บทที่ 332 สนมเจิ้งซิ่วแห่งฉู่อ๋อง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

เตาไฟห้องใต้หลังคากำลังลุกโชติช่วง ประตูหน้าต่างทั้งสี่ด้านปิดไว้อย่างแน่นหนา ภายในห้องอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ

“นี่เป็นการชมหิมะที่ไหนกัน!” ซ่งชูอีหันไปพูดกับหนิงยา “เปิดหน้าต่างซิ”

หนิงยาหัวเราะเอ่ย “บ่าวรู้อยู่แล้วท่านต้องการเปิดหน้าต่าง บ่าวจึงตั้งใจแขวนม่านแบบบางพิเศษไว้แล้ว”

นางลดม่านไม้ไผ่ลงก่อนจะเปิดหน้าต่าง “เช่นนี้มองออกไป ทิวทัศน์ถูกซ่อนไว้ครึ่งหนึ่ง ดูคลุมเครือน่าสนใจดีเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง

ลมหนาวพัดผ่านม่านบางๆ ซ่งชูอีหรี่ตาและมองไปที่ม่านหิมะ

หนิงยาหลุบตาลงมองเจ้าอี่โหลว

เจ้าอี่โหลวยกถ้วยชาเข้ามา เพยิดๆ คางขึ้น ส่งสัญญาณให้นางเอาไปให้

หนิงยารับถ้วยชามาแล้วยื่นให้ซ่งชูอี “ท่านอุ่นมือเถิด”

นางมองใบหน้าด้านข้างที่เงียบสงบของซ่งชูอี ในใจก็พลอยหดหู่ตามไปด้วย นางรู้สึกอยู่เสมอว่านายท่านเป็นคนใจกว้าง ก็เหมือนกับตอนที่ฮูหยินเฉาสิ้น แม้ว่าความเศร้าโศกจะทำให้โรคเก่าของนายท่านกำเริบ ทว่าตอนที่รักษาอาการป่วยทางตาก็มีท่าทางเช่นปกติ แต่ตอนนี้แม้ไม่เห็นความเศร้าโศกมากนักแต่กลับไม่เห็นรอยยิ้มที่น่ายินดีอีกต่อไปแล้ว

เห็นได้ชัดว่าความเจ็บปวดครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หลังจากลมพายุผ่านพ้นไปแล้วฟ้าดินก็ยังเป็นเช่นเดิม ทว่าความเจ็บปวดบางอย่างโหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง ฟ้าดินกลับตาลปัตรไม่อาจเป็นดังวันวาน

ซ่งชูอีถือถ้วยชาไว้ สายตามองทะลุไปยังมุมหอคอยฝั่งตรงข้ามไกลๆ ผ่านม่านหิมะหลายชั้น

ม่านหิมะแน่นหนา สามารถเห็นเพียงม่านในคอหอยม้วนขึ้นเลือนราง ชายในชุดดำผู้นั้นกำลังก้มหน้าราวกับว่ากำลังอ่านเอกสารอะไรบางอย่าง ขณะที่นางกำลังจะละสายตา ทันใดนั้นทางนั้นก็เกิดความโกลาหล ขันทีหลายคนพุ่งตัวเข้าไป

“หนิงยา เจ้าไปที่จวนมหาเสนาบดีสอบถามว่าฝ่าบาทเป็นอะไรไปหรือเปล่า” ซ่งชูอีเอ่ย

“เจ้าค่ะ” หนิงยาถอยออกไป

เจ้าอี่โหลวเดินเข้ามา มองตามสายตานางไปก็เห็นว่าขันทีกลุ่มหนึ่งกำลังลดม่านลง “เกิดอะไรขึ้น?”

“ยังไม่มั่นใจ” ซ่งชูอีส่ายหน้า สายตาของนางไม่ดีนัก มองไม่เห็นแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่ารู้สึกลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี “พรุ่งนี้ข้าจะถวายหนังสือขอคืนตำแหน่ง”

“กะทันหันเพียงนี้เลยรึ? ไหนบอกว่าจะพักผ่อนสองเดือนไม่ใช่รึ?” เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว

“ฉินเว่ยเปิดสงครามแล้ว” ซ่งชูอียกชาขึ้นมาจรดปากแต่กลับถูกเจ้าอี่โหลวห้ามไว้ แล้วเปลี่ยนชาถ้วยใหม่ให้นาง

ซ่งชูอียิ้ม ดื่มไปสองคำ

เจ้าอี่โหลวเอ่ยอย่างไม่พอใจ “บอกแล้วว่าไม่ให้เจ้าอ่านของพวกนั้น?”

