กู่ฉิงซานบินกลับลงมายังวังร้อยบุปผา

ณ เวลานี้ ภายในโถงร้อยบุปผาได้จมลงสู่ความเงียบงันไปแล้ว

เพราะทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน เหลือเพียงนางเซียนไป่ฮั่วผู้เดียวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หมื่นบุปผา

นางเซียนไป่ฮั่ววางศอกลงบนพนัก โน้มตัวลงวางแก้มแนบกับมือและกล่าว “ถึงเจ้าจะบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง แต่ข้าเกรงว่ามันอาจจะไร้ประโยชน์อยู่ดี”

กู่ฉิงซานหัวเราะ “ศิษย์พี่ใช้เวลาส่วนใหญ่เอาแต่เล่น แต่ข้าเชื่อว่าตราบใดที่เขาตั้งใจจริง เขาย่อมสามารถเข้าใจในสิ่งที่ข้าจะสื่อได้อย่างแน่นอน”

ระหว่างกล่าว จู่ๆ เมฆครึ้มก็เริ่มปรากฏขึ้นมาจากสุดขอบฟ้าไกล

ฝนที่แต่เดิมตกปรอยๆ บัดนี้เริ่มตกหนักขึ้น

ค่ำคืนอันสงบสุขเกิดแปรผัน เป็นสัญญาณของพลังงานบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น

ชั่วเวลานั้นเอง

เปรี้ยง!

เสียงสายฟ้าพลันฟาดผ่าลงมา

“นี่มันทัณฑ์สวรรค์ ไม่คาดหวังเลยว่ามันจะมาเร็วถึงขนาดนี้” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

นางเซียนไป่ฮั่วแสดงออกถึงความสุขบนใบหน้า “ข้าหวังว่าเขาจะตั้งใจฝึกยุทธ์เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่รีบหมดไฟไปเสียก่อน ”

เธอปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เพื่อสังเกตฉินเซี่ยวโหลวที่อยู่บนว่าว  ดวงตาของเธอปิดลง ไร้ซึ่งผลกระทบใดๆ จากสายลมและสายฝน ทั้งคนทั้งร่างดูจริงจังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

“ข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ทัณฑ์สวรรค์ของเซี่ยวโหลวจึงจะจบลง ฉิงซาน ระหว่างนี้ก็จงเอ่ยธุระของเจ้ามา”

“อาจารย์ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ามีบางสิ่งในใจจะเอ่ยถาม?” กู่ฉิงซานสงสัย

“ดูด้วยสายตาก็รู้” เซี่ยเต๋าหลิงมองเขาและกล่าว “ตั้งแต่ข้ากลับมา ก็เห็นว่าเจ้าคล้ายมิได้อยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดีนัก”

กู่ฉิงซานเงียบไป สุดท้ายก็สารภาพด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้ามิอาจเล็ดลอดสายตาของท่านอาจารย์ไปได้จริงๆ”

เขาตบลงในถุงสัมภาระ หยิบกล่องหยกยาวออกมาและเปิดมัน

ปรากฏให้เห็นถึงดาบพิภพที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวถูกวางไว้ในนั้นอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานกล่องหยกขึ้น และมอบมันให้แก่เซี่ยเต๋าหลิง

“ดาบพิภพ? เหตุใดมันจึงได้รับความเสียหายร้ายแรงขนาดนี้?” เซี่ยเต๋าหลิงอุทานเบาๆ

เธอบินลงมาจากบัลลังก์หมื่นบุปผา ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน และเริ่มตรวจสอบดาบยาวอย่างระมัดระวัง

“มันแทบจะพังทลายลงแล้ว…นี่ไม่น่าเป็นไปได้ ก่อนหน้านี้เจ้าพานพบสิ่งใดมาหรือ?” นางเซียนทั้งตอบและถาม

กู่ฉิงซานบอกเล่าเรื่องราว “พวกเราบังเอิญได้ไปเผชิญกับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ ในโลกที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าทวยเทพ ช่วงเวลานั้น มอนสเตอร์เกือบจะเอาชีวิตข้า ดาบพิภพจึงเร่งทุ่มเต็มกำลัง ดูดซับแต้มพลังวิญญาณทั้งหมดที่ข้ามี รวมพลังกันสังหารสัตว์ประหลาดตัวนั้นลงได้ในที่สุด”

ในหลากหลายเรื่องราว กู่ฉิงซานไม่คิดซ่อนความจริงจากเซี่ยเต๋าหลิง

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องของร่างใหญ่และมอนสเตอร์ตนนั้น เขาจะไม่ยินยอมอธิบายถึงรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมัน

