ใบไม้ร่วงหล่นเหมือนผีเสื้อ
บัดนี้คือฤดูใบไม้ร่วง เป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ทิวทัศน์งดงามที่สุดเมื่อมองมาจากมุมหอคอยในพระราชวังเสียนหยาง หากยืนอยู่ข้างหน้าต่างหรือในศาลาก็จะสามารถมองเห็นใบไม้โปรยปรายดั่งสายฝนทั่วทั้งนคร กลิ่นหญ้าแห้งจางๆ อบอวลอยู่ในอากาศ
อิ๋งซื่อยืนอยู่หน้าราว บีบผ้าไหมสีขาวที่มีขนาดยาวสามนิ้วอยู่มือ มีลายมือจางๆ อยู่ด้านบน เป็นข้อความของตู้เหิงที่ส่งมาจากสุสานทางนกพิราบ
“ท่านอ๋อง” จางอี๋ประสานมือคำนับ
อิ๋งซื่อไม่ได้ตอบ หันมายื่นมือผ้าไหมสีขาวนั้นให้เขา
จางอี๋นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วรับมันด้วยสองมือ ก้มหน้าอ่านรอบหนึ่ง “นี่คือ…ข้อความที่ตู้เหิงส่งไปยังรัฐเว่ย?”
“สมกับเป็นกั๋วเว่ยแห่งต้าฉิน!” นานๆ ทีจะมีคำชมหลุดออกมาจากปากของอิ๋งซื่อ
จางอี๋รู้ว่าที่จริงแล้วกองทัพใหม่ซ่อนอยู่ในกองทัพรักษาการณ์เสียนหยางและกองทัพที่ชายแดนอี้ฉวี ไม่ได้อยู่ในปาสู่ตั้งแต่แรก ตู้เหิงชำนาญในการซื้อขายข่าวสาร จะต้องมีหลายวิธีในการสกัดคำสารภาพ คงไม่จู่ๆ ก็กุเรื่องขึ้นมาโดยเด็ดขาด การที่ซ่งชูอีสามารถทำให้เขาเชื่อได้ว่าข้อความนี้เป็นเรื่องจริงนั้นไม่ใช่เพียงกลโกงธรรมดาแต่ยังต้องทนกับความทุกข์ที่คนธรรมดาทนไม่ได้
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ครานี้กั๋วเว่ยพบกับภัยพิบัติอย่างแท้จริง!” จางอี๋ยากที่จะเข้าใจ
“อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม
จางอี๋เอ่ย “เรื่องชีวิตไม่น่าห่วง เพียงแต่ต้องค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกาย”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง หันมองซ้ายขวาไม่เห็นใครก็เอ่ยว่า “นางตั้งครรภ์ แต่เกรงว่าจะรักษาเด็กไว้ไม่ได้”
อิ๋งซื่อตกตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหลุบตาลงและเก็บใบไม้ที่ร่วงอยู่บนราว เอ่ยว่า “ทักษะการแพทย์ของเว่ยเต้าจื่อยอดเยี่ยมไม่แพ้เปี่ยนเชวี่ยก็รักษาไว้ไม่ได้รึ?”
