เล่ม 5 เล่มที่ 5 ตอนที่ 128 สาวน้อย ช่องว่างระหว่างวัยสามพันปีเชียวนะ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากำลังจูบกันอย่างดุเดือด

        ทันใดนั้นก็มีเสียง “เพล้ง” ดังขึ้น ถาดน้ำชาในมือของแม่นมฮวาที่เดินเข้าประตูมาตกลงบนพื้น

        ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รีบกระโดดออกจากตักของเยี่ยโยวเหยา

        แก้มแดงก่ำ รู้สึกสับสนวุ่นวายจนทำสิ่งใดไม่ถูก นางจึงเริ่มจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง

        แม่นมฮวาตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้รู้ตัวว่าตนเองทำสิ่งใดลงไป นางตำหนิตนเอง พลางก้มหยิบของที่ตกกระจายบนพื้นด้วยความอับอาย

        แม่นมฮวายิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าวว่า “พระชายา ท่านอ๋อง พวกท่านต่อ ต่อเลยเพคะ! ข้าน้อยไม่เห็นอันใดเลยเพคะ ฮิฮิ ไม่เห็นอันใดเลยแม้แต่น้อย” ขณะที่พูดอยู่ แม่นมฮวาก็ยกมือขึ้นมาปิดตาและรีบเดินออกประตูไปอย่างรวดเร็ว

        ซูจิ่นซีรู้สึกหงุดหงิดอยู่ครู่หนึ่ง หญิงชราบ้าตัณหาผู้นี้หมายความว่าอย่างไรกัน! นางเห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว ทว่ายังบอกว่าไม่เห็นสิ่งใดเลย

        เยี่ยโยวเหยากระแอมอย่างแผ่วเบาหนึ่งครั้ง เมื่อซูจิ่นซีหันไปมอง เยี่ยโยวเหยาก็เริ่มหยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

        แสร้งทำทีเป็นจริงจังราวกับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น ทว่าที่มุมปากยังคงมีชาดที่ติดจากริมฝีปากของซูจิ่นซีประดับอยู่ ทำให้ซูจิ่นซีเห็นแล้วอยากจะหัวเราะ

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ? ”

        ไม่มีคนส่งเสียง

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ? ”

        ยังไม่ส่งเสียง

        “เยี่ยโยวเหยา! ”

        เยี่ยโยวเหยาตอบเสียง “อืม” เบาๆ เมื่อนางเรียกเป็นครั้งที่สาม

        เดิมทีซูจิ่นซีต้องการพูดเตือนเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นนางก็ไม่อยากพูดอันใดแล้ว

        เสแสร้งอย่างนั้นหรือ!

        ดูสิว่าท่านจะเสแสร้งไปได้ถึงเมื่อใด

        “ท่านทำงานเถิดเพคะ! ข้าเหนื่อยแล้วจริงๆ จะกลับไปพักผ่อนแล้ว”

        “อืม! ”

        ซูจิ่นซียกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากตำหนักฝูอวิ๋นไป

        นางรู้ว่าแม่นมฮวาเป็นผู้ที่เก็บความลับไม่อยู่ โดยเฉพาะเรื่องระหว่างเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี หากเรื่องไปถึงแม่นมฮวาแล้ว มันย่อมถูกเผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้อย่างแน่นอน

        นั่นอย่างไร ทันทีที่ซูจิ่นซีออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋น นางก็รู้สึกว่าสายตาของผู้คนในสนามที่มองมาที่นางนั้นเบิกกว้างยิ่งกว่าการมองดูกำแพงเมืองจีนปาต้าหลิงเสียอีก

        “ข้าจะบอกเจ้านะลวี่หลี! ในตอนนั้นฉากที่เจ้าไม่ได้เห็นนั่น! โอ้โห ที่แท้ในพระทัยของพระชายาพวกเรานั้นมีไฟสุมอยู่ ฉากนั้น ความรุนแรงนั้น… ทั้งสองปากประกบปาก กอดแนบชิดกัน หน้าชนหน้า… ”

