บทที่ 331 เจ้าติดค้างกว่าเหริน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“นายท่าน ท่านแม่ทัพเจ้าคะ” หนิงยายืนอยู่หน้าประตู “เมื่อครู่คนในวังเข้ามาบอกว่าวันนี้องค์จวินจะมาเยี่ยมท่าน”

ซ่งชูอีตกตะลึง

อิ๋งซื่อผู้นี้เป็นคนทำอะไรตามใจชอบเสมอมา อยากจะมาก็มาโดยไม่เคยแจ้งล่วงหน้าก่อน บัดนี้เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นการยอมน้อมตัวลงมาเยี่ยมขุนนางในสถานะองค์จวิน

“จะเปลี่ยนชุดขุนนางไหม?” เจ้าอี่โหลวถามนาง

ซ่งชูอีส่ายหน้า เมื่อเห็นว่าเจ้าอี่โหลวจ้องมองนางถามขึ้น “มองอะไร?”

แววตาของเจ้าอี่โหลวเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด “แม้ว่าข้าจะติดตามเจ้าไม่ว่าเป็นหรือตาย ทั้งชีวิตนี้มีเจ้าเพียงคนเดียว ทว่าข้าก็ยังคงเป็นคนนอกในใจของเจ้า ทั้งที่เจ้าก็รู้ว่าพวกเจ้าสองคนมีเพียงคนหนึ่งที่สามารถอยู่รอดได้ หรือแม้กระทั่งอาจจะ..แต่ข้ากลับไม่อาจตัดพ้อเพราะมันล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้ามีลูกคนนี้ เจ้าสามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาได้ ข้าเข้าใจ ทว่าหวยจิน…”

ทว่าหวยจิน เจ้ารักข้าน้อยเกินไปแล้ว

เขายังไม่ทันพูดประโยคสุดท้ายก็กลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ลุกขึ้นก้าวเท้ายาวๆ ไปที่ประตู หันหลังให้นาง

เหตุใดซ่งชูอีจะไม่รู้ถึงความขมขื่นของเจ้าอี่โหลวเล่า? ทว่านี่คือลูกที่มีความเชื่อมโยงทางสายเลือดเพียงคนเดียวในสองชีวิตของนางเชียวนะ! นอกเหนือจากประเด็นนี้แล้ว นางเป็นคนที่ชอบคนแข็งแกร่งมาโดยตลอด ตอนนั้นที่ช่วยซ่งเจียนก็เพราะหวั่นไหวในความตั้งใจที่จะอยู่รอดของเขา บัดนี้ลูกของนางเองเป็นนักสู้เพียงนี้ นางจะปล่อยมือไปได้อย่างไร?

ตอนบ่าย

อิ๋งซื่อให้เกียรติมาถึงจวนกั๋วเว่ยในฐานะองค์จวิน

คนทั้งจวนไปรับเสด็จที่หน้าประตู

อิ๋งซื่อลงจากรถเห็นซ่งชูอีอยู่ในชุดธรรมดา ก็ขมวดคิ้วกันเล็กน้อย

ครั้นเข้าประตูใหญ่ไป อิ๋งซื่อก็เดินตรงไปยังห้องโถงหลักโดยไม่หันมามอง “ท่านแม่ทัพเจ้า กว่าเหรินต้องการคุยธุระกับกั๋วเว่ย เจ้าไม่ต้องตามมา”

“พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าอี่โหลวเอ่ย

นับตั้งแต่ช่วยซ่งชูอีออกมา เจ้าอี่โหลวก็มีความเคารพต่ออิ๋งซื่อมากขึ้น สุสานบรรพบุรุษเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และไม่สามารถละเมิดได้สำหรับครอบครัวหนึ่ง เจ้าอี่โหลวคิดว่าหากตนเป็นเขา แล้วมีคนกล้าแตะต้องสุสานของเสด็จพ่อเขาละก็ เขาจะต้องบดกระดูกของผู้นั้นจนกลายเป็นเถ้าถ่านแน่! แม้ว่าการช่วยเหลือซ่งชูอีเป็นเรื่องที่รอไม่ได้จึงต้องเข้าไปในสุสาน ทว่า

อิ๋งซื่อก็ยังปิดตาข้างหนึ่งต่อเรื่องนี้ ในใจของเขารู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก

ในห้องโถงหลัก อิ๋งซื่อยืนสองมือไพล่หลัง จ้องซ่งชูอีครู่หนึ่งก็ไม่อ้อมค้อมอีก “ด้วยสภาพร่างกายของเจ้า ต่อให้ทนจนถึงกำหนดคลอด แม่กับลูกก็มีเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอด เจ้าคิดจะแลกชีวิตของตนกับเด็กคนหนึ่งจริงหรือ?”

