ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากำลังจูบกันอย่างดุเดือด
ทันใดนั้นก็มีเสียง “เพล้ง” ดังขึ้น ถาดน้ำชาในมือของแม่นมฮวาที่เดินเข้าประตูมาตกลงบนพื้น
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รีบกระโดดออกจากตักของเยี่ยโยวเหยา
แก้มแดงก่ำ รู้สึกสับสนวุ่นวายจนทำสิ่งใดไม่ถูก นางจึงเริ่มจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง
แม่นมฮวาตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้รู้ตัวว่าตนเองทำสิ่งใดลงไป นางตำหนิตนเอง พลางก้มหยิบของที่ตกกระจายบนพื้นด้วยความอับอาย
แม่นมฮวายิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าวว่า “พระชายา ท่านอ๋อง พวกท่านต่อ ต่อเลยเพคะ! ข้าน้อยไม่เห็นอันใดเลยเพคะ ฮิฮิ ไม่เห็นอันใดเลยแม้แต่น้อย” ขณะที่พูดอยู่ แม่นมฮวาก็ยกมือขึ้นมาปิดตาและรีบเดินออกประตูไปอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีรู้สึกหงุดหงิดอยู่ครู่หนึ่ง หญิงชราบ้าตัณหาผู้นี้หมายความว่าอย่างไรกัน! นางเห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว ทว่ายังบอกว่าไม่เห็นสิ่งใดเลย
เยี่ยโยวเหยากระแอมอย่างแผ่วเบาหนึ่งครั้ง เมื่อซูจิ่นซีหันไปมอง เยี่ยโยวเหยาก็เริ่มหยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
แสร้งทำทีเป็นจริงจังราวกับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น ทว่าที่มุมปากยังคงมีชาดที่ติดจากริมฝีปากของซูจิ่นซีประดับอยู่ ทำให้ซูจิ่นซีเห็นแล้วอยากจะหัวเราะ
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ? ”
ไม่มีคนส่งเสียง
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ? ”
ยังไม่ส่งเสียง
“เยี่ยโยวเหยา! ”
เยี่ยโยวเหยาตอบเสียง “อืม” เบาๆ เมื่อนางเรียกเป็นครั้งที่สาม
เดิมทีซูจิ่นซีต้องการพูดเตือนเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นนางก็ไม่อยากพูดอันใดแล้ว
เสแสร้งอย่างนั้นหรือ!
ดูสิว่าท่านจะเสแสร้งไปได้ถึงเมื่อใด
“ท่านทำงานเถิดเพคะ! ข้าเหนื่อยแล้วจริงๆ จะกลับไปพักผ่อนแล้ว”
“อืม! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากตำหนักฝูอวิ๋นไป
นางรู้ว่าแม่นมฮวาเป็นผู้ที่เก็บความลับไม่อยู่ โดยเฉพาะเรื่องระหว่างเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี หากเรื่องไปถึงแม่นมฮวาแล้ว มันย่อมถูกเผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้อย่างแน่นอน
นั่นอย่างไร ทันทีที่ซูจิ่นซีออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋น นางก็รู้สึกว่าสายตาของผู้คนในสนามที่มองมาที่นางนั้นเบิกกว้างยิ่งกว่าการมองดูกำแพงเมืองจีนปาต้าหลิงเสียอีก
“ข้าจะบอกเจ้านะลวี่หลี! ในตอนนั้นฉากที่เจ้าไม่ได้เห็นนั่น! โอ้โห ที่แท้ในพระทัยของพระชายาพวกเรานั้นมีไฟสุมอยู่ ฉากนั้น ความรุนแรงนั้น… ทั้งสองปากประกบปาก กอดแนบชิดกัน หน้าชนหน้า… ”
แม่นมฮวาพูดกับลวี่หลี ทั้งยังจงใจใช้มือทั้งสองข้างทำท่าทางภาษามือ
ใบหน้าของซูจิ่นซีดำยิ่งกว่าก้นหม้อ นางเดินไปที่ด้านหลังของแม่นมฮวาทีละก้าวๆ
แม่นมฮวากำลังนินทากับลวี่หลีอย่างขะมักเขม้น นางจึงไม่ทันสังเกต
ทว่าลวี่หลีเห็นซูจิ่นซีแล้ว ใบหน้าลวี่หลีเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน นางมองไปยังซูจิ่นซีตลอดเวลา ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย
“เฮ้…สาวน้อย แม่นมกำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ! เจ้ามองสิ่งใดกัน! ” แม่นมฮวากล่าวกับลวี่หลีที่สติหลุดไปแล้ว
ทันใดนั้น แม่นมฮวาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางเงียบเสียงลงในทันที ยกมือปิดปากแล้วหันหลังกลับอย่างเชื่องช้า
