“ไร้ประโยชน์สิ้นดี เขาเป็นโอรสของข้า ไท่จื่อแห่งตงกง ทำเรื่องพวกนั้นเพื่อสตรีเพียงผู้เดียวได้อย่างไร ทำได้อย่างไร… ”
ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงกริ้วแต่อย่างใด พระองค์จับพระอุระไว้ พระพักตร์เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อีกนิดเดียวก็เกือบจะหมดสติไปแล้ว
เหล่าเสนาบดีรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก
“ฝ่าบาท กระหม่อมต่างก็หวาดกลัวพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะต้องดูแลพลานามัยของพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ! ”
“พลานามัยสำคัญที่สุดนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท! ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง สภาวะอารมณ์ของฮ่องเต้ก็สงบลง ทว่าพระพักตร์ของพระองค์ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ทรงชี้ไปยังขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เพิ่งรายงานเรื่องเมื่อครู่ แล้วตรัสว่า “เจ้าพูดต่อ ประชาชนที่อยู่ในเมืองตี้จิงตอนนี้พูดกันว่าอย่างไร? ”
“กระหม่อมกลัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่กล้า! ”
เมื่อครู่ความโกรธของฮ่องเต้มากถึงเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าพูดต่อแม้แต่คำเดียวกัน?
“พูด! ” ฮ่องเต้หมดความอดทน
ขุนนางผู้นั้นกัดฟัน และพูดรายงานออกไปในทันที “พวกเขาล้วนพูดกันว่าพระชายาไท่จื่อในอนาคตไม่มีความเมตตา คุณหนูฮั่วเป็นคนหน้าซื่อใจคด เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนถนนหลักฉางอันวันนี้ล้วนเป็นการลงโทษพวกเขาทั้งสองจากสวรรค์เบื้องบน ยังกล่าวอีกว่า… กล่าวว่า… ”
“ยังกล่าวว่าอันใด? ” ฮ่องเต้ระงับความโกรธเกรี้ยวและกล่าวตำหนิอย่างเย็นชา
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ถูกทำให้ตกใจกลัวจนตัวสั่นสะท้าน “ยังกล่าวอีกว่าไท่จื่อไร้มนุษยธรรม ไม่ใช่ชูจุนผู้ที่สวรรค์เบื้องบนลิขิตไว้ ผู้ที่ไม่ถูกลิขิต หากในอนาคตต้องสืบราชบัลลังก์ดำรงตำแหน่งฮ่องเต้องค์ต่อไป จะต้องทุกข์ทรมานจากความพิโรธของเบื้องบน ราชวงศ์จะต้องจบสิ้นพ่ะย่ะค่ะ… ”
“หุบ… หุบปาก… หุบปากให้หมด พูดจาไร้สาระอันใดกัน… ล้วนไร้สาระทั้งหมด… ”
ฮ่องเต้ชี้ไปยังขุนนางชายผู้นั้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่าเมื่อพูดก็ราวกับเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เสียงพูดของพระองค์เริ่มดังขึ้น
ดวงตาเบิกกว้าง หมดสติไปในทันใด
ซูจิ่นซีกลับถึงจวนโยวอ๋อง นางพึ่งจะเข้าไปถึงเรือนชิงโยว แม่นมฮวาก็เอ่ยทักด้วยท่าทางที่จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
“พระชายาเพคะ ท่านอ๋องกลับมาแล้วเพคะ! ”
“อื้ม! ” ซูจิ่นซีตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“พระชายาเพคะ เรื่องราวที่ท่านอยู่บนถนนหลักฉางอันท่านอ๋องทรงทราบหมดแล้วนะเพคะ”
ขณะที่แม่นมฮวาพูดอยู่ นางก็เหมือบมองไปทางตำหนักฝูอวิ๋นครู่หนึ่ง
ซูจิ่นซีเข้าใจขึ้นมาในทันที เยี่ยโยวเหยารู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นบนถนนฉางอัน นางไม่มีความสุขเสียแล้ว
ประตูของตำหนักฝูอวิ๋นเปิดออก หมายความว่าสามารถเข้าไปได้ ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่ได้ไปเรือนอวิ๋นไค ทว่าไปที่ตำหนักฝูอวิ๋นก่อน
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยากำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อคัดแยกจดหมายให้เป็นระเบียบ เมื่อซูจิ่นซีเข้ามาก็พบเขาในทันที นางจึงเอ่ยเรียก
“อื้ม! ”
เยี่ยโยวเหยาเพียงตอบรับเบาๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