“ไม่อ่านข้าก็ไม่รู้รึไง?” ทันทีที่นางพูดถึงเรื่องการเมืองก็รู้สึกสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด “ด้วยนิสัยของฝ่าบาท ไม่ว่าจะจัดการตู้เหิงในที่ลับอย่างไร ภายนอกกลับดูเหมือนจะผ่อนผันลดโทษให้ เพราะว่าเขารู้ว่าตัวเองกระทำการด้วยความแข็งกร้าวและโหดร้ายเกินไป ดังนั้นเขาจะไม่ยอมทิ้งทุกโอกาสที่จะได้รับชื่อเสียงแห่งความเมตตา อย่างไรก็ดี เรื่องบุกรุกสุสานบรรพบุรุษของรัฐฉินเช่นนี้ เขาจะต้องเชือดไก่ให้ลิงดู มิฉะนั้นจะให้คนอื่นมองว่าอิ๋งซื่อเป็นคนอ่อนหัดเช่นนั้นหรือ?”

“เจ้าเข้าใจเขาจริงๆ” เจ้าอี่โหลวพ่นลมหายใจเย็นชา

ซ่งชูอีเอ่ย “เข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ”

นางเพียงเข้าใจอิ๋งซื่อในแง่การปกครอง ทว่าโดยส่วนตัวแล้วนางรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาน้อยมาก

“สงครามเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว” เจ้าอี่โหลวหวังว่านางจะเดินออกมาจากความเศร้าโศกโดยเร็ว เมื่อเห็นว่านางมีความสนใจก็เอ่ยอย่างละเอียด “เพราะว่ารัฐเว่ยล่วงเกินสุสานของเซี่ยวกง กระตุ้นความโกรธเคืองทั่วทั้งรัฐ ความต้องการทำสงครามแรงกล้า หนึ่งเดือนที่ผ่านมากองทัพได้ออกจากด่านหานกู่และยึดครองพื้นที่กว่ายี่สิบกว่าลี้จนเกือบถึงชายแดนรัฐหานแล้ว เห็นทีจุดประสงค์ของฝ่าบาทก็คือก็คือการบุกยึดดินแดนของรัฐเว่ยที่อยู่ทางทิศตะวันตกของรัฐหานทั้งหมด ข้าคิดว่า…”

“เจ้าต้องการร่วมสงคราม?” ซ่งชูอีเอ่ย

สีหน้าของเจ้าอี่โหลวเยือกเย็น “หากแค้นนี้ไม่ชำนะ ใจของข้าก็ยากที่จะสงบ”

“ไปเถิด!” ซ่งชูอีพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “เจ้าวางใจเถิด ตอนนี้ร่างกายของข้าดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้ข้าคิดได้แล้วและจะไม่ทำร้ายตัวเอง”

เจ้าอี่โหลวในฐานะพ่อของลูก หมดหนทางที่จะรักษาเขาไว้ สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือการล้างแค้น

ทั้งสองคนตัดสินใจแน่วแน่ ความเจ็บปวดกลายเป็นความเกลียดชังที่ขมขื่น สาบานว่าจะชำระหนี้เลือดกับรัฐเว่ย

หิมะตกหนัก

หลังเที่ยง หนิงยาก็วิ่งฝ่าหิมะกลับมา

ซ่งชูอีเห็นว่านางหนาวจนหน้ารูปไข่แดงระเรื่อก็เรียกให้นางไปนั่งคุยข้างเตาอั้งโล่

หนิงยาสั่งให้สาวใช้ในห้องออกไปให้หมดก่อนที่จะเอ่ยกระซิบว่า “วันนี้ฝ่าบาทอาเจียนเป็นเลือดเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีตกใจ “เล่ามาให้ละเอียด”

