ช่วงเวลาเย็น

ว่าวใบหนึ่งปรากฏขึ้นในนิกายร้อยบุปผา

มันเป็นว่าวที่มีขนาดเดียวกันกับฟูกนอน แขวนอยู่บนฟากฟ้า และแทบจะไม่มีการขยับไหวใดๆ เลย

ต่อให้สายลมยามค่ำจะอ่อนลง หรือท้องฟ้าจะมีฝนปรอยๆ ตกลงมา ทว่าว่าวกลับไม่มีทีท่าว่าจะร่วงหล่นมาเลย

ดูเหมือนว่าว่าวนี้จะขับเคลื่อนด้วยค่ายกลบางอย่าง ส่งผลให้มันไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังงานลมในการลอยตัวแต่อย่างใด

“แบบนี้มันจะดีหรือ?”

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองและเอ่ยถาม

“มันไม่เป็นไรหรอก” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “หากผู้ใดคิดจะฝึกยุทธ์ หนทางที่คนผู้นั้นต้องพบเผชิญย่อมยากลำบากเสมอ หากพวกเราไม่บีบคั้นเขาเช่นนั้น เกรงว่าทั้งชีวิตเขาคงไม่สามารถยกระดับไปได้”

เธอเอ่ยเสริมว่า “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว ก็จงมาเถิด พวกเราจะได้ชิมรสฝีมือของกู่ฉิงซานกันเสียที”

ว่าจบ ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยชามและตะเกียบ

ทุกคนนั่งลงบนโต๊ะอาหาร

นอกไปจากนางเซียนไป่ฮั่วกับห่านขาวแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ้างเป็นครั้งคราว

กู่ฉิงซานมองอาจารย์และห่านขาว ก่อนจะสลับมองศิษย์น้องหญิงทั้งสาม และอดไม่ได้ที่ปรบมือ “มาเถิด ถ้าไม่รีบกินเดี๋ยวมันจะเย็นนะ”

พอถูกเรียกสติ ทุกคนจึงค่อยยกตะเกียบขึ้น

“อ๊า รสชาติดีจัง!”

ซิวซิวที่กัดไปเพียงคำแรก เบิกตากว้าง

“นั่นสิ อาหารวิญญาณของฉิงซานทำออกมาได้ดีทีเดียว” ห่านขาวแสดงความคิดเห็น

ส่วนนางเซียนไป่ฮั่ว เธอลองชิมอาหารไปสองสามอย่าง ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “ฉิงซาน ซิวซิวกำลังเริ่มจะเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อเองก็ผ่านพ้นความเจ็บปวดมามากมาย ฉะนั้นในช่วงนี้ เรื่องจัดการอาหาร ข้าอยากจะขอมอบมันให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ…เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”

“ยินดีขอรับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานกล่าว

“ดีมาก” นางเซียนผุดลุกขึ้น และกล่าว “ฉิงซาน หากนิกายเรากลับมากินอาหารได้อย่างอิ่มเอมอีกครั้ง ข้าก็รู้สึกโล่งใจแล้ว เจ้าค่อยๆ กินมันไปเถิด”

“อ้าว? อาจารย์ทานพอแล้วหรือ?” ซิวซิวที่กำลังขมุบขมิบปากเอ่ยถาม

“พอดีว่ามีกลุ่มคนจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์มาเยือนน่ะ” นางเซียนอธิบาย

กู่ฉิงซานยืนขึ้น เขาเอ่ยปากขอ “อาจารย์ ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“อย่าได้กังวลไป เพราะในเวลานี้ทุกคนที่มาเยือน ต่างก็ล้วนเป็นผู้ให้การสนับสนุนข้า การมาในครั้งนี้คาดว่าพวกเขาคงได้ทราบข่าวเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้ว จึงเร่งตรงมาที่นี่”

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นอาจารย์จะให้ข้าทอดอาหารสักสองสามจาน แล้วเชิญพวกเขามารับประทานร่วมกันด้วยหรือไม่?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพวกเขาหรอก เอาไว้หลังจากที่ข้าตกลงกับพวกเขาแล้วจะรีบกลับมา เพราะข้าเองก็ยังมิได้ตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของโลกใบนี้เลย”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็พยักหน้า

ในพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ แม้ว่าท่านอาจารย์จะได้รับตำแหน่งผู้นำ แต่มันก็แค่ในนามเท่านั้น ยังมีผู้คนอีกส่วนหนึ่งที่คิดว่านางยังไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม เวลานี้สถานการณ์มันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

กลุ่มคนที่ต่อต้านนางในพันธมิตร ทั้งหมดได้หายไป

ไม่ว่าอาจารย์จะคิดครอบครองทั้งพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์ หรือออกจากพันธมิตรไป ตัวเลือกใดก็ล้วนจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ตัวเลือกนี้มันจะเกี่ยวพันธกับอนาคตของโลกเทวะโดยตรง

แม้ว่านี่จะเป็นการตัดสินใจของนางเซียนไป่ฮั่ว แต่กู่ฉิงซานเองก็ยังระมัดระวัง และเริ่มคิดถึงข้อได้ข้อเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา

ระหว่างขบคิด นางเซียนก็เอ่ยปาก “ฉิงซาน หลังจากนี้พวกเราจะกลับมาสนทนาในเรื่องนี้กันอีกครั้ง”

“ขอรับ” กู่ฉิงซานรับคำ

ฉินรั่วกล่าวด้วยความกังวล “ท่านอาจารย์ แต่ท่านเพิ่งจะกินไปนิดเดียวเองนะ รองท้องสักหน่อยก่อนไปไม่ได้เลยหรือ?”

นางเซียนไป่ฮั่วยิ้ม

ฉินรั่วน่ะเป็นคนที่รอบคอบและห่วงใยผู้อื่นมากที่สุด หากมิได้เข้าร่วมกับนิกายช้าเกินไป นางคงจะได้รับตำแหน่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ไปแล้ว

“ช่างมันเถิด หากปล่อยให้พวกเขารอมันคงไม่ดี ขอข้าไปหยั่งเชิงทัศนคติของพวกเขาก่อน”

“และด้วยฐานวรยุทธ์ของข้า ทำให้ข้าสามารถดูดซับแก่นแท้ของกฏเกณฑ์แห่งฟ้าดินได้ ดังนั้นอาหารมันไม่จำเป็นสำหรับข้าอีกต่อไปแล้ว”

นางเซียนกล่าวด้วยความเคารพลึก

ร่างกายของนางวูบไหว และหายไปจากโต๊ะอาหาร

บรรดาหญิงสาวพอได้ฟัง ต่างก็ระเบิดเสียงชวนหลงใหลขึ้นมา

“อืม ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ถึงจะสามารถไปถึงจุดนั้นได้” ว่านเอ๋อถอนหายใจ

“พวกเรามาเริ่มฝึกหนักกันดีกว่า เพื่อที่ว่าวันหนึ่งจะได้กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งดั่งเช่นท่านอาจารย์” ฉินรั่วสนับสนุน

ซิวซิวสูดหายใจและกล่าว “อาจารย์ไม่กินอาหารมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตข้าคงไม่สามารถไปยืนหยัดอยู่ในระดับเดียวกับนางได้”

กู่ฉิงซานนั่งฟังบทสนทนาของทั้งสามสาว เขาอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปมองห่านขาว

เวลานี้ หัวของห่านขาวฝังลึกอยู่ในเข่งเกี๊ยวกุ้ง มันกำลังเพลิดเพลินไปกับเนื้อกุ้งหนึบหนับแสนอร่อย

กู่ฉิงซานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก “เอาเถิด ท่านอาจารย์ใช่คนธรรมดาเสียที่ไหนกัน พวกเจ้าจะนำตนเองไปเทียบเปรียบ มันคงไม่เหมาะหรอก”

ว่าแล้วเขาก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารให้กับแต่ละคน

อาหารที่แตกต่างกันในแต่ละจานเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกนางชื่นชอบ

ด้วยเหตุนี้เอง สาวกคนอื่นๆ ของนิกายร้อยบุปผาจึงหุบปากลง และเริ่มขยับตะเกียบอีกครั้ง

ระหว่างรับประทาน พวกนางก็เริ่มเปิดประเด็นสนทนาอยู่สองสามครั้ง มีบ้างเหมือนกันที่เอ่ยถามถึงเรื่องการฝึกยุทธ์ของห่านขาว

