เหนือขึ้นไปเบื้องบน เสียงของทัณฑ์สายฟ้าดังกึกก้องไม่รู้จบ

ฉินเซี่ยวโหลวยังคงข้ามผ่านโทษทัณฑ์

“ดาบพิภพกำลังจะตาย โลกนับล้านล้านล้วนไม่มีวิธีใดที่จะช่วยเหลือมัน ทว่าดาบนภาคือแฝดของดาบพิภพ ฉะนั้นจึงมีเพียงการออกค้นหาดาบนภาเท่านั้นจึงจะสามารถซ่อมแซมดาบพิภพได้”

เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานแทบจะทนรอไม่ไหว เขาเร่งกล่าว “เช่นนั้น ข้าร้องขอท่านอาจารย์ ให้ยอมรับข้าเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก แล้วส่งข้าไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ด้วยเถิด”

“ยังไม่ใช่ตอนนี้” เซี่ยเต๋าหลิงส่ายหัวเบาๆ

“การจะเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ จำเป็นต้องใช้สองสิ่ง หนึ่งคือค่ายกลเคลื่อนย้ายของนิกายวังสวรรค์ อีกหนึ่งคือใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์”

“หากเป็นในอดีต ข้าสามารถให้เจ้าเข้าสู่โลกใบนั้น และช่วยให้เจ้าให้สามารถคงชีวิตอยู่ได้เลยในทันที”

“แต่ตอนนี้ ใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์ได้หมดพลังงานลงแล้ว และได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถใช้มันช่วยรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้อีกต่อไป”

“อาจารย์ เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี?”

เซี่ยเต๋าหลิงยังคงส่ายหัว เธอกล่าว “ในความเป็นจริง ต่อให้มีใบหยกพิทักษ์กายา ก็ยังเป็นการยากนักที่จะค้นพบดาบนภา”

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะมันมิได้อยู่ในวังสวรรค์เมฆาวิเวก แต่ลอยล่องอยู่ในที่ใดสักแห่งในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”

กู่ฉิงซานงง “งั้นข้าก็แค่เข้าไปในโลกใบนั้น แล้วตามหามันด้วยตนเองก็ได้มิใช่หรือ?”

“มันไม่ง่ายขนาดนั้น”

เซี่ยเต๋าหลิงเฝ้ามองศิษย์ตน และอธิบายอย่างช้าๆ “ในความเป็นจริง ทุกๆ ผู้นำนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกต่างก็ได้รับการตักเตือนสืบต่อมา ว่าหลังจากเข้าไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แล้ว จักต้องอยู่แต่ในวังสวรรค์ ห้ามออกมาโดยเด็ดขาด”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?”

“เพราะโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เป็นสถานที่ที่อันตรายมากเกินไป เราสามารถอยู่รอดได้โดยการอาศัยอยู่ในวังสวรรค์เท่านั้น”

“จุดประสงค์ของการเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ของนิกายพวกเราก็คือ การเข้าไปอ่าน และศึกษาหนังสือโบราณของนิกายในวังสวรรค์ เพื่อค้นหาวิถีและเทคนิคลับที่เหมาะสมกับตนเอง”

“และหากเจ้าคิดออกจากวังสวรรค์ เจ้าจะต้องตายทันที”

กู่ฉิงซานไตร่ตรอง พิจารณาอย่างรอบคอบ และกล่าว “ด้วยกฎเกณฑ์ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่จำกัดฐานวรยุทธ์ของทุกคน ดังนั้นพลังของพวกเขาจึงต่ำต้อยในโลกดึกดำบรรพ์ พวกเขาจึงจำเป็นต้องใช้ใบหยกพิทักษ์กายาใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านบรรพบุรุษได้เตือนคนรุ่นหลังในอนาคตว่า จำเป็นต้องบรรลุการฝึกยุทธ์ไปถึงระดับหนึ่งก่อน จึงจะสามารถออกจากวังสวรรค์ เพื่อไปสำรวจโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้”