หนิงยาเอ่ย “ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองได้รับพระบัญชาให้ปิดบังเรื่องนี้ บัดนี้หมอหลวงกล่าวเพียงว่าฝ่าบาททรงงานหนักเกินไป รายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นยังไม่รู้ ท่านมหาเสนาบดีเพิ่งจะตามบ่าวมาเชิญศิษย์พี่ใหญ่ออกไปด้วยกัน เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วนจึงไม่ได้แวะมาคุยกับท่าน อีกอย่าง ขันทีคนสนิทกล่าวว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝ่าบาทอาเจียนออกมาเป็นเลือด เพียงแต่รับสั่งให้ปิดบังไว้เท่านั้น”

“ฝ่าบาทร่างกายแข็งแรง เหตุใด…” ซ่งชูอีร้อนใจเล็กน้อย ถูๆ มือเอ่ยว่า “เจ้าไปทำงานเถิด ไว้ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาแล้วให้รีบมาบอกข้า”

“เจ้าค่ะ” หนิงยาถอยออกไป

เจ้าอี่โหลวพาไป๋เริ่นกลับมาจากข้างนอก ไป๋เริ่นสะบัดหิมะบนตัวออก แล้วกระโดดพุ่งเข้าหาซ่งชูอี

“ไปเที่ยวเล่นที่จวนมหาเสนาบดีอีกแล้วสิท่า!” ซ่งชูอีผลักมันออกไปด้วยความรังเกียจ

เจ้าอี่โหลวหัวเราะเอ่ย “ใช่แล้ว หนิงยาเพิ่งพามันกลับมา บอกว่ามันจะลากจินเกอออกไปเที่ยวให้ได้ จินเกอไม่ยิมยอม สุดท้ายก็เลยทะเลาะกัน”

ไป๋เริ่นเป็นหมาป่าหิมะ ชอบหิมะหนาวเย็นเป็นที่สุด จินเกอเป็นหมาป่าภูเขา มีอาหารให้กินดื่มในฤดูหนาวแน่นอนว่าไม่อยากขยับตัวอยู่แล้ว

“ฮ่า” ซ่งชูอีนวดๆ หูของมัน “หากเจ้าแพ้ละก็ไม่สมกับชื่อไป๋เริ่น (ใบมีดขาว) ของเจ้าเลย”

“ท่านเจ้าคะ! ท่านเจ้าคะ!” เสียงวิ่งตึงๆๆ ของหนิงยาดังขึ้นตรงทางเดิน

ซ่งชูอีได้ยินเสียงที่ร้อนรนของนาง รีบเอ่ยขึ้น “เข้ามา”

หนิงยาพุ่งเข้ามา ใบหน้าเปี่ยมด้วยความยินดี “ท่านทายสิว่าใครมา!”

ซ่งชูอีสำรวจนางอย่างละเอียดสองสามรอบ “เจียนรึ?”

“ท่านรู้ทุกอย่างจริงๆ! ไม่สนุกเอาเสียเลย” หนิงยาแก้มป่อง แต่ดวงตาดุจผลซิ่งกลับมีความยินดีที่ปกปิดไว้ไม่อยู่

ดวงตาของซ่งชูอีก็มีรอยยิ้ม “รีบให้เขาเข้ามา”

“เจ้าค่ะ!” หนิงยาวิ่งออกไป หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กหนุ่มตัวสูงเพรียว

เด็กหนุ่มสูงกว่าสามปีที่แล้วถึงหนึ่งช่วงศีรษะ สวมชุดดำทั้งชุดโดยมีเสื้อขนแกะคลุมด้านนอก ผมหมึกถูกมัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ผิวหน้าดำคล้ำ ดวงตาคู่นั้นมีสีเข้ม

“ฮ่าๆ!” ซ่งชูอีตบหน้าตัก กล่าวอย่างมีความสุข “เมื่อไม่กี่ปีก่อนเจ้ายังเป็นเพียงลูกสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นหัวถ่านไปแล้ว!”

“นายท่าน ท่านแม่ทัพ” ซ่งเจียนกำหมัดคำนับ

ซ่งชูอีลุกขึ้นประคองเขา และสำรวจเขาสองสามรอบ “อาจารย์ไม่ให้เจ้ากินข้าวหรืออย่างไร? ไม่กำยำเอาเสียเลย!”

ซ่งเจียนตอบด้วยความชัดเจน “ข้าสามารถกินขากวางสองตัวได้ในมื้อเดียว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่โต”

“ดี ดี” ซ่งชูอีเอื้อมมือจบๆ เขา “นั่งลงค่อยว่ากัน”

หลังจากทุกคนต่างนั่งลงแล้ว ซ่งชูอีก็ถามขึ้น “เหตุใดถึงกลับเสียนหยางเร็วเพียงนี้?”