ซูจิ่นซีเดินเข้าไป อยากรู้ว่าเยี่ยโยวเหยากำลังดูสิ่งใดอยู่ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้หลบเลี่ยงซูจิ่นซีเช่นกัน ดังนั้นซูจิ่นซีจึงอ่านได้อย่างชัดเจน พวกมันเป็นจดหมายจากที่ต่างๆ ซูจิ่นซีไม่ได้มีความสนใจต่อสิ่งเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีพบว่ากระถางของต้นหูเตี๋ยหลานที่ย้ายจากเรือนอวิ๋นไคได้ถูกนำมาวางไว้บนตู้หนังสือ คาดไม่ถึงว่ามันจะเติบโตขึ้นมาน่าดูชมกว่ากระถางใบนั้นที่ซูจิ่นซีปลูกไว้
ซูจิ่นซีขยับก้านดอกไม้ครั้งหนึ่งพลางพูดพึมพำกับตนเองว่า “คิดไม่ถึงว่าที่นี่ก็เป็นยุคแห่งการมองใบหน้าด้วย อย่างที่คาดไว้บุรุษชาตรีปลูกล้วนแตกต่างออกไป”
แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะยุ่งอยู่กับงาน ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงฟังคำพูดของซูจิ่นซีอยู่ ทว่าฟังไม่เข้าใจ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วมองซูจิ่นซี
ใบหน้าของซูจิ่นซีเฉื่อยชา “ไม่มีอันใดเพคะ ท่านทำงานก่อนเถิด! ข้าจะกลับไปนอนสักงีบ”
ซูจิ่นซีพูดจบกำลังเดินจากไป คิดไม่ถึงว่าจะถูกเยี่ยโยวเหยาคว้าแขนไว้
ซูจิ่นซีหันกลับมามอง
เยี่ยโยวเหยาคว้าแขนซูจิ่นซีดึงลงไปนั่งบนตักของตนเอง “จะไปที่ใด? ”
คุณหนูหนานกงปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทว่าต่อมาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากนั้นพวกเขาก็จูบกันอย่างดูดดื่มบนห้องใต้หลังคาของเรือนอวิ๋นไค ทำให้ระยะห่างระหว่างซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น เยี่ยโยวเหยาดูไม่เฉยเมยกับซูจิ่นซีเหมือนก่อนหน้านั้นอีกแล้ว
เยี่ยโยวเหยาที่เป็นเช่นนี้ทำให้ซูจิ่นซีชอบอยู่บ้าง ทว่าซูจิ่นซีกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อย
ซูจิ่นซีพูดอย่างแข็งกร้าวว่า “กลับเรือนอวิ๋นไคเพคะ”
“เรื่องราวในวันนี้ควรจะอธิบายให้ข้าฟังหน่อยหรือไม่? ”
หลังจากที่ซูจิ่นซีเดินเข้าประตูมา แม่นมฮวาก็เตือนแล้วว่าเยี่ยโยวเหยากำลังโมโหอยู่ ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่เข้าใจว่าเยี่ยโยวเหยากำลังโมโหสิ่งใดกันแน่
“อธิบายกระไรหรือเพคะ? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าไม่เข้าใจ? ” เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วมุ่น
ทันใดนั้นในหัวของซูจิ่นซีก็มีแสงสว่างวาบ นางนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้กระมัง? เยี่ยโยวเหยาเพคะ กระทั่งเรื่องไม่มีมูลเช่นนี้ ท่านก็ยังหึง? ใจแคบไปหน่อยกระมังเพคะ? ”
คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะพูดจาตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาราวกับไม่เป็นตัวเอง ทว่าเขายังคงยึดปลายคางของซูจิ่นซีเอาไว้แล้วถามว่า “ให้เหตุผลกับข้า”
ซูจิ่นซีไม่ชอบท่าทางเช่นนี้เลย นางรู้สึกเหมือนถูกชายหนุ่มลวนลามขืนใจ นางคิดอยากหันศีรษะสลัดมือของเยี่ยโยวเหยาออก ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยายึดไว้ด้วยแรงที่มากขึ้น
“ว่าอย่างไร? ” เยี่ยโยวเหยาบังคับถามอีกครั้ง
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ท่านปล่อยมือก่อน! ท่านทำให้ข้าเจ็บแล้วนะเพคะ! ”
“เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าเป็นสตรีของข้า ชายสารเลวอื่นใด ล้วนห้ามห่วงใยนึกถึง”
เยี่ยโยวเหยาคิดว่าซูจิ่นซีอิจฉาริษยาที่เยี่ยเซินและฮั่วอวี้เจียวอยู่ด้วยกันหรือ?
คนอื่นเข้าใจผิดนางไม่สนใจ คิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาก็เข้าใจนางผิดเช่นกัน
ทว่าเขาอาศัยอันใดกัน?
อาศัยสิ่งใดมาสอบถามอย่างเผด็จการถึงเพียงนี้?