        แม่นมฮวาพูดกับลวี่หลี ทั้งยังจงใจใช้มือทั้งสองข้างทำท่าทางภาษามือ

        ใบหน้าของซูจิ่นซีดำยิ่งกว่าก้นหม้อ นางเดินไปที่ด้านหลังของแม่นมฮวาทีละก้าวๆ

        แม่นมฮวากำลังนินทากับลวี่หลีอย่างขะมักเขม้น นางจึงไม่ทันสังเกต

        ทว่าลวี่หลีเห็นซูจิ่นซีแล้ว ใบหน้าลวี่หลีเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน นางมองไปยังซูจิ่นซีตลอดเวลา ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย

        “เฮ้…สาวน้อย แม่นมกำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ! เจ้ามองสิ่งใดกัน! ” แม่นมฮวากล่าวกับลวี่หลีที่สติหลุดไปแล้ว

        ทันใดนั้น แม่นมฮวาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางเงียบเสียงลงในทันที ยกมือปิดปากแล้วหันหลังกลับอย่างเชื่องช้า

        “แม่นมฮวา พูดเรื่องกระไรหรือ? ช่างน่าสนใจ เหตุใดไม่พูดแล้วเล่า? ให้ข้าได้ฟังด้วยสิ! ”

        “ว้าย… ” แม่นมฮวาตะโกนเสียงดังขึ้นมาในทันใด นางรีบก้าวเท้าวิ่งไปที่ห้องครัวเล็ก “โอ้ น้ำแกงของท่านอ๋องยังตุ๋นอยู่บนเตาเล็ก! เข้มข้นแล้ว นี่จะต้องเข้มข้นแล้วแน่นอน”

        ในชั่วพริบตาร่างของแม่นมฮวาก็หายไป

        จนกระทั่งหลายวันต่อมา แม่นมฮวาก็ไม่มาวนเวียนให้ซูจิ่นซีเห็นอีกเลย นางปล่อยให้ลวี่หลีดูแลจัดการทุกอย่าง เมื่อเห็นซูจิ่นซีในลานก็หลบและเดินอ้อมออกไป

        แม่นมฮวากลัวจะสร้างปัญหา หากนางทำสิ่งใดโดยไม่ระมัดระวังจนทำให้ซูจิ่นซีอารมณ์เสีย ซูจิ่นซีอาจขอให้เยี่ยโยวเหยาส่งนางกลับไป

        หลังจากที่ซูจิ่นซีเข้าไปที่เรือนอวิ๋นไค นางก็พบว่าห้องของนางมีหีบใบเล็กใหญ่เต็มไปหมด

        “ลวี่หลี นี่มันเรื่องอันใดกัน? ”

        ลวี่หลีรีบวิ่งขึ้นมาชั้นบนเพื่ออธิบาย “คุณหนู ทั้งหมดนี้เป็นท่านอ๋องมอบให้ท่านเพคะ เมื่อเช้าตอนที่ท่านไม่อยู่ ท่านอ๋องให้คนส่งมา สองหีบนี้เป็นรองเท้า สองหีบนี้เป็นเสื้อผ้า ยังมีสองหีบนี้เป็นเครื่องประดับและเงินทองเพคะ”

        เยอะถึงเพียงนี้?

        บรรจุเต็มทั้งหกหีบเลย!

        เยี่ยโยวเหยาฟุ่มเฟือยหรูหราเกินไปหรือไม่?

