เมื่อนางเซียนไป่ฮั่วกล่าวถึงจุดนี้ ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็พากันเงี่ยหูตั้งใจฟัง

เพราะท้ายที่สุดนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับกู่ฉิงซานที่จะกลับมาได้อย่างปลอดภัย แล้วที่สำคัญก็คือ เขายังได้เป็นสหายกับตัวตนดั่งเช่นเฉินหยางอีก ดังนั้นทุกนางในที่นี้จึงอยากจะรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาเป็นธรรมดา

กู่ฉิงซานขบคิดเล็กน้อยและกล่าว “ข้าร้องขอให้ท่านอาจารย์นำเซี่ยวโหลวลงมาก่อนจะได้หรือไม่ ข้าคิดว่าบางเรื่อง หากเขาได้รับฟังด้วยมันก็คงจะดี”

“เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรือ?”

“ขอรับ”

นางเซียนไป่ฮั่ววาดมือ แล้วว่าวก็ค่อยๆ ลดระดับลงมา

ฉินเซี่ยวโหลวที่นั่งอยู่บนว่าวยังคงแสร้งทำเป็นอยู่ในสภาวะสมาธิ

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะศิษย์พี่สอง เรื่องราวจากนี้ไปข้าขอให้ท่านตั้งใจฟังให้ดี ข้าคิดว่าเรื่องจากนี้ไปมันจำเป็นที่จะต้องบอกแก่ทุกคน เพื่อให้พวกเราคนในนิกายเข้าใจตรงกัน”

ฉินเซี่ยวโหลวลืมตา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความผิดหวัง “ข้าก็หลงคิดว่าเจ้าหว่านล้อมอาจารย์ ช่วยให้ข้าลงมาได้แล้วสัยอีก”

เมื่อเขาเปิดปากพูด สายตาดุร้ายของนางเซียนก็กวาดไปทันที จนเจ้าตัวรีบหุบปากลงอย่างรวดเร็ว

แล้วกู่ฉิงซานก็เริ่มบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

นับตั้งแต่ที่สองสาวจากเขาไปในโลกล่องเวหา เขาก็ได้ใช้วิชาลี้ลับที่ตนครอบครอง ต่อกรกับวิชาลี้ลับของสตรีแห่งรากษส จนคว้าชัยชนะมาได้

ถึงเวลานั้นจิ้งจอกขาวจึงค่อยปรากฏตัวขึ้น ทว่าสุดท้ายก็ถูกเสี่ยวถายที่เปลี่ยนรูปเป็นมารสังหารลง

และมารโลกาก็คือลูกของเสี่ยวถาย

ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ในโลกล่องเวหาถูกเปิดเผย

เมื่อเล่ามาจุดนี้ ก็บังเกิดบรรยากาศที่ชวนให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดขึ้น

มันไม่มีใครสนใจในส่วนของเรื่องที่โลกล่องเวหาถูกทำลายลงหรอก แต่ทุกคนต่างถอนหายใจกับเรื่องน่าเศร้าที่เสี่ยวถายต้องเผชิญต่างหาก

จากนั้น กู่ฉิงซานก็บอกเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกมิติอนันต์ สถานที่ซึ่งตนเองได้ไปรู้จักกับแบรี่และเสี่ยวเหมียว

จากนั้นก็ในส่วนของการเรียกขานของวิหคหนาม

การทรยศของทริสเต้ เจ้าหญิงหนาม

ระบบของราชามารที่หมายจะวิวัฒนาการขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การรวมตัวกันของผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคน

ยอดภูเขาน้ำแข็งของเหล่าทวยเทพ

โลกใต้ดินที่ถูกทิ้ง

การสูญพันธุ์ของสายพันธุ์เทพ ที่ถูกมารสวรรค์ทางฝั่งระบบของราชามารจ้างวานมาเป็นคนลงมือ

ตามต่อด้วยตนเองและมารสวรรค์ฝั่งตนที่ทำการแลกเปลี่ยนกัน

เรื่องราวยามเมื่อเกิดโทษทัณฑ์จากสายลมและสายฟ้าขึ้น

การเผชิญหน้าระหว่างระบบของราชามาร และระบบของเทพสวรรค์

กู่ฉิงซานเล่าทุกอย่างในไม่กี่ลมหายใจ ขณะเดียวกันทุกคนที่กำลังตั้งใจฟัง บางครั้งก็ถึงขั้นลืมหายใจ และรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา

จนกระทั่งกู่ฉิงซานอธิบายถึงโลกเดิมของเขา

“ดูเหมือนว่าข้าจะสามารถเดินทางไปมาระหว่างโลกใบนี้ กับโลกเดิมได้ นั่นจึงหมายความว่าข้าเป็นคนของทั้งสองโลก” กู่ฉิงซานกล่าว