นิสัยของเว่ยเต้าจื่ออิสระเสรี ไม่ได้มีจิตใจเมตตาฝึกวิชาแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้คนเยี่ยงเปี่ยนเชวี่ย ไม่ได้แสวงหาความก้าวหน้าในวงการการแพทย์ จะช่วยคนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความชมชอบ ดังนั้นชื่อเสียงในแง่ทางการแพทย์ของเขาจึงสู้เปี่ยนเชวี่ยไม่ได้
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยถามมหาเสนาบดีฝ่ายขวาแล้ว เขากล่าวว่าแม้ซ่งหวยจินจะอายุยี่สิบกว่า ทว่าเนื่องจากกินยาหลายปีก่อนหน้านี้ จึงมีร่างกายของเด็กหญิงวัยสิบสองเท่านั้น ต่อให้ร่างกายแข็งแรง การตั้งครรภ์ก็เป็นการฝืนอย่างมาก” จางอี๋เอ่ยอย่างจนปัญญา “ชีวิตมนุษย์เรามีได้มีเสีย หวยจินในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง แม้ว่าจะได้มาแต่กลับสูญเสียยิ่งกว่า”
ขณะที่จางอี๋พบกับซ่งชูอีในรัฐซ่งเป็นครั้งแรกเมื่อเจ็ดปีที่แล้วก็รู้สึกว่านางเหมือนเด็กผู้หญิง ต่อมาได้รู้จักกันก็พบว่านางมีความรู้และเฉลียวฉลาด ทั้งคำพูดและพฤติกรรมล้วนไม่ใช่สิ่งที่เด็กผู้หญิงจะสามารถมีได้ ทั้งยังไม่เคยได้ยินว่าสำนักจวงจื่อรับศิษย์ผู้หญิงมาก่อน ดังนั้นจึงคิดว่านางเป็นผู้ชายโดยไม่รู้ตัว บัดนี้ได้รู้ถึงเพศของนางก็รู้สึกเหลือเชื่อ ทั้งรู้สึกว่ามันก็สมเหตุสมผล
อิ๋งซื่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ไปดูตู้เหิงด้วยกันเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋เอ่ย
ในคุกใต้ดิน
ตู้เหิงอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง สองมือของเขาถูกโซ่หนาล่ามไว้กับผนัง หน้าตาสะอาดสะอ้านสดใส สีหน้าขาวซีด ผมดกดำปล่อยสยายอยู่ข้างหลังครึ่งหนึ่ง หลับตาเงยหน้ารับแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างระบายอากาศ ท่าทางเหมือนคุณชายผู้สง่างาม ไม่เหมือนกับนักโทษโดยสิ้นเชิง
อิ๋งซื่อเดินลงบันไดช้าๆ ถอดเสื้อคลุมออกโยนลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงบนเสื้อคลุมโดยตรง
ตู้เหิงได้ยินความเคลื่อนไหวก็หันมามอง สายตาหยุดอยู่ที่อิ๋งซื่อ เสียงที่เปล่งออกมาราวกับชายชราที่ฟันร่วงหมดปาก “แม้แต่องค์จวินแห่งต้าฉินก็ยังมาส่งข้าตู้เหิง ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”
จางอี๋มองสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง คิดว่าเป็นเพราะป้องกันไม่ให้เขาฆ่าตัวตายจึงถอนฟันไปจนสิ้น
อิ๋งซื่อกระตุกมุมปากยิ้ม “ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ กว่าเหรินก็ยังคิดด้วยมันสมองทั้งหมดที่มีว่าควรจะลงโทษเจ้าอย่างไร เจ้าควรรู้สึกเป็นเกียรติอย่างแท้จริง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของตู้เหิงค่อยๆ จางหายไป เนื่องจากบุคลิกของอิ๋งซื่อนั้นดูก้าวร้าวเหลือเกิน แรงอาฆาตอันกระหายเลือดบีบไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่รักษาอาการบนใบหน้าเอาไว้ได้
“เจ้าช่างเก่งเรื่องทำให้ผู้อื่นไร้ผู้สืบสกุลนัก หากกว่าเหรินไม่สงเคราะห์เจ้าเสียหน่อยก็ดูจะไม่ยุติธรรม” อิ๋งซื่อเอ่ย
เย็นชา
ผู้คุมเรือนจำข้างๆ กล่าวอย่างรู้เวลา “ท่านอ๋อง เตรียมการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” อิ๋งซื่อส่งสัญญาณให้เริ่มได้
ผู้คุมโบกมือเรียกให้เจ้าหน้าที่เรือนจำสองสามคนเข้ามาและยังมีหมอหลวงอีกสองคน
จางอี๋รู้ว่าอิ๋งซื่อต้องการตัดเจ้าโลกของตู้เหิงทิ้งจึงหันหลังไป ไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องเจ็บปวดน่าอนาถดังขึ้นด้านหลัง เพียงได้ยินเสียง จางอี๋ก็รู้สึกว่าร่างกายส่วนล่างของตนเจ็บปวดเล็กน้อย