กระทั่งก่อนหน้านี้ ที่เขายอมเล่าถึงเรื่องของระบบ กู่ฉิงซานก็แค่เล่าแบบคลุมเครือ และไม่ได้บอกถึงที่มาของระบบของเทพสวรรค์

เพราะความลับบางอย่าง ตราบใดที่ส่งเสียงพูดออกมา การดำรงอยู่อันลึกลับอาจจะสังเกตเห็นถึงมิติและเวลาที่เขาอยู่ก็เป็นได้

สำหรับกู่ฉิงซาน มอนสเตอร์ตัวนั้นมันประหลาดมากเกินไป กู่ฉิงซานจึงไม่ต้องการบอกเรื่องนี้กับใคร

นี่หาใช่เรื่องความไม่ไว้วางใจไม่ แต่เป็นความห่วงใยที่เขามีต่อผู้คนรอบตัวต่างหาก

การเก็บงำความลับนี้เอาไว้ ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยปกป้องร่างใหญ่ แต่ยังสามารถช่วยปกป้องผู้คนจากนิกายร้อยบุปผา ที่ไม่ล่วงรู้ถึงความลับนี้ ไม่นำพาอันตรายใดๆ มาสู่พวกเขา

เซี่ยเต๋าหลิงยื่นมือออกมา และลูบไล้ไปตามตัวดาบพิภพ กล่าวอย่างแผ่วเบา “มันกำลังจะตาย”

“ไม่จริง นั่นมันเป็นไปไม่ได้!” กู่ฉิงซานสวนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ไม่หรอก นี่เป็นเรื่องจริง สันดาบของตลอดทั้งดาบพิภพได้กลายเป็นสีขาวอมเทาแล้ว และจิตแห่งดาบเองก็อยู่ในสถานะไร้สติโดยสิ้นเชิง คงสามารถยื้อชีวิตต่อไปได้อีกไม่นาน”

เซี่ยเต๋าหลิงถอนหายใจ “มันได้รับความเสียหายร้ายแรง แต่ก็สามารถช่วยปกป้องชีวิตเจ้าเอาไว้ได้…ถือว่ามันได้ทำหน้าที่ตนเองอย่างสมบูรณ์แล้ว”

“อาจารย์ ท่านสามารถซ่อมมันได้หรือไม่?”

“มันได้กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ข้าเองก็มิทราบวิธีในการซ่อมแซมมัน และเกรงว่าบางทีตลอดทั้งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงวิธีการซ่อมแซมมัน” เซี่ยเต๋าหลิงส่ายหัว

ในจิตใจของกู่ฉิงซานกลายเป็นว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง

ดาบพิภพคือดาบของนิกาย เป็นดาบที่ท่านอาจารย์ไว้วางใจมอบมันให้แก่เขาด้วยตนเอง

กู่ฉิงซานเคยคิดว่า หากนำดาบพิภพกลับมา ท่านอาจารย์จะต้องมีวิธีในการซ่อมแซมมันอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความปรารถนาที่เขาคิดไปเองเสียแล้ว

ในความเป็นจริง ในหัวใจของเขาเองก็ยังตระหนักดี ว่าการที่ตัวดาบแตกร้าวถึงขนาดนี้ มันเป็นเรื่องยากที่จะซ่อมแซม

แต่เขาก็แค่ยังลังเล ไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน

กู่ฉิงซานค่อยๆ ก้มหน้าลง

ตลอดทั้งเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ของเขา ก็มีดาบพิภพนี่แหละที่ร่วมทางเดินมาด้วยกันตั้งแต่เริ่มต้น

แต่สุดท้ายเขากลับตอบแทนมันเช่นนี้หรือ?

หลายต่อหลายครั้งหากไม่มีดาบพิภพ ตนเองก็ไม่ทราบว่าจะรอดชีวิตมาได้หรือไม่

ตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาที่สังหารเซ่าหวูชุ่ย หากมิใช่เพราะอำนาจของดาบพิภพ เขาคงไร้ซึ่งความหวังที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามให้ตกตายลงในกระบวนท่าเดียว

บังเกิดความเงียบงันขึ้นในห้องโถง

เสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กังวานไปทั่วทุกสถานที่ แต่กู่ฉิงซานก็ยังนิ่งงันอยู่อย่างนั้น คล้ายกับไม่รับรู้ถึงสิ่งใดเลย

ดาบพิภพ

เขาไม่สามารถช่วยอะไรมันได้…

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มฟุ้งไปด้วยความเศร้าหมอง

หลังจากผ่านไปนาน เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

“ท่านอาจารย์”

เขาโค้งกายคำนับนางเซียนไป่ฮั่ว “ข้าต้องไปแล้ว”

“ไป? เพิ่งจะกลับมาก็จะไปเสียแล้วหรือ?” นางเซียนไป่ฮั่วอุทานด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ แค่ได้กลับมาแล้วเห็นว่าท่านอาจารย์ยังสุขสบายดี เซี่ยวโหลวมีความก้าวหน้า ซิวซิวกำลังเติบใหญ่ และได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฉินรั่วและว่านเอ๋อ ข้าก็ไม่สิ่งใดต้องกังวลอีกแล้ว”

“แล้วเจ้าจะไปที่ใด?”