ซ่งเจียนเป็นคนเงียบขรึม หนิงยารีบพูดขึ้น “บัดนี้อาเจียนสามารถคุ้มกันขบวนรถได้ตามลำพังแล้ว เขาบอกว่าท่านประสบกับอันตรายในช่วงเวลานี้ จึงตั้งใจรับงานที่เสียนหยางเพื่อมาเยี่ยมท่าน”

ซ่งเจียนรีบพูดขึ้น “ก็ไม่เชิง ข้าเพิ่งลาจากอาจารย์ นี่เป็นครั้งที่คุ้มกันขบวนรถตามลำพัง”

“เช่นนั้นก็เก่งมากแล้ว!” ซ่งชูอีเอ่ยชม

“นายท่านชมเกินไปแล้ว” ซ่งเจียนยังคงเป็นเหมือนเช่นก่อน พูดน้อย นั่งอยู่ตรงนั้นก็หายใจช้ากว่าคนธรรมดา เหมือนกับเงาอย่างไรอย่างนั้น ทว่าไม่มีความขลาดๆ กลัวๆ เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“อาเจียน ปกติเจ้ามักจะคุ้มกันขบวนรถกับอาจารย์ จะต้องเห็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยกระมัง?” แม้ว่าหนิงยาจะดีใจเหลือล้นทว่าก็ไม่ลืมซ่งชูอี หวังว่าซ่งเจียนจะสามารถเล่าเรื่องแปลกใหม่น่าสนใจเพื่อทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้นมาบ้าง

ทว่าซ่งเจียนเถรตรงเกินไปแล้ว อีกทั้งไม่ชอบพูด ได้ยินหนิงยากล่าวเช่นนี้ก็พยักหน้า “อืม”

“เรื่องน่าสนใจอะไรเล่า เล่ามาให้ฟังสิ” หนิงยาจ้องเขาด้วยดวงตาที่โตเป็นประกาย

ซ่งเจียนไม่กล้าปฏิเสธ เพียงแต่เลือกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด “ข้ากับอาจารย์พำนักอยู่ในรัฐฉู่ครึ่งปี เคยพบท่านแม่ทัพหลงกู่ครั้งหนึ่ง”

“ปู้วั่ง?” ซ่งชูอีเอ่ย

หนิงยารินน้ำให้นาง ได้ยินดังนี้ก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ได้เป็นท่านแม่ทัพตั้งแต่อายุยังน้อยเชียว! เก่งจริงๆ!”

จะว่าไปหลงกู่ปู้วั่งอายุไม่ห่างจากเจ้าอี่โหลวเท่าใดนัก ทว่าภูมิหลังของเขาไม่นับว่าโดดเด่น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาเข้ารัฐฉู่ตามลำพังแล้วสามารถประสบความสำเร็จเยี่ยงวันนี้ได้

ซ่งเจียนเอ่ย “ท่านแม่ทัพหลงกู่ผ่านสงครามน้อยใหญ่มากมายในหกปี ไม่เคยพ่ายแพ้สักครั้ง ปีที่แล้วสู้รบกับรัฐเว่ยในรัฐปาสู่ก็สามารถจับกุมท่านแม่ทัพรัฐเว่ยได้ บัดนี้เขาได้รับความไว้วางใจจากแม่ทัพสยงอย่างมากและได้แต่งงานกับองค์หญิง”

“องค์หญิง?” ซ่งชูอีถาม ฉู่อ๋องคนนี้อายุเพียงยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น องค์หญิงที่อายุมากที่สุดก็เพียงสิบเอ็ดขวบ ซึ่งเป็นองค์หญิงที่กำเนิดมาจากสนมรองเจิ้งซิ่ว

“เป็นองค์หญิงองค์โต ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าอายุเพียงสิบสองเท่านั้น ว่ากันว่าเพราะสนมรองถูกใจบุตรเขยผู้นี้ เป็นความประสงค์ฝ่ายเดียว” ซ่งเจียนเอ่ย

หนิงยากล่าวด้วยความเป็นห่วง “เช่นนั้นกว่าคุณชายน้อยจะแต่งฮูหยินได้ก็ปาเข้าไปยี่สิบห้ายี่สิบหกแล้วสิ! ได้ยินว่าตระกูลหลงกู่มีบุตรชายเพียงคนเดียว สงครามครั้งนี้ทั้งอันตรายและหนักหน่วง…นี่จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร!”