เขาต้องการจะโน้มน้าวไม่ให้อิ๋งซื่อมอง ทว่าทันทีที่เหลือบตาไปก็เห็นใบหน้าเย็นยะเยือกของอิ๋งซื่อ สีหน้านั้นไม่แตกต่างจากปกติเลย เขาลังเลครู่หนึ่ง หันหลังไปมอง ทันใดนั้นใบหน้าก็ซีดขาว
ตู้เหิงนอนร่างเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงหิน ผู้คุมที่แข็งแกร่งสี่คนกดแขนขาของเขาไว้ ขันทีสองคนที่เชี่ยวชาญในการตัดเจ้าโลกกำลังตัดส่วนนั้นอย่างระมัดระวังด้วยมีด เลือดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง เส้นเลือดของอวัยวะของตู้เหิงแตกออก เขาดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง
“หมดสติไปแล้วขอรับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“สาดน้ำเย็นให้ตื่น” ผู้คุมกล่าว
อิ๋งซื่อเคยกำชับไว้ว่า ตู้เหิงจะต้องถูกทำโทษตอนยังมีสติ
น้ำเย็นถังหนึ่งถูกสาดลงไป แม้ไม่อยากตื่นก็ต้องตื่น เมื่อผู้คุมเห็นว่าเขาฟื้นแล้วก็ส่งสัญญาณให้ทำต่อ
คุกใต้ดินเต็มไปด้วยเสียงคำรามแหบแห้ง เมื่อตู้เหิงสลบไปก็ถูกน้ำเย็นสาดให้ตื่น จนท้ายที่สุดเมื่อน้ำเย็นไม่สามารถปลุกเขาได้แล้ว หมอหลวงสองคนก็ฝังเข็มบังคับให้เขาตื่น
ขันทีสองคนทำเรื่องนี้มาหลายสิบปี ประสบการณ์ช่ำชอง จะไม่ทำให้เขาเป็นอันตรายแก่ชีวิต
อิ๋งซื่อมองดูพวกเขาพันแผลด้วยความคล่องแคล่วก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหา
หลังจากขันทีพันแผลเสร็จแล้วก็รีบค้อมคำนับแล้วถอยออกไป
ตู้เหิงจ้องมองเพดานด้วยสายตาล่องลอย ใบหน้าขาวซีดและซูบตอบที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อยิ่งดูอ่อนแอ
“วันนี้ถือว่ากว่าเหรินอารมณ์ดี เติมเต็มเจ้าด้วยการมอบของขวัญเล็กๆ ให้ชิ้นหนึ่ง เจ้าก็รักษาตัวให้ดี” อิ๋งซื่อเอ่ยพร้อมหยิบขวดยาขนาดเล็กสีดำขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เปิดผนึกแล้วเอาไปจ่อที่ปลายจมูกของตู้เหิง “เจ้ามีความรู้กว้างขวาง คงรู้ว่านี่คือสิ่งใดกระมัง?”
นี่ไม่ใช่ยาพิษที่ชิ้นเอกกระไรหากแต่เป็นธูปหอม ผู้เชี่ยวชาญจะเอามาใช้ในการสะกดรอย ทันทีที่โดนตัวแล้วจะติดอยู่หลายเดือนไม่จางหายไปไหน
“นกพิราบตัวนั้นที่บินออกมาจากห้องสุสาน กว่าเหรินยังไม่ได้ฆ่ามัน” อิ๋งซื่อเอ่ยอย่างเฉยเมย
ดวงตาของตู้เหิงเริ่มมีกลับมาเป็นปกติและเผยให้เห็นความหวาดกลัว เสียงแหบแห้งนั้นเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาเอ่อล้นขอบตา “อา…อา…”
ทันทีที่คนอ่านข้อความโดนธูปหอมสะกดรอย สายลับของรัฐฉินก็จะสามารถหาผู้บงการเบื้องหลังได้อย่างรวดเร็ว
ตู้เหิงส่ายศีรษะไม่หยุด สายตาที่มองอิ๋งซื่อเปี่ยมด้วยความอ้อนวอน
“เจ้าคิดว่าสุสานบรรพบุรุษของรัฐฉินเป็นสถานที่แบบใดกัน? เจ้าคิดว่ากั๋วเว่ยของต้าฉินข้าเป็นใคร? หากเจ้าไม่รู้ กว่าเหรินก็จะบอกเจ้าด้วยความหวังดี!” อิ๋งซื่อมองต่ำลงมายังตู้เหิงที่แทบจะแตกสลาย กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าจะไม่ตายหรอก กว่าเหรินจะให้เจ้ารอดูคนอยู่เบื้องหลังที่เหิมเกริมผู้นั้นตายอย่างน่าอนาจต่อหน้าเจ้า และกองทัพเหล็กแห่งต้าฉินข้าจะปราบรัฐเว่ยให้ราบเป็นกลอง! รอดูกว่าเหริน…”
เขาหลุบตาลงเล็กน้อย กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ขุดสุสานบรรพบุรุษของสกุลตู้ของเจ้า”
จางอี๋ตั่วสั่นสะท้าน ในใจรู้ดีว่าอิ๋งซื่อโกรธถึงขีดสุดแล้ว อิ๋งซื่อไม่ใช่คนที่ขี้โมโห หากเป็นความผิดธรรมดาทั่วไป เพียงคำเดียวก็สามารถตัดสินชีวิตผู้กระทำความผิดได้แล้ว จะเสียเวลาจะพูดมากและสร้างความวุ่นวายขนาดนี้เพื่ออะไรกัน?