ซ่งชูอีไม่ตอบ

อิ๋งซื่อบังคับให้ตอบด้วยความเย็นชา “ตอบกว่าเหรินมา!”

“พ่ะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีเอ่ย

เงียบกริบ

ผ่านไปสักพัก อิ๋งซื่อก็หัวเราะเยาะเย้ย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจวงจื่อจึงตัดนิ้วแทนเจ้า?”

ซ่งชูอีตัวสั่นสะท้าน ได้ยินเพียงอิ๋งซื่อพูดอย่างดุดันและมีพลัง “เหตุใดคนนอกที่ห่างไกลเรื่องทางโลกเช่นเขาต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดเช่นนี้ด้วย? เพราะว่าตอนที่อยู่ในปาสู่ เจ้าเคยพูดว่า ‘เส้นทางที่แตกต่างสู่เป้าหมายเดียวกัน’ เจ้าบอกให้เขาเชื่อเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเดินเส้นทางไหนแต่เป้าหมายก็เหมือนกับเขา! เขาเชื่อเจ้า ช่วยเจ้ากำจัดอุปสรรคระหว่างทาง! ซ่งหวยจิน เจ้าคู่ควรกับพระคุณของอาจารย์รึ?”

เรื่องนี้ทำให้รอยแผลเป็นในใจของซ่งชูอีปริออกอย่างแรง นางกัดฟันแน่น

“เจ้าเข้าสู่รัฐฉินจากรัฐเว่ย ต้าฉินของข้าไม่รู้ว่าต้องเสียสละคนไปมากเท่าใด ตอนนั้นเจ้าพูดอย่างไร? เจ้าพูดว่าจะทำตัวให้สมกับที่พวกเขาคาดหวัง! เจ้าคู่ควรกับพวกเขาเช่นนั้นหรือ?” อิ๋งซื่อไม่สนใจใบหน้าที่ขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ ของนาง ทุกประโยคบีบคั้น “ตอนที่กู่จิงตาย เจ้าบอกว่าเข้าจะต้องใช้ชีวิตให้สมกับที่เขาช่วยเหลือเจ้าด้วยชีวิต แล้วบัดนี้เล่า?”

อิ๋งซื่อเอ่ยด้วยความเย็นชา “เลือดของนักรบเหล่านี้สาดกระเซ็นอยู่บนตัวเจ้า เจ้าคิดว่าชีวิตของเจ้านี้ยังเป็นของเจ้าเช่นนั้นรึ? ชีวิตของลูกเจ้าคือชีวิต ชีวิตของชาวต้าฉินข้าไม่ใช่ชีวิตหรือ? เจ้าถึงได้เหยียบย่ำเยี่ยงนี้!”

ร่างของซ่งชูอีโงนเงน หายใจพะงาบ

“เจ้าสัญญากับกว่าเหรินว่าจะยึดครองจงหยวนด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ กว่าเหรินไม่สนใจว่าเจ้าเป็นสตรีเพศ ไม่สนใจว่ามีคนเสียสละเพื่อเจ้ามากมายเพียงใด ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษเพื่อช่วยชีวิตเจ้า ยังมีองค์จวินใต้หล้าองค์ใดที่ยินยอมให้เจ้ามากมายเพียงนี้!”

เสียงที่ไม่แยแสและสง่างามของอิ๋งซื่อดังก้องอยู่ในห้องโถงใหญ่ ทุกคำพูดเหมือนใบมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงให้หัวใจของซ่งชูอีปวดร้าว

“ผู้หญิงที่น่ารังเกียจเช่นนี้ กว่าเหรินก็ไม่ต้องการเจ้า” อิ๋งซื่อถอนหายใจ มองนางด้วยความเยือกเย็น “คิดเสียว่า

กว่าเหรินมองคนผิดไป ทว่าเจ้าจงจดจำไว้ตลอดไปว่าเจ้าซ่งหวยจินติดค้างสวรรค์! ติดค้างต้าฉิน! ติดค้างกว่าเหริน! ติดค้างอาจารย์!”