“แม่นมฮวา พูดเรื่องกระไรหรือ? ช่างน่าสนใจ เหตุใดไม่พูดแล้วเล่า? ให้ข้าได้ฟังด้วยสิ! ”
“ว้าย… ” แม่นมฮวาตะโกนเสียงดังขึ้นมาในทันใด นางรีบก้าวเท้าวิ่งไปที่ห้องครัวเล็ก “โอ้ น้ำแกงของท่านอ๋องยังตุ๋นอยู่บนเตาเล็ก! เข้มข้นแล้ว นี่จะต้องเข้มข้นแล้วแน่นอน”
ในชั่วพริบตาร่างของแม่นมฮวาก็หายไป
จนกระทั่งหลายวันต่อมา แม่นมฮวาก็ไม่มาวนเวียนให้ซูจิ่นซีเห็นอีกเลย นางปล่อยให้ลวี่หลีดูแลจัดการทุกอย่าง เมื่อเห็นซูจิ่นซีในลานก็หลบและเดินอ้อมออกไป
แม่นมฮวากลัวจะสร้างปัญหา หากนางทำสิ่งใดโดยไม่ระมัดระวังจนทำให้ซูจิ่นซีอารมณ์เสีย ซูจิ่นซีอาจขอให้เยี่ยโยวเหยาส่งนางกลับไป
หลังจากที่ซูจิ่นซีเข้าไปที่เรือนอวิ๋นไค นางก็พบว่าห้องของนางมีหีบใบเล็กใหญ่เต็มไปหมด
“ลวี่หลี นี่มันเรื่องอันใดกัน? ”
ลวี่หลีรีบวิ่งขึ้นมาชั้นบนเพื่ออธิบาย “คุณหนู ทั้งหมดนี้เป็นท่านอ๋องมอบให้ท่านเพคะ เมื่อเช้าตอนที่ท่านไม่อยู่ ท่านอ๋องให้คนส่งมา สองหีบนี้เป็นรองเท้า สองหีบนี้เป็นเสื้อผ้า ยังมีสองหีบนี้เป็นเครื่องประดับและเงินทองเพคะ”
เยอะถึงเพียงนี้?
บรรจุเต็มทั้งหกหีบเลย!
เยี่ยโยวเหยาฟุ่มเฟือยหรูหราเกินไปหรือไม่?
ซูจิ่นซีสำรวจดูรอบหนึ่ง พบว่าเสื้อผ้าจำนวนมากทำจากผ้าไหมชั้นดี รองเท้าปักด้วยผ้าไหมแพรนุ่มลื่น ทั้งยังปักไข่มุกโมราจำนวนมากด้วย ไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับเหล่านั้น หินโมรา หยก ปะการัง เปลือกหอย ทอง เงิน และหยกขาว อย่างไรก็ตาม สิ่งของเหล่านี้เป็นของที่พวกสตรีในยุคนี้ใช้กัน โดยพื้นฐานแล้วพวกนางล้วนมีทั้งหมด
ทว่ามีไม่กี่อย่างที่ซูจิ่นซีชอบ สิ่งของทั้งหมดต่างมีสีสันฉูดฉาด ไม่ใช่รูปแบบที่ซูจิ่นซีชอบเลย
“คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาผู้ที่เติบโตมาหล่อเหลาถึงเพียงนั้น สายตากลับไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย”
“คุณหนู ท่านอ๋องอาจไม่ได้เลือกของพวกนี้เองเพคะ ท่านอย่าได้กล่าวหาท่านอ๋องเลย! ” ลวี่หลีแก้ตัวแทนเยี่ยโยวเหยา
“โอ้โห ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เจ้าเรียนรู้การเข้าข้างเยี่ยโยวเหยา? เริ่มที่จะหันข้อศอกออกด้านนอก [1] แล้วใช่หรือไม่ ว่าอย่างไร? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว
“มีเรื่องเช่นนั้นที่ใดกันเล่าเพคะ! ” ลวี่หลีรีบอธิบาย เมื่อพูดถึงประโยคหลัง ปากของนางก็เริ่มพึมพำ “อีกอย่าง ท่านกับท่านอ๋องต่างก็เป็นเช่นนั้นแล้ว ยังจะแยกกระไรนอกใน ฟังแล้วอึดอัดมากเลยเพคะ! ”
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เกิดความคิด “กลั่นแกล้ง” ลวี่หลีขึ้นมา
ซูจิ่นซีจงใจหรี่ตามองลวี่หลี พลางถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไหนเล่ามาสิ? ”
ลวี่หลีไม่ได้เดินทางผ่านยุคปัจจุบันมากไปกว่าซูจิ่นซี ความคิดของนางจึงล้าสมัย!
เมื่อถูกซูจิ่นซีถามเช่นนี้ ทันใดนั้นแก้มของลวี่หลีก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับปัดชาดทาแก้มหนาอย่างไรอย่างนั้น
“ก็อย่างนั้นอย่างไรเล่าเพคะ! ”
“อย่างนั้นคืออย่างไหนเล่า? ”
“อย่างนั้นก็คือ… ”
แก้มลวี่หลีแดงก่ำ นางเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจและพบว่าซูจิ่นซีกำลังยิ้มอย่างมีเลศนัย
“คุณหนู… ท่านจงใจแกล้งข้าน้อย”
“การกลั่นแกล้งมีตั้งหลายวิธี เจ้าแกะน้อย ข้าจะ ‘กลั่นแกล้ง’ เจ้าด้วยเหตุใดกัน? ”
ซูจิ่นซีจงใจเน้นน้ำหนักคำว่า ‘กลั่นแกล้ง’ หากนำสาวน้อยในสังคมศักดินายุคโบราณเข้าไปในท่อระบายน้ำโสมม สาวน้อยยังจะกลับออกมาจากตรงนั้นได้หรือ?