อิ๋งซื่อหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อจากไป จางอี๋รีบหยิบเสื้อคลุมแล้วตามหลังไป
ทันทีที่ออกจากจากคุกใต้ดินก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงอาทิตย์เจิดจ้า ในเวลานี้เองที่จางอี๋จึงรู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองหนาวสั่นไปหมด
ไม่ช้า บทลงโทษของตู้เหิงก็ถูกประกาศไปทั่วราชอาณาจักร
รัฐฉินหล่อรูปปั้นนักรบดินเผาขึ้นมาอันหนึ่ง เติมน้ำยาที่สามารถคงชีวิตได้ไว้ข้างในจนเต็ม ตัดกล้ามเนื้อมือและเอ็นร้อยหวายของตู้เหิงในที่สาธารณะ รอจนบาดแผลหายดีแล้วก็เอาเขาใส่เขาไปในรูปปั้นนักรบดินเผานั้น แล้วเอาไปวางไว้ในห้องลับอันมืดมิดห่างจากสุสานของเซี่ยวกงยี่สิบลี้เพื่อเป็นวิญญาณเฝ้าสุสานของเซี่ยวกง เป็นการชดใช้ความผิดของเขา
อิ๋งซื่อประกาศออกไปว่าตู้เหิงเป็นสายลับของรัฐเว่ย วันรุ่งขึ้นจะส่งกองทัพเข้าปราบปรามรัฐเว่ยเป็นการแก้แค้นให้ต้าฉิน!
รัฐฉินเพียงประกาศว่าตู้เหิงถูกตัดแขนขาแล้วคุมขังอยู่ในห้องลับเพื่อรับโทษ ส่วนเรื่องอื่นเขียนแค่กว้างๆ เท่านั้น
เรื่องนี้แพร่กระจายไปยังนานารัฐ ใต้หล้าต่างกล่าวว่าอิ๋งซื่อมีเมตตา ล้วนกล่าวกันว่าผู้ที่ล่วงเกินสุสานบรรพบุรุษเยี่ยงนี้ควรจะเฉือนหนังแร่กระดูกจึงจะสามารถบรรเทาเศษหนึ่งส่วนหมื่นของความแค้นได้
ภายในจวนกั๋วเว่ย
เว่ยเต่าจื่อเกลี้ยกล่อมซ่งชูอีด้วยความลำบากยากเข็ญ “หากไม่ดื่มยานี้อีกก็จะไม่ทันการแล้ว”
ซ่งชูอีลูบท้อง ยิ้มเอ่ยว่า “เขายังรอดพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนั้นได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กที่มีความแข็งแกร่งคนหนึ่ง”
“ไอ้เฮงซวย!” เว่ยเต้าจื่อทิ้งถ้วยชาลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยความฉุนเฉียว “ข้าเชี่ยวชาญทางการแพทย์ จะนิ่งดูดายชีวิตคนได้หรือ! หากเจ้าอาลัยอาวรณ์เขา ข้าก็จะบำรุงร่างกายเจ้าอย่างดี ในอนาคตก็ยังมีอีกได้! เจ้าอยากให้แม่ทัพเจ้ามองดูพวกเจ้าตายไปพร้อมกันหรือ?”