นางทุกข์ใจมากพอแล้ว
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ เช่นนั้นท่านก็ต้องจำไว้เช่นกันว่าท่านเป็นบุรุษของซูจิ่นซี หญิงชั่วอื่นใดท่านก็ห่วงใยให้น้อยหน่อยนะเพคะ”
ซูจิ่นซีมองกลับด้วยสายตาเย็นชา นางพลิกฝ่ามือยึดคอเสื้อของเยี่ยโยวเหยาเอาไว้ ดวงตาสีเข้มแวววาวทั้งสองจ้องมองไปที่เยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาเคยเห็นซูจิ่นซีมาหลากหลายรูปแบบ ทว่าไม่เคยเห็นนางที่แข็งแกร่ง ทรงพลัง และเผด็จการเช่นนี้มาก่อน จึงตกตะลึงไปเล็กน้อย
ศีรษะของซูจิ่นซีเคลื่อนเข้ามาใกล้จมูกของเยี่ยโยวเหยา นางจ้องมองไปยังดวงตาที่มืดมิดและคลุมเครือของเยี่ยโยวเหยา แล้วถามว่า “เยี่ยโยวเหยา เกิดอันใดขึ้นกับคุณหนูหนานกงเพคะ? ท่านควรอธิบายให้ข้าฟังด้วยเช่นกันหรือไม่เพคะ? ”
นัยน์ตาของเยี่ยวโยวเหยาเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกและคลุมเครือ มือที่ยึดคางของซูจิ่นซีไว้ยิ่งออกแรงมากขึ้น
ซูจิ่นซีอดกลั้นความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่สบายเอาไว้ นางขยับเข้าใกล้เยี่ยโยวเหยามากขึ้น จนไม่มีช่องให้ลมผ่านแม้แต่น้อย “ว่าอย่างไร? เยี่ยโยวเหยา ว่าอย่างไรเพคะ! ทำไมไม่พูดเล่า ท่านเคยจูบนางเหมือนที่จูบข้าหรือไม่? ”
ทว่า…
วินาทีต่อมา ซูจิ่นซีก็ค้นพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ผิดปกติอย่างยิ่ง
พวกเขาตาจ้องตา จมูกชนจมูก ริมฝีปากชนริมฝีปาก
แม้ไม่ได้จูบทว่าก็แนบชิด ทั้งเย็นเฉียบและชุ่มชื้นอ่อนโยน ริมฝีปากทั้งสองทาบทับกันแนบสนิท
มือข้างหนึ่งของเยี่ยโยวเหยาแม้จะบีบคลึงปลายคางของซูจิ่นซีอยู่ ทว่ามืออีกข้างกลับไม่รู้ว่ามาวางทาบบนเอวของซูจิ่นซีอย่างพอดิบพอดีตั้งแต่เมื่อใด
ทางด้านซูจิ่นซีที่จับคอเสื้อของเยี่ยโยวเหยาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างคล้องอยู่รอบคอของเยี่ยโยวเหยา เพื่อทำให้จุดศูนย์ถ่วงคงที่ นางนั่งอยู่บนตักของเยี่ยโยวเหยา ร่างกายแนบชิดกับเยี่ยโยวเหยายิ่งนัก
การกระทำนี้ช่างคลุมเครือเสียจริง…
ทำให้คนอดคิดสกปรกไม่ได้
ทว่าที่แย่กว่านั้นคือ ซูจิ่นซีพบว่ามีบางอย่างผิดปกติปรากฏอยู่ใต้ก้นของนางอย่างเห็นได้ชัด บางสิ่งบางอย่างค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ทันใดนั้นแก้มของซูจิ่นซีพลันแดงก่ำขึ้นมา รู้สึกถึงความพิศวาสร้อนรุ่ม นางเม้มริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อย แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ท่านมันอันธพาล”
ขณะที่พูดอยู่ ซูจิ่นซีก็เบี่ยงตัวออกจากตักของเยี่ยโยวเหยา ทว่าแรงมือที่ทาบอยู่บนเอวของนางกลับเพิ่มขึ้น
เสียงของเยี่ยโยวเหยาไม่เป็นธรรมชาติเสียยิ่งกว่าซูจิ่นซี เขากำลังอดกลั้นกับบางสิ่ง จึงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “อย่าขยับ! ”
ทันใดนั้นร่างกายของซูจิ่นซีพลันแข็งทื่อ นางไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
เยี่ยโยวเหยาหลับตาทั้งสองข้างลง กล่าวอย่างราบเรียบว่า “หากเจ้าขยับอีก ข้าไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่เกิดอันใดขึ้น”
แก้มของซูจิ่นซีแดงก่ำเป็นอย่างมาก นางพบว่าหน้าผากของเยี่ยโยวเหยามีเหงื่อเย็นเฉียบเม็ดละเอียดผุดขึ้นมา เนื่องจากกำลังอดทนจนถึงขีดสุด หน้าอกจึงกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดราวกับคลื่น
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”
“อื้ม! ”
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”
“หืม! ”
“เยี่ย… ”
ทันใดนั้นมือที่บีบปลายคางของซูจิ่นซีก็ย้ายไปยังท้ายทอยของนางในทันที
จากนั้นริมฝีปากของซูจิ่นซีก็ถูกเยี่ยโยวเหยาขบกัดอย่างรุนแรงดุดัน
“ซูจิ่นซี เจ้าทำให้ข้าลุกเป็นไฟ!”
แสงในฤดูใบไม้ร่วงจรัสเรืองรอง ตะวันยอแสงส่องทแยงเข้ามาจากทางหน้าต่างอย่างพอดิบพอดี เบ่งบานในช่วงวสันตฤดู
ซูจิ่นซีปล่อยมือที่ยืดคอเสื้อของเยี่ยโยวเหยาออก นางโอบรอบคอของเยี่ยโยวเหยาเอาไว้ พลางจูบตอบอย่างสั่นสะท้าน