดผ่อนคลายความตึงเครียดของตนลง หลิวอวี้ยิ้มและประสานกำปั้นคำนับฉินเย่ “ข้าจะตอบแทนการต้อนรับที่ท่านมอบให้ในครั้งต่อไปที่ท่านเดินทางไปที่ฮันยาง”
“แน่นอน” ฉินเย่ยิ้มและประสานกำปั้นคำนับอีกฝ่ายเช่นกัน เมื่อทั้งคู่พูดคุยกันจบ คนทั้งหมดก็เดินออกไปและกลับไปยังที่พำนักชั่วคราวของตน พวกเขารีบโยนเอกสารทั้งหมดเข้าไปในตู้และล้มตัวนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
ในที่สุดมันก็จบ…
ในที่สุดการประชุมราชสำนักก็จบลงเสียที
การเตรียมการตลอดครึ่งปีจบลงด้วยการประชุมอย่างเข้มข้นสองวันเต็ม มันสามารถเรียกได้ว่าเป็นการประชุมที่ทำให้พวกเขาแทบเสียสติ การต่อสู้ด้วยสติปัญญานั้นช่างเหนื่อยจริง ๆ
ร่างกายยังไม่เหนื่อยเท่าจิตใจ
และตอนนี้ความตึงเครียดทั้งหมดก็ได้รับการปลดปล่อยในที่สุด ฉินเย่รู้สึกว่าร่างกายของเขาผ่อนคลายมากขึ้น และคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของเขาก็คลายออก
ไม่…มันยังมีอะไรอีกเล็กน้อยที่จะต้องจัดการ…
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่เขาจะต้องเก็บผลผลิตที่เขาได้รับมาในครั้งนี้ ข้าราชการศักดินาสองคน รัฐบริวารสองรัฐ และเครื่องบรรณาการกับหินวิญญาณที่มีมูลค่ากว่าหมื่นล้าน และเงินจากการประมูลชุดเกราะพยัคฆารูปแบบใหม่ และที่สำคัญที่สุด นับรวมอวี๋เชียนและหยางจีเย่ที่เต็มใจเข้าร่วม เขาสามารถสร้างเส้นทางการค้าให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจของยมโลกในอนาคตได้ถึงหกสาย ! เมืองท่าแห่งนี้จะเป็นแหล่งเงินทุนและทรัพยากรที่ดีเยี่ยม !
ในเมื่อทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ความต้องการภายนอกจะต้องสามารถกระตุ้นอุตสาหกรรมภายในได้ และนั่นก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของพวกเขาไปสู้วัฏจักรที่ไม่รู้จบ เสบียงจะหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน…และเขาก็ยังสามารถเริ่มเก็บเกี่ยววิญญาณที่เข้ามาสู่ยมโลกผ่านทางเมืองท่าได้ ! แค่ความคิดเหล่านี้ก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่น่าเชื่อ
สองวันที่ผ่านมาได้สร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับยมโลกไปอีกร้อยปี !
“เช่นนั้น…เราก็มาจบเรื่องพวกนี้กันเถอะ…” หลังจากพักเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เขาก็ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก และสูดหายใจเข้าช้า ๆ จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและกดลงบนอกของตัวเองเบา ๆ บันทึกนรกลอยออกมาในทันที เขาทำท่าคว้าอะไรบางอย่างในอากาศ และพู่กันจีนก็ปรากฏขึ้นในมือ
จากนั้น เขาก็พลิกหน้ากระดาษที่มีรายชื่อสีดำจำนวนมากถูกเขียนเอาไว้ ทั้งหมดนี้คือรายชื่อของเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยมโลกแห่งเก่าที่ถูกส่งไปยังสรวงสวรรค์ระหว่างการตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์
ขณะที่เขายังคงพลิกไปเรื่อย ๆ เขาก็พบว่าทุกหน้าล้วนเต็มไปด้วยรายชื่อสีดำสนิท ราวกับมันต้องการแสดงถึงการล่มสลายของราชวงศ์ทั้งหมด
บันทึกนรกนั้นยาวอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคงพลิกหน้ากระดาษแบบนั้นเป็นเวลาเกือบชั่วโมงกว่า แต่รายชื่อบนหน้ากระดาษก็ยังคงเป็นสีดำดังเดิม ราวกับเขาเปิดผ่านหน้าเดิมซ้ำ หากไม่ใช่เพราะว่ารายชื่อที่เปลี่ยนไป ฉินเย่ก็อาจจะเผลอคิดไปว่าเวลาถูกหยุดลงไปแล้ว
หัวใจที่เต้นแรงของเขาสงบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้ดูรายชื่อในบันทึกนรก เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ายมโลกแห่งใหม่ยังต้องผ่านอะไรอีกมากมายเพียงใดกว่าจะสามารถเทียบกับยมโลกแห่งเก่าได้
ราชทูตทั้ง 12 เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