เซี่ยเต๋าหลิงถอนหายใจเบาๆ และกล่าว “ยามเมื่อเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณยังคงอยู่ในโลกสวรรค์  พวกเขาต่างมุ่งมั่นทุ่มเทที่จะสรรสร้างโลกหกวิถี และทำการติดต่อกับพวกมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง”

“สำหรับเรื่องที่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์และหกวิถีถูกแยกออกจากกัน มันเกิดขึ้นในภายหลัง และไม่มีผู้ใดรู้เช่นกันว่าเหล่าทวยเทพทั้งหมดหายไปได้อย่างไร”

“ดาบพิภพเป็นสิ่งที่ท่านบรรพบุรุษได้มาโดยบังเอิญ และเขาก็บอกกับลูกหลานอย่างจริงจังว่า ดาบเล่มนี้จะต้องถูกสืบทอดต่อๆ กันไป”

กู่ฉิงซานเอ่ยแทรกขึ้นมา “หลังจากที่เทพบรรพกาลหายตัวไป พวกเขาก็ได้ทำการตัดขาดโลกสวรรค์กับโลกมนุษย์ใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง และไม่มีผู้ใดเลยที่ล่วงรู้ถึงเรื่องนั้น มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้”

“บางทีมันอาจจะเป็นเพราะท่านบรรพบุรุษเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ท่านจึงพอที่จะสามารถสร้างค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลกขึ้นมาได้”

“ท่านบรรพบุรุษได้เตือนลูกหลานในรุ่นต่อๆ มาว่านี่เป็นความลับสุดยอดของนิกาย หากมันแพร่งพรายออกไปแม้เพียงครั้ง จะเป็นการชักนำภัยพิบัติอันยากจะคาดเดา”

“ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นที่รู้กันเฉพาะผู้นำจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น”

เซี่ยเต๋าหลิงเผยถึงร่องรอยแห่งความทรงจำและยังคงกล่าวต่อ “ทว่าความเจริญรุ่งเรืองกลับเสื่อมถอย อำนาจของนิกายมิได้ยิ่งยงตลอดไป ในช่วงเวลาที่ข้าได้เข้าสู่นิกาย นิกายก็ถดถอยลงไปมากแล้ว และสุดท้ายก็เป็นเพราะข้า นิกายจึงถูกทำลายลงในที่สุด”

“ทว่าทั้งมรดกและความลับทั้งหมดของนิกาย ท่านผู้นำได้ส่งต่อมันมาแก่ข้าในวินาทีสุดท้าย”

“ฉิงซาน ในเมื่อนอกไปจากนิกายร้อยบุปผา เจ้ายังไม่เคยเข้าร่วมนิกายใดอีก ฉะนั้น เอาไว้ยามเมื่อเจ้าแกร่งพอที่จะสามารถเข้าไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้ ข้าจึงจะยอมรับเจ้าเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวก และให้รับตำแหน่งผู้นำสืบไป”

กู่ฉิงซานสับสน “แต่ดาบพิภพกำลังแตกสลาย เช่นนั้นมันจะต้องใช้เวลาอีกสักเท่าใดกันข้าจึงจะสามารถไปสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้?”

เซี่ยเต๋าหลิง ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ดาบพิภพ ขณะที่อีกข้างผันแปรสัญลักษณ์ที่ดูซับซ้อน

วิชาลับจงปรากฏ!