        ซูจิ่นซีสำรวจดูรอบหนึ่ง พบว่าเสื้อผ้าจำนวนมากทำจากผ้าไหมชั้นดี รองเท้าปักด้วยผ้าไหมแพรนุ่มลื่น ทั้งยังปักไข่มุกโมราจำนวนมากด้วย ไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับเหล่านั้น หินโมรา หยก ปะการัง เปลือกหอย ทอง เงิน และหยกขาว อย่างไรก็ตาม สิ่งของเหล่านี้เป็นของที่พวกสตรีในยุคนี้ใช้กัน โดยพื้นฐานแล้วพวกนางล้วนมีทั้งหมด

        ทว่ามีไม่กี่อย่างที่ซูจิ่นซีชอบ สิ่งของทั้งหมดต่างมีสีสันฉูดฉาด ไม่ใช่รูปแบบที่ซูจิ่นซีชอบเลย

        “คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาผู้ที่เติบโตมาหล่อเหลาถึงเพียงนั้น สายตากลับไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย”

        “คุณหนู ท่านอ๋องอาจไม่ได้เลือกของพวกนี้เองเพคะ ท่านอย่าได้กล่าวหาท่านอ๋องเลย! ” ลวี่หลีแก้ตัวแทนเยี่ยโยวเหยา

        “โอ้โห ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เจ้าเรียนรู้การเข้าข้างเยี่ยโยวเหยา? เริ่มที่จะหันข้อศอกออกด้านนอก [1] แล้วใช่หรือไม่ ว่าอย่างไร? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว

        “มีเรื่องเช่นนั้นที่ใดกันเล่าเพคะ! ” ลวี่หลีรีบอธิบาย เมื่อพูดถึงประโยคหลัง ปากของนางก็เริ่มพึมพำ “อีกอย่าง ท่านกับท่านอ๋องต่างก็เป็นเช่นนั้นแล้ว ยังจะแยกกระไรนอกใน ฟังแล้วอึดอัดมากเลยเพคะ! ”

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เกิดความคิด “กลั่นแกล้ง” ลวี่หลีขึ้นมา

        ซูจิ่นซีจงใจหรี่ตามองลวี่หลี พลางถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไหนเล่ามาสิ? ”

        ลวี่หลีไม่ได้เดินทางผ่านยุคปัจจุบันมากไปกว่าซูจิ่นซี ความคิดของนางจึงล้าสมัย!

        เมื่อถูกซูจิ่นซีถามเช่นนี้ ทันใดนั้นแก้มของลวี่หลีก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับปัดชาดทาแก้มหนาอย่างไรอย่างนั้น

        “ก็อย่างนั้นอย่างไรเล่าเพคะ! ”

        “อย่างนั้นคืออย่างไหนเล่า? ”

        “อย่างนั้นก็คือ… ”

        แก้มลวี่หลีแดงก่ำ นางเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจและพบว่าซูจิ่นซีกำลังยิ้มอย่างมีเลศนัย

        “คุณหนู… ท่านจงใจแกล้งข้าน้อย”

        “การกลั่นแกล้งมีตั้งหลายวิธี เจ้าแกะน้อย ข้าจะ ‘กลั่นแกล้ง’ เจ้าด้วยเหตุใดกัน? ”

        ซูจิ่นซีจงใจเน้นน้ำหนักคำว่า ‘กลั่นแกล้ง’ หากนำสาวน้อยในสังคมศักดินายุคโบราณเข้าไปในท่อระบายน้ำโสมม สาวน้อยยังจะกลับออกมาจากตรงนั้นได้หรือ?

        ใบหน้าของลวี่หลีแดงก่ำจนสามารถนำไปย่างปลาได้แล้ว

        นางกระทืบเท้าแล้วกล่าวว่า “คุณหนู ลวี่หลีจะไม่พูดกับท่านแล้ว ตอนนี้ท่านเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างเพคะ? ”

        ซูจิ่นซีถาม “เปลี่ยนไปอย่างไร? ”

        “ไม่รู้จักอาย! ”

        รอยยิ้มบนใบหน้าของซูจิ่นซีจืดจางลงไม่น้อย

        ใช่แล้ว นางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

        ซูจิ่นซีในตอนนี้มีถึงสองวิญญาณในร่างกาย นางไม่ใช่คนโง่ที่ผู้ใดคิดจะรังแกก็สามารถรังแกได้

        เปลี่ยนไปก็ดีแล้วนี่!