“สนมรองตั้งใจส่งสาวงามสิบนางให้ท่านแม่ทัพหลงกู่ เมื่อปีกลายท่านแม่ทัพหลงกู่ก็มีบุตรคนหนึ่ง” ซ่งเจียนกล่าว

“สนมรองคนนี้ฉลาดจริงๆ” จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำดังแทรก

ทุกคนต่างหันไปมองเจ้าอี่โหลวเป็นตาเดียว

ปกติแล้วเจ้าอี่โหลวจะไม่คุยเรื่องสัพเพหเระเช่นนี้ การเข้าร่วมวงสนทนาอย่างกะทันหันของเขาทำให้พวกเขาที่รู้จักเขาดีอึดอัดเล็กน้อย

เจ้าอี่โหลวเลือกที่นั่งแล้วนั่งลง ไอแห้งทีหนึ่ง “ทำไม ข้าพูดผิดตรงไหนรึ?”

“หึหึ” ซ่งชูอีรู้ดีว่าเขาทำเพื่อต้องการให้นางเดินออกมาจากความเศร้าโศกโดยเร็วและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มคุยเหมือนกับคนธรรมดา จากนั้นก็ว่าไปตามหัวข้อ “เจิ้งซิ่วมิได้ฉลาด แต่เพียงเข้าใจหัวใจของผู้ชาย เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ฉู่อ๋องถูกเกลี้ยกล่อมให้เชื่ออยู่ในโอวาท ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ไม่เข้าตา”

“ได้ยินว่าเป็นสาวงามแห่งรัฐเยวี่ย ผู้หญิงชาวเยวี่ยต่างอ้อนช้อย” หนิงยารู้สึกสนใจในตัวนางเป็นอย่างยิ่ง ในบรรดารัฐต่างๆ แทบจะไม่มีนางสนมของกษัตริย์องค์ใดที่มีชื่อเสียงขจรขจายเช่นเดียวกับนาง

“อืม ที่แท้ก็เป็นชาวเยวี่ยซีแห่งรัฐเยวี่ย” ซ่งชูอีสนใจนางไม่น้อย นางคือ “วีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่” ที่สังหารหมี่หยวนในเวลาต่อมา ความฉลาดไม่จำเป็นต้องอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องแต่มันคือความหายนะตามบรรทัดฐาน

“รัฐเยวี่ยคือหายนะอย่างแท้จริง” เจ้าอี่โหลวกล่าว

ทุกคนต่างหันมองเขาพร้อมกัน

การดื่มชาของเจ้าอี่โหลวหยุดชะงัก “ข้าพูดผิด?”

“ถูก” ซ่งชูอีพยักหน้า ถูกมันก็ถูก ทว่าน้ำเสียงของเขาราวกับว่ากำลังสั่งนายทหารในสนามฝึก ยิ่งไปกว่านั้นหัวข้อที่กำลังพูดถึงในตอนนี้คือ “สาวงาม” ยังไม่ได้พูดถึง “หายนะ” เลยด้วยซ้ำ และด้วยจังหวะของเขาเช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็ต้องการเปลี่ยนหัวข้อใหม่แล้ว

หนิงยากลับไปที่หัวข้อเดิมด้วยความตื่นเต้น “ซีซือกับเจิ้งต้านก็เป็นชาวเยวี่ยซีกระมัง?”

“อืม” ซ่งเจียนพยักหน้า

หนิงยาเอ่ย “ตอนที่ข้าฟังนายท่านพูดเรื่องพิชัยยุทธสงครามก็เคยบอกว่าเป็นแผนการของสาวงามนี่นา รัฐเยวี่ยมอบสาวงามให้อู่อ๋องหลงใหลในตัวซีซือและเจิ้งต้าน บ้านเมืองจึงถูกทำลาย”

“จึงมีคำกล่าวว่า หญิงงามทำลายบ้านเมืองอย่างไรเล่า!” ซ่งชูอีทอดถอนใจ

เจ้าอี่โหลวส่งเสียงหึหึ วนกลับมาข้อเดิมมันสนุกนักหรือไง?