ไร้คุณธรรม อกตัญญู!

ซ่งชูอีทรุดตัวลงไปกับพื้น อิ๋งซื่อก้าวเท้ายาวๆ จากไปโดยไม่หันมองนาง

หลังจากอิ๋งซื่อจากไปแล้ว เจ้าอี่โหลวก็เข้ามาพยุงนางนั่งบนตั่ง

เขายืนอยู่ข้างนอกได้ยินคำพูดของอิ๋งซื่อชัดเจนทุกถ้อยคำ เขาก็รู้เรื่องเหล่านี้ดีเพียงแค่ไม่ต้องการพูดออกมาทำร้ายซ่งชูอี เขาสามารถโหดร้ายกับใครก็ได้ แต่เขาไม่สามารถโหดร้ายกับซ่งชูอีได้

“เอายามา” ซ่งชูอีพึมพำ

เจ้าอี่โหลวนึกว่าตนหูฝาดไป ซ่งชูอีกล่าวอีกรอบ “เอายาทำแท้งมา”

เจ้าอี่โหลวเห็นนางหลุบตาลง มองเห็นสีหน้าไม่ชัด แต่น้ำเสียงนั้นสงบและเด็ดขาดจึงเอ่ยว่า “ข้าจะประคองเจ้าไปที่ห้องนอนก่อน”

“ไม่ต้อง เข้าไปเอายามาเถิด ข้าต้องการอยู่คนเดียวเงียบๆ” ซ่งชูอีเอ่ย

“ได้” เจ้าอี่โหลวลังเลครู่หนึ่งก่อนลุกออกจากห้องไป

น้ำตาของซ่งชูอีไหลรินออกมาจากทั้งสองตา นางยกมือขึ้นกุมท้อง ยิ้มเยาะ “ลูกข้า ข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าด้วยชะตากรรมของข้า นี่คือเส้นทางที่ข้าเลือกเอง เพราะข้าทำผิดต่อเจ้า”

หากซ่งชูอีต้องแบกชื่อของผู้ไร้คุณธรรมและอกตัญญู ลูกที่เกิดมาในอนาคตก็จะถูกผู้คนทอดทิ้งไปด้วย นางไม่สามารถปล่อยให้ลูกของนางแบกรับหนี้ที่นางก่อทันทีที่เกิด

วาจาของอิ๋งซื่อราวกับมีดที่ทิ่มแทงอย่างเจ็บปวด ทำให้นางได้สติ

เมื่อเว่ยเต้าจื่อได้ยินว่าซ่งชูอียอมที่จะเอาเด็กออกแล้วก็รีบจ่ายยาและปรุงยาใหม่อีกครั้ง ราวกับกลัวว่าหากช้าไปกว่านี้นางจะเปลี่ยนใจอย่างไรอย่างนั้น

เขามีความมั่นใจในทักษะการแพทย์ของตัวเองมาก สถานการณ์ของซ่งชูอีเช่นนี้ โอกาสที่แม่และเด็กจะปลอดภัยมีไม่ถึงหนึ่งในหมื่น แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ ก็รับประกันได้ว่าจะช่วยให้รอดได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ต่อให้เปี่ยนเชวี่ยอยู่ที่นี่ก็จะมีผลลัพธ์เช่นเดียวกัน

“ช้าหน่อยเถิด” เจ้าอี่โหลวเอ่ย “นางมิใช่คนโลเล ไม่ใช่ว่าตัดสินใจเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”

เว่ยเต้าจื่อนั่งคุกเข่าพัดเตาอยู่บนทางเดิน ทอดถอนใจเอ่ย “เจ้าก็หักห้ามใจเสียบ้าง”

“ขอเพียงนางสบายดี มันสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด” เจ้าอี่โหลวเอ่ย

เว่ยเต้าจื่อมีความเชี่ยวชาญในแง่ของหนุ่มสาวเป็นอย่างดี เข้าใจในทุกพฤติกรรมของซ่งชูอี ทว่ามันก็ทำร้ายหัวใจของเจ้าอี่โหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางไม่ใช่ผู้หญิงที่ดื่มด่ำกับความรัก ฉะนั้นจึงไม่ยอมละทิ้งทุกอย่างตรงหน้าเพื่อเจ้าอี่โหลว อย่างไรก็ดีนางกลับมีจิตใจว้าวุ่นเพราะเด็กคนนี้ สิ่งที่ทุ่มเททั้งหมดรวมถึงความเป็นและความตายตลอดเจ็ดปีนั้นเทียบเท่ากับสามเดือนไม่ได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้นเด็กคนนี้เป็นลูกคนแรกของเจ้าอี่โหลว ต้องเลือกหนึ่งในสอง เขาจะไม่ปวดใจได้อย่างไร?