ใบหน้าของลวี่หลีแดงก่ำจนสามารถนำไปย่างปลาได้แล้ว
นางกระทืบเท้าแล้วกล่าวว่า “คุณหนู ลวี่หลีจะไม่พูดกับท่านแล้ว ตอนนี้ท่านเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างเพคะ? ”
ซูจิ่นซีถาม “เปลี่ยนไปอย่างไร? ”
“ไม่รู้จักอาย! ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจิ่นซีจืดจางลงไม่น้อย
ใช่แล้ว นางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
ซูจิ่นซีในตอนนี้มีถึงสองวิญญาณในร่างกาย นางไม่ใช่คนโง่ที่ผู้ใดคิดจะรังแกก็สามารถรังแกได้
เปลี่ยนไปก็ดีแล้วนี่!
เปลี่ยนไปโดยการพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อปกป้องเกียรติยศของตน
ทว่าบางครั้ง นางก็จนปัญญาไม่น้อยเช่นกัน
ซูจิ่นซีไม่ต้องการคิดถึงเรื่องราวที่น่ากังวลใจเหล่านั้น นางจึงพูดกับลวี่หลีเกี่ยวกับสิ่งของสองหีบที่เยี่ยโยวเหยามอบให้
“เจ้าบอกว่าสิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่เยี่ยโยวเหยาที่เลือกให้หรือ? ”
ไม่จริงใจเกินไปหน่อยหรือไม่?
ไม่ส่งให้ยังดีเสียกว่า!
“เพคะ! ” ลวี่หลีกล่าวขึ้น
“เช่นนั้นเป็นผู้ใดที่เลือก? ”
“เป็นคนของกรมพิธีการเพคะ! ก่อนหน้านี้เมื่อจะเข้าสู่ฤดูหนาว กรมพิธีการได้เดินทางไปที่เจียงหนานเพื่อจัดซื้อสิ่งของ พวกเขาส่งคนมาสอบถามท่านอ๋องกับคุณหนูว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มหรือไม่? ท่านอ๋องจึงบอกว่าให้นำหีบเสื้อผ้าสองหีบมาให้ท่าน รองเท้าสองหีบ และหีบเครื่องประดับอีกสองหีบเพคะ”
โอ้พระเจ้า…
เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้เปิดกรมพิธีการขึ้นมาด้วยตนเองหรืออย่างไร?
แม้แต่ฮองเฮาในวังหลวงก็ไม่ปรารถนาสิ่งของมากมายถึงเพียงนี้
ดูเหมือนว่าครั้งนี้นางได้จุดไฟกองเล็กในเมืองตี้จิงเสียแล้ว
“เฮ้อ… คนเราเมื่อมีชื่อเสียงก็มักนำพาความยุ่งยากมาสู่ตน เช่นเดียวกับหมูที่โดนขุนเพื่อเตรียมถูกเชือดสินะ… ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว ยกมือสองข้างเท้าเอว นางมองหีบที่วางทั่วพื้นก็เริ่มรู้สึกลำบากใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“คุณหนู ท่านกล่าวอันใดเพคะ? เกี่ยวข้องอันใดกับหมูหรือ? ”
ซูจิ่นซีมองลวี่หลีด้วยความเอ็นดูพลางส่ายหัว “สาวน้อย ไม่มีอันใดหรอก! ”
ช่องว่างระหว่างวัยกว่าสามพันปี!
สาวน้อย ข้าจะอธิบายกับเจ้าอย่างไรดี?
แม้ไม่ใช่เยี่ยโยวเหยาที่เป็นผู้เลือกเอง ทว่าก็เป็นความตั้งใจของเยี่ยโยวเหยา ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยามอบบางสิ่งบางอย่างให้กับนาง ซูจิ่นซียืนมองจากหน้าต่างดูเงาร่างของเยี่ยโยวเหยาผ่านหน้าต่างตำหนักฝูอวิ๋น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก
เมื่อคำนวณจากระยะเวลาแล้ว กรมพิธีการได้เดินทางไปที่เจียงหนานเพื่อซื้อของเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนั้นนางกำลังถอนพิษให้ฮองเฮาในวัง
ที่แท้ตอนนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว!
แม้ภายนอกเยี่ยโยวเหยาจะดูราวกับบุรุษผู้เย็นชาและไร้ความปรานี ทว่าความเป็นจริง ภายในใจกลับไม่ได้เย็นชาถึงเพียงนั้น!
……
เชิงอรรถ
[1] หันข้อศอกออกด้านนอก อุปมาถึงการช่วยเหลือผู้อื่น (คนนอก) และไม่ช่วยเหลือตนเอง (คนใน)