“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ควรบอกเรื่องนี้ให้แก่คนอื่นฟังอีก และพวกเจ้าทุกคนก็เหมือนกัน จงอย่าได้แพร่งพรายความลับอันยิ่งใหญ่นี้ของกู่ฉิงซานออกไป” นางเซียนกล่าวกับสาวกของเธอ

ทั้งหมดต่างพยักหน้ารับ

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ กู่ฉิงซานก็บังเกิดความตกใจ

ตอนแรกเขามาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเขา และตนคิดว่าการที่เอ่ยมันออกมาตามตรงจะเป็นการทำให้ท่านอาจารย์เกิดความสงสัยเสียอีก แต่ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นนี้

นางเซียนไป่ฮั่วเมื่อเห็นถึงการแสดงออกของกู่ฉิงซาน ก็เอ่ยปากอย่างจริงจัง “เจ้าทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่อง ‘ผู้หวนคืน’ หรือไม่?”

“ผู้หวนคืน?”

“ใช่ แท้จริงแล้วโลกของพวกเรา เดิมทีมันมีความลับ…” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน “ช่างมันเถิด หากเจ้าทราบถึงเรื่องนี้ไป มันจะไม่เป็นการดี เอาไว้เมื่อเจ้ามีกำลังที่สามารถแบกรับมันได้มากพอ ข้าจะบอกมันแก่เจ้าอีกครั้ง”

เธอหันไปบอกกับทุกคน “วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ พวกเจ้าทุกคนจงกลับไปพักผ่อนเถอะ”

“วังหลานเฉาทำความสะอาดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ฉิงซาน เจ้าเองก็ไม่ได้กลับมานานแล้ว จงไปพักผ่อนที่นั่นเถอะ เอาไว้วันพรุ่งนี้ข้าจะมาสนทนากับเจ้าอีกครั้ง”

“ส่วนฉินโหลว เจ้าจงอยู่บนว่าวต่อไป จนกว่าจะตัดผ่านไปยังก้าวสู่เทพ ห้ามลงมาโดยเด็ดขาด”

“ทุกคน แยกย้ายได้”

ด้วยคำสั่งของนางเซียน ทุกคนแม้ว่าจะยังคุยกันได้ไม่เต็มอิ่ม แต่ก็ต้องแยกย้ายกันไป

เหลือเพียงกู่ฉิงซานเป็นคนสุดท้าย

นางเซียนไป่ฮั่วมองมาที่เขา

“ข้าขอเวลาสักสองสามลมหายใจ เพื่อไปกระตุ้นแรงใจแก่ศิษย์พี่สองสักเล็กๆ น้อยๆ จะได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

นางเซียนพยักหน้า และหันหลังจากไป

เฝ้ารอจนกระทั่งทั่งทุกคนออกไปกันหมดแล้ว กู่ฉิงซานจึงค่อยบินขึ้นไปบนฟ้า มาหยุดอยู่เบื้องหน้าฉินเซี่ยวโหลว

ฉินเซี่ยวโหลวเผยถึงสีหน้าเปี่ยมสุข “ศิษย์น้อง เจ้าได้เก็บสุรากับของคาวไว้ให้ข้าใช่หรือไม่?”

“ไม่ แต่ข้ามีบางอย่างจะพูดกับเจ้า”

“เรื่องอะไรหรือ?”

“ศิษย์พี่สอง ท่านทราบถึงประวัติความเป็นมาของฉินรั่วกับหว่านเอ๋อหรือไม่?”

“ไม่ค่อยกระจ่างเท่าใดนัก” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว “แต่ท่านอาจารย์เล่าว่าพวกนางเป็นคนที่น่าสงสาร”

กู่ฉิงซานบอกถึงรายละเอียด “ฉินรั่ว นางคือผู้ที่จะกลายมาเป็นเสาหลักของโลกในรุ่นต่อไป นางเริ่มต้นฝึกยุทธ์ตั้งแต่อายุสามขวบ และหลังจากฟันฝ่ามายาวนานกว่ายี่สิบเจ็ดปี วันหนึ่ง ในที่สุดนางก็สามารถตัดผ่านขึ้นมาเป็นขอบเขตพันวิบัติจนได้ กลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์อายุน้อยที่โดดเด่นที่สุดในโลก”

“ส่วนว่านเอ๋อ นางคือบุตรสาวของผู้นำนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แม้จะครอบครองสถานะที่สูงศักดิ์ถึงปานนั้น นางก็มิเคยหย่อนยานที่จะฝึกฝน เนื่องด้วยคุณสมบัติในด้านนี้ของตนไม่สู้ดี นางจึงต้องพยายามยิ่งกว่าผู้อื่นมากมายนัก หลายครั้งหลายหนที่ต้องหยั่งเท้าอยู่บนขอบเหวแห่งความตาย แต่ก็ยังเลือกที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดเกรง จนสุดท้ายจึงตัดผ่านมาในระดับที่สูงขึ้นได้ในที่สุด”

“อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสองจะเพียรพยายามอย่างหนัก แต่ก็ยังถูกรุกรานจากผู้คนในโลกอื่น ทุกคนในครอบครัว กระทั่งคนรักต่างก็ตกตาย ไม่ก็ถูกจับไปเป็นทาส”

“เห็นได้ชัดว่าแม้จักทุ่มเทอย่างหนัก แต่ในที่สุดผลลัพธ์มันกลับช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ศิษย์พี่คิดว่าตรงจุดนี้ มีส่วนใดกันที่ผิดพลั้งไป?”

ฉินเซี่ยวโหลวอึ้ง

กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “คราวนี้มากล่าวกันถึงเรื่องของท่านอาจารย์เรากัน อาจารย์เองก็ไม่คาดคิดเลยว่าการผสานรวมโลกจะมีอันตรายถึงเพียงนี้ แม้ท่านจะหมั่นเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ แต่ท้ายที่สุดก็เกิดสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดาขึ้น โดยผลพวงของมันคือจักต้องถูกลบล้างตัวตนออกไป”

“นางจึงจำต้องเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ต้องออกไปต่อกรกับกองทัพมารทั้งวันคืน เพื่อรักษาชีวิตตนและโลกใบนี้ให้คงอยู่ต่อไป”

“แต่ก็ยังมีคนแอบลักลอบเข้ามาในโลกของพวกเรา พยายามที่จะลักพาตัวซิวซิว เพื่อหมายจะควบคุมท่านอาจารย์ของพวกเรา”

“ทุกคนต่างก็ทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อป้องกันทุกชนิดของหายนะที่เข้ามาย่างกรายอย่างไม่หยุดหย่อน และเพื่อที่จะไม่ให้คนของตัวเองตกอยู่ในอันตราย”

“ศิษย์พี่ ท่านสามารถทำเป็นเล่นต่อไปก็ได้”

“แต่เมื่อท่านมองดูผู้คนรอบกาย ท่านเห็นผู้ใดพร่ำบ่นเรื่องความยากลำบากของตนหรือไม่”

“ช่วงเวลารับประทานอาหารเมื่อครู่ ฉินรั่วและว่านเอ๋อก็ยังต้องการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เอ่ยถามปัญหาฝึกยุทธ์ที่ตนติดขัดจากศิษย์พี่ใหญ่”

“พวกนางแม้จักสูญเสียทุกสิ่งอย่างไปแล้ว แต่ก็ยังเลือกที่จะต่อสู้ดิ้นรน เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดพวกนางถึงทำเช่นนั้น?”

“ดูท่านอาจารย์ของพวกเราสิ แม้อาหารจะอยู่ตรงหน้า แต่ท่านก็ยังต้องปลีกตัวออกไปจัดการธุระกับโลกภายนอก”

“การที่นางทุ่มเทลำบากเช่นนี้ มันเพื่อใครกัน?”

ฉินเซี่ยวโหลวนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”

“ศิษย์พี่นั่นมีศักดิ์สูงกว่าข้าที่เป็นศิษย์น้อง ข้าจึงทำได้เพียงเน้นยำถึงสิ่งที่ศิษย์พี่ควรให้ความสำคัญ นอกไปจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดให้พูดอีก”

“สุดท้ายแล้วนะศิษย์พี่ ข้าแค่อยากจะถามท่านสักเรื่องหนึ่ง”

“จงถามมา”

กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ยามเมื่อซิวซิวเกือบจะถูกจับตัวไป หากไม่มีฉินรั่วและว่านเอ๋อ ท่านจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรกัน?”

ฉินเซี่ยวโหลวอ้าปาก แต่กลับพบว่าตนมิอาจเอ่ยคำใดออกมาได้

“หากเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ด้วยอุปนิสัยของท่านอาจารย์ แน่นอนว่าย่อมจะต้องบุกไปลงมือกับคนเหล่านั้นอย่างเต็มกำลัง แม้ว่าจักต้องพินาศสิ้นไปด้วยกันก็ตาม”

กู่ฉิงซานถามต่อ “แล้วหากอาจารย์เสียชีวิต ซิวซิวก็คงสิ้นใจลงด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นแบบนั้นเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ในทุกๆ วันอีกหรือ?”

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ไม่สนใจฉินเซี่ยวโหลวที่บัดนี้นิ่งงันราวกับไม้สลักอีกต่อไป และบินกลับลงไปยังวังร้อยบุปผา

……………………………….