เจ้าอี่โหลวพิงอยู่ที่ประตู ทว่าไม่ได้เข้ามา
เว่ยต้าจื่อเดินออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นเขาก็ส่งเสียงหึออกมาคำหนึ่ง
เจ้าอี่โหลวรีบตามไป “ศิษย์พี่ใหญ่”
“ศิษย์พี่ใหญ่อะไรกัน! ใครเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า! เจ้าว่างนักก็ไปปลอบของเล่นเฮงซวยของเจ้า อย่ามาตีสนิทส่งเดช! ข้าจะไปแล้ว ไม่เห็นจะได้ไม่ว้าวุ่นใจ!” เว่ยเต้าจื่อเป็นเหมือนแมวที่ถูกกระตุกหาง
เจ้าอี่โหลวรอให้เขาระบายความโกรธออกมาก่อนที่จะเอ่ยด้วยความหดหู่ว่า “แอบวางยาไม่ได้หรือ?”
เว่ยเต้าจื่อเพิ่งจะสงบสติลง ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ก็ราวกับว่าถูกกระตุกหางอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากลอบวางยาหรือไง! นี่คือเรื่องเล็กรึ! นางคิดไม่ตกเอง ถึงตอนนั้นหากรักษาเด็กไว้ไม่ได้แล้วนางล้มป่วย ตายเร็วหลายสิบปี สู้เสี่ยงคลอดลูกออกมายังจะดีกว่า! อย่างน้อยก็ยังรู้สึกสบายใจ!”
เจ้าอี่โหลวเงียบงัน
เขาได้พูดทุกอย่างไปหมดแล้ว ซ่งชูอีไม่สะทกสะท้านเลย หรือแม้กระทั่งสั่งเสียเขาเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ
เขาก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของซ่งชูอี มารดาของนางเสียชีวิตตอนที่คลอดนาง บิดาก็ยอมสละชีวิตเพื่อนาง จิตใต้สำนึกของนางรู้สึกว่าคนที่เป็นพ่อแม่ก็ควรที่จะปกป้องลูกโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ตอนนี้เจ้าอี่โหลวเอาแต่โทษตัวเองว่าเขาไม่ควรทำให้นางตั้งครรภ์เลย
หากเป็นไปได้ เขายินดีที่จะแลกชีวิตกับความปลอดภัยกับพวกนางสองแม่ลูก
ภายในห้อง ซ่งชูอีกำลังอ่านหนังสือ
เจ้าอี่โหลวนั่งลงตรงข้ามนาง
ซ่งชูอีได้ยินเสียงก็วางสมุดไผ่ลง สำรวจเขารอบหนึ่ง “หน้ายังกะตูด!”
“ข้าเกลี้ยกล่อมเจ้าไม่ได้ และก็ไม่ต้องการพูดอะไรที่ทำให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจ” เจ้าอี่โหลวกวาดสายตาอยู่บนตัวของนาง “ข้าไม่อยากเสียเด็กคนนี้ไปยิ่งไม่ต้องการเสียเจ้า ที่ผ่านมาไม่เคยมีเวลาใดที่ทำให้ข้ารู้สึกไร้ความสามารถเท่าตอนนี้เลย”
ไม่สามารถบังคับและไม่มีทางโน้มน้าวได้ เจ้าอี่โหลวไม่รู้ว่าตัวเองยังจะทำอะไรได้อีก ได้แต่มองวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ หัวใจของเขาก็ยิ่งบีบแน่น
“หวยจิน” เจ้าอี่โหลวกุมมือของนาง “ครั้งนี้ยังสามารถเลือกได้ ไม่ใช่เรื่องที่เด็ดขาด ไว้พวกเราอยู่กันอย่างสันโดษแล้วก็ยังมีลูกได้อีก เจ้ารักษาตัวให้ดี พวกเราจะมีลูกกันเยอะๆ เลย”
ซ่งชูอีส่ายหน้า “ต่อให้มีมากเพียงใดก็ไม่ใช่คนนี้! เขากับข้าร่วมฝ่าสถานการณ์ที่ยากลำบากและอันตรายมาด้วยกันสามเดือนกว่า ไม่จากกันไปไหน ข้าจะทิ้งเขาไปเช่นนี้ได้อย่างไร?”