ทุกคนต่างสนทนากันอย่างสนุกสนาน

…เว้นไว้แต่เพียงฉินเซี่ยวโหลวที่นั่งอยู่บนว่าว

โดยที่ไม่ว่าเจ้าตัวจะชอบหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากต้องนั่งบนว่าว และหลับตาฝึกยุทธ์ต่อไป

จนกว่าจะสามารถตัดผ่านก่อกำเนิด และขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพ เขาจึงจะสามารถกลับลงมาบนพื้นดินได้

หลังมื้ออาหารเย็น กู่ฉิงซานก็เก็บจานชาม และเริ่มทำความสะอาดมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกตะกร้าขึ้นจากบ่อแช่แข็ง และวางผลไม้ที่อุณหภูมิเย็นได้ที่ลงบนโต๊ะ

ศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างเริ่มปอกเปลือก และลงมือกินผลไม้ ขณะเดียวกันก็เริ่มพูดคุยกันต่อ

ฉินรั่วกับว่านเอ๋อเอ่ยขอคำแนะนำจากห่านขาว เพื่อต้องการที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการฝึกยุทธ์

ขณะที่ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขากำลังช่วยซิวซิวปอกเมลอนและแตงโม

ผ่านไปไม่นาน นางเซียนไป่ฮั่วก็กลับมาอีกครั้ง

มองไปยังรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถาม “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถออกจากกลุ่มพันธมิตรได้อีกต่อไปแล้ว” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะยามนี้ ทุกคนต่างก็ให้การสนับสนุนข้าในฐานะผู้นำ และหน่วยงานที่รับผิดชอบของพันธมิตรก็อยู่ทางฝั่งข้า”

“ข่าวแพร่กระจายไปเร็วจริงๆ” กู่ฉิงซานหัวเราะ

“ถูกต้อง พวกเขาไม่น่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แท้ๆ แต่กลับสามารถรับข่าวมาได้ และเร่งมาหาข้าเป็นกลุ่มแรก”

“อาจารย์ ศิษย์พี่ นี่พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่หรือ?” ซิวซิวทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานลูบหัวเธอและกล่าว “เรื่องขีดจำกัดการผสานรวมโลกน่ะ”

“อ้อจริงสิ” นางเซียนไป่ฮั่วอุทาน “เรื่องขีดจำกัดทั้งหมดของกลุ่มพันธมิตร มันได้ถูกโอนมาอยู่ในมือข้าแล้วนะ”

ว่าจบ เธอก็หยิบตราเล็กๆ ที่เหมือนกันกับของแปดอาวุโสออกมา ทว่าตรานี้ดูดีๆ แล้วเหมือนจะประณีตยิ่งกว่า

“นี่คือตราที่ทางคณะตุลาการโลกส่งมา พวกเขาส่งตรงถึงมือข้า แถมยังแนบเอกสารที่ประทับตราจากทางประธานคณะตุลาการโลก และถูกลงนามโดยจ้าววงการเฉินหยางมาอีกด้วย”

“ด้วยสองสิ่งนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้คนในพันธมิตรหวาดกลัว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ไม่ใช่กลัวธรรมดา แต่กลัวมากเลยล่ะ” นางเซียนเผยยิ้ม ยิ้มแบบยิ้มจริงๆ อันหาได้ยากยิ่ง

“เนื่องจากผลลัพธ์มันปรากฏมาในรูปแบบนี้ ในเมื่ออำนาจได้มาอยู่ในมือของอาจารย์แล้ว ท่านเลยไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนที่จะโยนตำแหน่งผู้นำทิ้งไปใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานกล่าว

นางเซียน “ข้าก็คิดเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยตำแหน่งผู้นำพันธมิตรในตอนนี้ อย่างน้อยข้าเองก็ไม่ต้องไปร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอีกครั้ง เพื่อแลกกับจำนวนขีดจำกัดผสานโลก”

เธอมองมายังกู่ฉิงซานและเอ่ยถาม “แล้วเจ้าเล่า? เมื่อครั้งที่เจ้าไปยังโลกล่องเวหา ข้าได้ยินฉินรั่วกับว่านเอ๋อกล่าวว่า…”

“เจ้าสามารถใช้ออกด้วยกลอุบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ สังหารผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลมปรารณจิตลงได้ นี่มันเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ แต่มันก็ทำให้ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”

“แต่เรื่องราวหลังจากนั้นเล่า? มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าได้ผ่านพ้นประสบการณ์แบบใดมา?”

………………………………………………..