ทันใดนั้นเอง กล่องหยกทั้งใบที่ภายในถูกวางไว้ด้วยดาบพิภพก็ลอยขึ้นมาในอากาศ ก่อนจะนิ่งงันไม่ไหวติงคล้ายกับกำลังถูกหยุดเวลา

“นี่คือเทคนิคต้องห้ามของข้า มันสามารถช่วยชะลอการไหลของกระแสเวลาให้ยืดยาวออกไป เพื่อเฝ้ารอจนกระทั่งเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอ”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็โล่งใจ

เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ “ตามกฎของท่านบรรพบุรุษแล้ว เจ้าจะต้องมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะสามารถออกจากวังสวรรค์เมฆาวิเวกให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถเข้าไปสำรวจโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้”

เธอยิ้มและหัวเราะกับตัวเอง “ในอดีต ทุกครั้งเลยที่ข้าได้อ่านหนังสือของนิกาย ข้ามักจะคิดว่า ‘ขอบเขตวรยุทธ์’ เหล่านั้นคงจะมีอยู่แค่ในตำนาน”

“จนกระทั่งข้าได้ล่วงรู้ถึงเรื่องราวของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ข้าจึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ล้วนเป็นความจริง”

กู่ฉิงซาน “ในเรื่องของขอบเขตวรยุทธ์ ข้าทราบเพียงว่าเหนือยิ่งกว่าพันวิบัติ คือขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สองขอบเขตเท่านั้น เหนือยิ่งกว่ายังไม่มีความชัดเจนใดๆ”

“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่กับสมาคมกำปั้นเหล็กหรอกหรือ? นี่พวกเขาไม่ได้บอกเจ้า?” เซี่ยเต๋าหลิงเอ๋ยถาม

กู่ฉิงซานตอบอย่างหมดหนทาง “เสี่ยวเหมียวบอกแค่ว่าในโลกเก้าร้อยล้านชั้นน่ะ มีตัวตนทรงอำนาจที่ครอบครองทุกชนิดของความแข็งแกร่งอยู่มากมายเกินไป ดังนั้นจึงมิอาจแบ่งแยก ตัดสินให้มันชัดเจนได้ว่าผู้ใดเหนือกว่าหรือด้อยกว่า และไว้ยามเมื่อข้าสามารถแยกมิติที่ว่างเปล่า เผยโลกใบอื่นสู่สายตาตนเองให้ได้เสียก่อน จึงจะมีคุณสมบัติได้ล่วงรู้ถึงระดับของขอบเขตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า”

“แท้จริงแล้วที่พูดแบบนั้นเพราะนางคงหวังดีกับเจ้า เพื่อที่จะช่วยหลีกเลี่ยงมิให้จิตแห่งเต๋าของเจ้าเกิดความว้าวุ่นและย่อท้อ” เซี่ยเต๋าหลิงอธิบายต่อ “มาตรฐานความแข็งแกร่งของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ในสมัยโบราณมันค่อนข้างละเอียด แต่ข้าจะอธิบายแก่เจ้าดังนี้”

“ร่างเทวะ พันวิบัติ ขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สี่ขอบเขตเหล่านี้เจ้ารู้อยู่แล้ว แต่เหนือขึ้นไปยิ่งกว่านั้นมันยังมีอีกสี่ขอบเขต นั่นก็คือ ดาราโกลาหล หวนคืนสู่ศูนย์ กระจ่างจิตเทวะ และเบิกเนตรมิติ”

“ดาราโกลาหลหากเทียบเปรียบกับลมปราณจิต จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าถึงสามเท่า หวนคืนสู่ศูนย์จะแกร่งกว่าดาราโกลาหลสอบสองเท่า จนกระทั่งมาถึงขอบเขตกระจ่างจิตเทวะ ที่มีความสามารถมากพอจะบดขยี้สวรรค์และโลก มากพอที่จะขึ้นมามีหน้ามีตาในโลกเก้าร้อยล้านชั้นได้ ก็จักถูกเรียกว่าเต๋าผู้ทรงเกียรติ”

กู่ฉิงซานคิดและกล่าว “เช่นนั้นพวกอาวุโสพันธมิตรที่ตายลงก่อนหน้านี้ก็เป็นเต๋าผู้ทรงเกียรติ ที่อยู่ในขอบเขตกระจ่างจิตเทวะใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง พวกเขาคือกระจ่างจิตเทวะ ขอบเขตที่มีอำนาจทำลายสวรรค์และโลกได้ แต่ยังคงไม่สามารถทำให้โลกใบอื่นปรากฏสู่สายตาตนเองได้ นี่คือขอบเขตของพันธมิตรที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน”

กู่ฉิงซาน “แม้กระทั่งจ้าวแห่งเต๋าก็ยังมิสามารถกลายเป็นผู้ริเริ่มอย่างแท้จริงงั้นหรือ?”