        เปลี่ยนไปโดยการพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อปกป้องเกียรติยศของตน

        ทว่าบางครั้ง นางก็จนปัญญาไม่น้อยเช่นกัน

        ซูจิ่นซีไม่ต้องการคิดถึงเรื่องราวที่น่ากังวลใจเหล่านั้น นางจึงพูดกับลวี่หลีเกี่ยวกับสิ่งของสองหีบที่เยี่ยโยวเหยามอบให้

        “เจ้าบอกว่าสิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่เยี่ยโยวเหยาที่เลือกให้หรือ? ”

        ไม่จริงใจเกินไปหน่อยหรือไม่?

        ไม่ส่งให้ยังดีเสียกว่า!

        “เพคะ! ” ลวี่หลีกล่าวขึ้น

        “เช่นนั้นเป็นผู้ใดที่เลือก? ”

        “เป็นคนของกรมพิธีการเพคะ! ก่อนหน้านี้เมื่อจะเข้าสู่ฤดูหนาว กรมพิธีการได้เดินทางไปที่เจียงหนานเพื่อจัดซื้อสิ่งของ พวกเขาส่งคนมาสอบถามท่านอ๋องกับคุณหนูว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มหรือไม่? ท่านอ๋องจึงบอกว่าให้นำหีบเสื้อผ้าสองหีบมาให้ท่าน รองเท้าสองหีบ และหีบเครื่องประดับอีกสองหีบเพคะ”

        โอ้พระเจ้า…

        เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้เปิดกรมพิธีการขึ้นมาด้วยตนเองหรืออย่างไร?

        แม้แต่ฮองเฮาในวังหลวงก็ไม่ปรารถนาสิ่งของมากมายถึงเพียงนี้

        ดูเหมือนว่าครั้งนี้นางได้จุดไฟกองเล็กในเมืองตี้จิงเสียแล้ว

        “เฮ้อ… คนเราเมื่อมีชื่อเสียงก็มักนำพาความยุ่งยากมาสู่ตน เช่นเดียวกับหมูที่โดนขุนเพื่อเตรียมถูกเชือดสินะ… ”

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว ยกมือสองข้างเท้าเอว นางมองหีบที่วางทั่วพื้นก็เริ่มรู้สึกลำบากใจขึ้นมาบ้างแล้ว

        “คุณหนู ท่านกล่าวอันใดเพคะ? เกี่ยวข้องอันใดกับหมูหรือ? ”

        ซูจิ่นซีมองลวี่หลีด้วยความเอ็นดูพลางส่ายหัว “สาวน้อย ไม่มีอันใดหรอก! ”

        ช่องว่างระหว่างวัยกว่าสามพันปี!

        สาวน้อย ข้าจะอธิบายกับเจ้าอย่างไรดี?

        แม้ไม่ใช่เยี่ยโยวเหยาที่เป็นผู้เลือกเอง ทว่าก็เป็นความตั้งใจของเยี่ยโยวเหยา ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยามอบบางสิ่งบางอย่างให้กับนาง ซูจิ่นซียืนมองจากหน้าต่างดูเงาร่างของเยี่ยโยวเหยาผ่านหน้าต่างตำหนักฝูอวิ๋น อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก

        เมื่อคำนวณจากระยะเวลาแล้ว กรมพิธีการได้เดินทางไปที่เจียงหนานเพื่อซื้อของเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนั้นนางกำลังถอนพิษให้ฮองเฮาในวัง

        ที่แท้ตอนนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ได้ดำเนินการเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว!

        แม้ภายนอกเยี่ยโยวเหยาจะดูราวกับบุรุษผู้เย็นชาและไร้ความปรานี ทว่าความเป็นจริง ภายในใจกลับไม่ได้เย็นชาถึงเพียงนั้น!

……

เชิงอรรถ

[1] หันข้อศอกออกด้านนอก อุปมาถึงการช่วยเหลือผู้อื่น (คนนอก) และไม่ช่วยเหลือตนเอง (คนใน)