“หวยจินสับสนในเรื่องความรัก ไม่ใช่คนใจไม้ระกำ เพียงแต่รักษาเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้ นางจึงดื้อดึงต้องการจะปกป้องก็เท่านั้น” เว่ยเต้าจื่อปลอบประโลม

เจ้าอี่โหลวพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”

ยาต้มเรียบร้อยแล้ว เว่ยเต้าจื่อมาส่งยาพร้อมกันกับเจ้าอี่โหลว

นางยังคงนั่งอยู่บนห้องโถงหลัก สีหน้าไม่ต่างจากปกติ เพียงแต่ดวงตาแดงก่ำ

เว่ยเต้าจื่อวางถ้วยยาลงบนโต๊ะตรงหน้านาง

ไอร้อนที่ลอยคลุ้งทำให้วิสัยทัศน์ของซ่งชูอีพร่ามัว

นางกัดฟัน ยกถ้วยชาขึ้นแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด

เพล้ง!

ถ้วยยาแตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น

ซ่งชูอีเช็ดปาก ลุกขึ้นก้าวเท้ายาวๆ ออกไป

เจ้าอี่โหลวต้องการจะตามไปแต่กลับถูกเว่ยเต้าจื่อคว้าตัวไว้ “ครั้งนี้ใครก็ปลอบนางไม่ได้ เรียกหนิงยาไปเฝ้า หากมีปฏิกิริยาตอบสนองก็เรียกข้า”

สำนักเต๋าวางเฉยกับเรื่องความเป็นและความตายมาก ทว่าเว่ยเต้าจื่อกลับชอบไปสร้างปัญหาที่กุ่ยกู๋อยู่บ่อยๆ ไล่จับกับผู้อาวุโสกุ่ยกู๋จื่อมายี่สิบปี มีความรู้สึกเปรียบได้กับพ่อและลูกชาย วินาทีที่ได้รู้ข่าวว่ากุ่ยกู๋จื่อเสียชีวิตที่ทะเลสาบอวิ๋นเมิ่งเขาก็ยากที่จะยอมรับ ทว่าเมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ความเสียใจก็ค่อยๆ หายไป

เจ้าอี่โหลวออกไป ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อหนิงยาก็วิ่งเข้ามาด้วยความกระวนกระวาย “ท่านมีเลือดออกแล้วเจ้าค่ะ”

เว่ยเต้าจื่อรีบหยิบกล่องยาแล้วพุ่งออกไปจากห้องนอน

ทันทีที่เปิดประตูออก กลิ่นเลือดอันหนักหน่วงลอยเข้าเต็มโพรงจมูก ซ่งชูอีนอนหลับตาอยู่บนเตียงเงียบๆ โดยไม่ส่งเสียง หากไม่ใช่เพราะคิ้วที่ขมวดกันก็เหมือนกับกำลังนอนหลับมิปาน

เจ้าอี่โหลวนั่งลงบนขอบเตียง กุมมือของนางไว้…

ทั้งหมดนี้เป็นข้อสรุปที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว

***

ฤดูใบไม้ร่วงที่แสนสั้นและยาวนานได้ผ่านพ้นไป

หลังจากได้รับการดูแลอย่างดีจากเว่ยเต้าจื่อ แม้ว่าบัดนี้ซ่งชูอียังคงนอนอยู่บนเตียงทว่าสภาพจิตใจก็ดีขึ้นมาก สีหน้าก็ยังมีเลือดฝาดเล็กน้อย

กว่าหนึ่งเดือนมานี้ ซ่งชูอีเริ่มพูดจาหยอกล้อ เพียงแต่เวลาที่ไม่รู้ตัวก็มักจะนิ่งเงียบเสมอ

“หวยจิน หิมะตกแล้ว” เจ้าอี่โหลวเข้ามาจากข้างนอก มีเกล็ดหิมะเล็กๆ ร่วงอยู่บนศีรษะของเขา

ซ่งชูอีเอ่ย “เช่นนั้นรึ เปิดหน้าต่างให้ข้าดูหน่อย”

“ข้าถามศิษย์พี่ใหญ่แล้ว หลายวันนี้เจ้าออกมาข้างนอกได้” เจ้าอี่โหลวค้นหาเสื้อคลุมขนหมาป่าออกมาจากกล่อง “พวกเราไปดูหิมะที่ห้องใต้หลังคากันเถิด?”