“ท่องไปในหมื่นโลกา เพื่อสรรหาวิธีซ่อมแซมดาบพิภพ”

“ดาบพิภพหาใช่ดาบทั่วๆ ไปไม่ มันมิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็ได้จะสามารถซ่อมแซม ข้าเกรงว่ามันจะจากไปเสียก่อนที่เจ้าจะค้นพบผู้ที่ซ่อมแซมมัน”

“แต่นี่คือดาบข้า มันเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ดังนั้นยามนี้ข้าก็จะต้องช่วยชีวิตมันเช่นกัน”

กู่ฉิงซานกล่าว เขาประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือให้แก่อีกฝ่าย

“ท่านอาจารย์ โปรดอนุญาตให้ข้าออกไปด้วย”

เซี่ยเต๋าหลิงมองเขาและเอ่ยถาม “เจ้าจะออกค้นหาโดยวิธีใด?”

กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าจะกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก จากนั้นก็จะใช้ช่องทางมิติของโลกมิติอนันต์ออกค้นหาสหายของแบรี่ ไปปรึกษาพวกเขาว่าพอจะมีทางออกหรือไม่”

เซี่ยเต๋าหลิงจมอยู่ในการตริตรองอย่างลึกล้ำ

เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง แสงจากสายฟ้าฟาดสาดเข้ามาในห้องโถงใหญ่

ระหว่างช่วงเวลาของประกายสายฟ้า กู่ฉิงซานสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงความลังเลบนใบหน้าของเซี่ยเต๋าหลิง

ท่านอาจารย์มักจะมีความคิดที่ดี และตัดสินใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่วันนี้เหตุใดกัน ทำไมนางถึงได้เผยถึงการแสดงออกเช่นนี้?

กู่ฉิงซานคิดด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

ในเวลานั้นเอง ตาของเซี่ยเต๋าหลิงก็ตรึงอยู่กับร่างของกู่ฉิงซานอีกครั้ง

เธอจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ ปากเอ่ยถามเสียงกระซิบ “ฉิงซาน ในเมื่อเจ้าได้เดินทางไปในอาณาจักรทั้งหมื่นโลกามาแล้ว เช่นนั้นเจ้าเคยคารวะผู้อื่นหรือไม่? เคยได้เข้าสู่นิกายอื่นๆ อย่างเป็นทางการหรือเปล่า?”

ไม่รีรอให้กู่ฉิงซานเอ่ยปาก เธอก็อธิบายในสิ่งที่เพิ่งกล่าวไป “ข้าไม่ถือโทษใดๆ หากเจ้าคิดศึกษาเรียนรู้จากผู้อื่น ตลอดทั้งหมื่นโลกามีตัวตนทรงอำนาจที่ควรค่าคารวะและเข้ารับการเรียนรู้จากพวกเขาอยู่มากมาย ฉะนั้นการที่เจ้าจะเข้าไปอยู่ในนิกายฝึกยุทธ์อื่นๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

“ไม่เคยขอรับ” กู่ฉิงซานตอบ

เซี่ยเต๋าหลิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ

ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ถอนหายใจ “อันที่จริงแล้ว…วิธีการของเจ้ามันไร้ประโยชน์ ต่อให้เป็นเหล่าจ้าววงการ ก็เกรงว่าพวกเขาจะไม่สามารถซ่อมแซมดาบพิภพได้”

เธอวาดมือออกไป จัดวางค่ายกลปิดกั้นนับสิบ ปิดผนึกตลอดทั้งโถงร้อยบุปผาด้วยวิชาลับ

“จากนี้ไป พวกเราจะสื่อสารกันด้วยจิตสัมผัสเทวะเท่านั้น เจ้ามิต้องเอ่ยคำใดออกมา”

เซี่ยเต๋าหลิง “ดาบเล่มนี้สามารถสะบั้นสิ่งใดได้บ้าง? ฉิงซาน เจ้ารู้หรือไม่?”