พรึ่บ… หลังจากเปิดต่ออีกประมาณสิบนาที เขาก็เห็นรายชื่อของหลิวอวี้ หม่าฝูโปว เกาฉางกง และชากันเตมูร์ในที่สุด และชื่อของทั้งสี่ก็ถูกเขียนด้วยสีแดงเข้มเหมือนสีเลือด
แต่ละรายชื่อมีบันทึกอยู่อย่างน้อยครึ่งหน้า เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะขีดฆ่าชื่อของคนทั้งสี่ด้วยพู่กัน ส่งผลให้ชื่อของพวกเขาหายไปจากหน้ากระดาษของบันทึกนรก
เกรงว่าครั้งหน้าที่พวกเราจะเจอกันคงจะเป็นในสนามรบเป็นแน่…
ครืน! ทันทีที่เขาขีดฆ่ารายชื่อของทั้งสี่ออก พวกมันก็หายไป และทั่วทั้งยมโลกก็สั่นไหวเล็กน้อย ลูกไฟนรกนับพันลอยขึ้นมาจากส่วนลึกของยมโลกก่อนจะพุ่งตัวไปยังที่พำนักชั่วคราวของข้าราชการศักดินาทั้งสี่ราวกับสายฟ้าฟาด
สายลมเย็นพัดเข้ามาในห้อง พัดให้เสื้อผ้าและผมเผ้าของเขาปลิวไปมาเบาๆ
ในที่สุดก็จบ…
นี่คือ… การจบเรื่องทั้งหมด…
ไม่มีการรักษาผู้ที่ตั้งใจจะจากไป และก็ไม่มีการบังคับผู้ที่ตั้งใจจะอยู่ หนทางข้างหน้า…ยังอีกยาวไกลและคดเคี้ยวยิ่งนัก
ฟึ่บ…ในขณะเดียวกัน หลิวอวี้และข้าราชการศักดินาผู้ที่ยืนยันจะประกาศเอกราชก็สัมผัสได้ถึงเปลวไฟนรกที่พุ่งตรงมาที่ห้องของตนด้วยความเร็วสูง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับรูปสลักไม้
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็เอื้อมมือเข้าไปในเสื้อคลุมและหยิบแผ่นป้ายไม้ที่ถูกหักครึ่งออกมา
ด้านหนึ่งของป้ายพวกนี้สลักชื่อของพวกเขาเอาไว้ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของมัน…ว่างเปล่า
มันแทบจะเหมือนกับว่าสายฟ้าที่พุ่งมาโดยไม่บอกกล่าวเมื่อครู่ได้ลบสิ่งที่เคยอยู่ตรงนี้ออกไป
“ตรงนั้น…เคยมีคำว่า ‘ยมทูต’ ถูกสลักเอาไว้…” หม่าฝูโปวเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างและมองไปยังท้องฟ้ายามราตรีขณะที่ถอนหายใจออกมา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างที่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน “ไปเถิด… ทั้งหมดจบแล้ว… เราได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว…”
“นับตั้งแต่นี้เป็นต้องไป เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับโลกใต้พิภพของจีนอีก !”
“หลังจากนี้ไป…จะไม่มีเจ้าศักดินาแห่งภูฏาน เจ้าศักดินาแห่งดินแดนแห่งป่าไผ่ เจ้าศักดินาแห่งฮันยาง และเจ้าศักดินาแห่งเจียวจื่ออีกแล้ว จะมีก็แต่อาณาจักรภูฏาน อาณาจักรแห่งป่าไผ่ อาณาจักรฮันยาง และอาณาจักรเจียวจื่อเท่านั้น!”
“ทุกอย่างจบลงแล้ว…ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงแล้ว…” เขาหันกลับมาและเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินก่อนจะเดินทางออกจากยมโลก
กลุ่มก้อนพลังหยินอีกสามสายเองก็ตามไปติด ๆ พวกเขาคือหลิวอวี้ เกาฉางกง และชากัน
พวกเขาบรรลุจุดประสงค์ที่ตัวเองมาที่นี่แล้ว และพวกเขาก็ไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วินาทีเดียว มีเพียงผู้ช่วยของพวกเขาเท่านั้นที่ยังอยู่ที่ยมโลกแห่งใหม่เพื่อเจรจาต่อรองและชี้แจงรายละเอียดปลีกย่อยของข้อตกลงที่จะดำเนินการระหว่างอาณาจักรใหม่นี้
พวกเขาไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยลาจ้าวนรกแห่งยมโลกเลยแม้แต่น้อย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้…พวกเขาต่างก็เป็นจักรพรรดิและเจ้าดินแดนของตัวเอง ! ไม่มีใครยอมที่จะทำตัวต่ำต้อยกว่าจ้าวนรกที่อ่อนแอผู้นี้
พรึ่บ…กระแสน้ำวนสีแดงบนท้องฟ้าสั่นเทา ทันทีที่กลุ่มก้อนพลังหยินปรากฏขึ้น กองกำลังทหารนับแสนที่รวมตัวกันด้านนอกพรมแดนยมโลกก็ลุกขึ้นทันที
“ทหารทุกนาย” หลิวอวี้ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดเสื้อคลุมมังกรทองพร้อมกับมงกุฎของจักรพรรดิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อและเอ่ย “กลับสู่ราชวงศ์ซ่งอันยิ่งใหญ่กันได้แล้ว !!”