“ได้” ซ่งชูอีเอ่ย

เจ้าอี่โหลวช่วยนางสวมเสื้อ ห่อนางอย่างแน่นหนาด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่ “ข้าจะแบกเจ้า”

เมื่อเห็นเขาหันหลังให้ ซ่งชูอีก็ไม่ได้ปฏิเสธ

หิมะโปรยปรายอยู่ในลาน ไม่มีสายลมพัด ซ่งชูอีล้มตัวอยู่บนหลังของเขา ด้ามจับร่มอยู่ระหว่างกลางทั้งสองคน หิมะที่ตกกระทบอยู่บนร่มส่งเสียงดังเปาะแปะ

“อี่โหลว เจ้าผอมลง” ซ่งชูอีเอ่ย

เจ้าอี่โหลวยิ้มเอ่ย “ต่อให้ผอมกว่านี้ก็แบกเจ้าไหว”

“ยังตำหนิข้าอยู่หรือไม่?” ซ่งชูอีรู้ว่าความดื้อรั้นของตัวเองทำให้เขาลำบากใจมาก

เกล็ดหิมะลอยม้วนอยู่ระหว่างลมหายใจของเจ้าอี่โหลว “เพียงแค่ความน้อยใจชั่วขณะเท่านั้น หากเทียบกันแล้ว ข้าโทษที่ตัวเองไร้ความสามารถมากกว่า ที่ผ่านมาข้าทำได้เพียงติดตามเจ้า ทว่าตอนที่เจ้าหมดหนทางมากที่สุด กลับทำได้เพียงนั่งมองตาปริบๆ”

“ใครบอกกัน?” ซ๋งชูอีวางคางอยู่บนไหล่ของเขา “ทุกคนที่เกลี้ยกล่อมให้ข้าแท้งลูกต่างวิเคราะห์ถึงข้อดีข้อเสีย ที่จริงแล้วข้าจะแยกแยะเรื่องเหล่านี้ไม่ออกเชียวหรือ? มีเพียงเจ้าที่ปลอบใจข้า บอกข้าว่าต่อไปจะมีลูกอีกก็ได้ แต่ว่าเจ้าไม่มีข้าไม่ได้”

เจ้าอี่โหลวหน้าแดงไปจนถึงหู “เหลวไหล ข้าไม่เคยพูดเยี่ยงนี้”

“เจ้าก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละ” ซ่งชูอีบีบหูของเขาและกล่าวอย่างอบอุ่น “ข้าหมดหนทาง สิ้นหวัง เหตุผลทั้งหมดดูไร้ความปรานี ทว่าเจ้าก็เป็นเหมือนข้า ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจข้าดังนั้นจึงได้เอาแต่ใจ”

อย่างไรก็ตามนางรู้ดีว่าไม่มีทางรักษาเด็กคนนี้ไว้ได้ นางหวังเหลือเกินว่าจะสามารถร้องไห้อย่างบ้าคลั่งและปกป้องเขาได้โดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด

“ข้าเป็นแม่ที่ห่วยแตกที่สุดในโลก” ซ่งชูอีกล่าว

เจ้าอี่โหลวหยุดเดิน รู้ดีว่าเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะปล่อยวางเรื่องนี้ ทว่าสถานการณ์ในโลกใบนี้มักไม่มีทางเลือก

สำหรับซ่งชูอีแล้ว ความรับผิดชอบทั้งหมดเป็นเพียงข้อแก้ตัวเท่านั้น ความรักของมารดานั้นเป็นเรื่องที่ทั้งไม่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ตัว นางรู้ดีว่าผู้หญิงหลายคนยังคงเลือกที่จะปกป้องลูกๆ ของตนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่นางไม่ใช่ผู้หญิงเช่นนั้น