เมื่อเห็นถึงความระแวดระวังของท่านอาจารย์ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างรอบคอบก่อนจะตอบกลับไป

ในอดีต ครั้งหนึ่งดาบพิภพได้เคยสังหารผู้คุมวิญญาณระดับต่ำจากในประภพมาก่อน

ซึ่งผู้คุมวิญญาณ แม้จะมีระดับต่ำ แต่แท้จริงแล้วก็ถูกจัดว่าเป็นผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ

กู่ฉิงซานตอบผ่านจิตสัมผัสเทวะ “ดาบพิภพ…ดูเหมือนว่ามันจะสามารถสังหารลูกหลานของทวยเทพได้”

เซี่ยเต๋าหลิงมองเขา แต่มิได้เอ่ยคำใด

กู่ฉิงซานนิ่งไปสักพัก และทันใดนั้นเอง ก็เหมือนกับว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

“จริงสิ! ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะ ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพ แต่ดาบเล่มนี้กลับสามารถสังหารผู้สืบสายโลหิตจากพวกเขาได้ นี่มันแปลกเกินไป”

“เพราะมันไม่มีใครหรอก ที่คิดสร้างอาวุธที่สามารถใช้ฆ่าลูกหลานของตนเองขึ้นมา”

กู่ฉิงซานกำลังคิดอย่างลับๆ

ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงก็ส่งเสียงผ่านความคิดกลับมา “นี่คือดาบประจำนิกายในครั้งอดีตของข้า มันเป็นดาบที่ได้รับการเคารพบูชา ที่บรรพบุรษนิกายได้นำมาจากโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”

“หากคิดจะซ่อมแซมดาบเล่มนี้ เจ้าจะต้องเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ เพื่อค้นหาอีกครึ่งหนึ่งของมัน”

กู่ฉิงซานเฝ้ามองอาจารย์ตน แต่ก็ยังไม่สามารถกลั่นกรองในสิ่งที่เธอกล่าวได้

อดีตนิกาย?

โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์?

อีกครึ่งหนึ่งของมัน?

ในสองประโยคข้างต้น ข้อมูลที่อัดแน่นอยู่ในมันมีมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องรีรอให้เขาถาม เซี่ยเต๋าหลิงก็อธิบายต่อ

“ทุกคนต่างก็คิดกันว่าโลกสวรรค์ได้ถูกทำลายลง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย”

“ทว่าในโลกทั้งใบ กลับยังคงมีข้า ศิษย์คนสุดท้ายแห่งวังสวรรค์เมฆาวิเวก ที่รู้ว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น”

“ดังนั้น หากเจ้าต้องการซ่อมแซมดาบพิภพ เจ้าก็จะต้องก้าวเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ และพยายามเฟ้นหาแฝดของดาบพิภพ”

“ดาบเล่มนั้นถูกเรียกกันว่า ‘ดาบนภา’”

“นภาและพิภพ…สวรรค์และปฐพี มีเพียงสองดาบนี้เท่านั้นที่สามารถตัดสะบั้นเทพบรรพกาลได้”

“ฉิงซาน เดิมทีข้าไม่ต้องการบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า แต่ข้ารู้ดีว่าเจ้าคือผู้ฝึกดาบ และดาบคือทุกสิ่ง ดังนั้น หากจะให้ต้องออกไปภายนอก เผชิญกับความเศร้าโศกที่มิอาจช่วยเหลือดาบพิภพจนมันสิ้นใจลงได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าขอบอกความจริงข้อนี้แก่เจ้าเสียดีกว่า”

ใบหน้าของเธอเผยถึงความอ่อนโยน “ดาบพิภพอยู่คู่กับข้ามานาน และเจ้าเองก็เป็นศิษย์ข้า ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร”

“อาจารย์ แล้วท่านเคยไปยังสถานที่แห่งนั้นหรือไม่?” กู่ฉิงซานถาม

“แน่นอนว่าข้าเคยไปที่นั่น อันที่จริงแล้วผู้นำวังสวรรค์เมฆาวิเวกแต่ละรุ่น ทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ มิฉะนั้นแล้วเจ้าคิดว่าข้าสามารถเรียนรู้สกิลเทวะแห่งหกวิถีมาได้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”

เซี่ยเต๋าหลิงเผยถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้ม “เมื่อครั้งอดีต ข้าเคยเป็นสาวกของวังสวรรค์เมฆาวิเวก เคยได้อ่านหนังสือโบราณของนิกายที่กล่าวกันถึงทฤษฎีเกี่ยวกับเทพวิญญาณ เดิมทีแล้วข้าคิดว่านิกายข้าช่างอวดโอ้ยิ่งนัก”

“จนกระทั่งข้าได้ค้นพบว่ามันเป็นเรื่องจริง เมื่อได้เดินทางเข้าสู่โลกใบนั้น”

………………………………….