“อืม ในบรรดาขอบเขตทั้งหมดที่กล่าวมา มีเพียงขอบเขตเบิกเนตรมิติ เท่านั้นที่จะถือว่าเป็นผู้ริเริ่ม สามารถเดินทางไปในทุกหมื่นโลกาและอาณาจักรได้”

“แล้วหลังจากขอบเขตเบิกเนตรมิติล่ะท่านอาจารย์?” กู่ฉิงซานถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“นั่นจะเป็นอีกโลกหนึ่งแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นกระแสหลักของโลกเก้าร้อยล้านชั้น แต่มันยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวถึง” เซี่ยเต๋าหลิงตอบอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงกำปั้นเหล็กแบรี่ ที่สามารถใช้หมัดเดียวฉีกมิติ เผยให้เห็นถึงโลกนับไม่ถ้วน ฉายให้เห็นถึงกระทั่งฉากอันงดงามของท่าเรือนางฟ้าในความว่างเปล่า

เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “อาจารย์ แล้วตอนนี้ท่านอยู่ในขอบเขตใด? ยังคงห่างไกลจากเต๋าผู้ทรงเกียรติใช่หรือไม่?”

เซี่ยเต๋าหลิงเงียบ และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ

“ข้าต้องอยู่ในพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่คุ้นเคยทั้งผู้คนและสถานที่ ไม่เพียงแต่จะต้องต่อสู้กับกองทัพมาร แต่ยังต้องระวังอันตรายจากผู้คนอีก ดังนั้นข้าจึงไม่อาจทำตัวให้เด่นดังเกินหน้าเกินตาคนอื่นได้”

“แต่พวกเขาบอกว่าท่านอาจารย์เป็นคนเดียวที่สามารถได้รับชัยชนะ”

“นั่นเพราะมันสถานการณ์บีบบังคับ มันเป็นจุดที่หากไม่ชนะก็จักต้องตายเท่านั้น”

“งั้น…ก็หมายความว่าท่านอาจารย์ได้ปกปิดความแข็งแกร่งของตนเอาไว้ตลอดมาเลยใช่หรือไม่?”

“ไม่เพียงแค่นั้น หลังจากช่วงเวลาที่กล่าวมา ข้ายังสามารถยกระดับขึ้นไปยังอีกขั้นได้อีกด้วย”

เซี่ยเต๋าหลิงถกชายเสื้อขึ้น เผยให้เห็นผิวนวลละเอียดลออ เกร็งกำปั้นและชกมันเบาๆ ไปในอากาศที่ว่างเปล่า

สกิลเทวะ สวรรค์ล่มสลาย!

นี่คือการชกเบาๆ อย่างเงียบงัน แต่ราวกับเดจาวู เพราะมันช่างเป็นฉากที่คุ้นตา

ในความว่างเปล่าทั้งมวล ราวกับม่านการแสดงที่ถูกเปิดออก มันแหวกแยกเป็นสองฟากฝั่งอย่างช้าๆ

มันคืออำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างที่มิอาจจินตนาการได้ คล้ายกับฉากที่คนธรรมดาสามารถแหวกทะเลลึกให้แยกออกจากกัน

ช่องว่างมิติที่ถูกเปิดออกจากในความว่างเปล่า ค่อยๆ ปรากฏถึงแสงและเงาของโลกที่ทับซ้อน และสลับกันเป็นชั้นๆ ปรากฏอยู่เหนือหัวของคนทั้งสาม

การชกนี้ได้ทะลุขีดจำกัดกฎเกณฑ์ของโลก และทำให้ฉากเสมือนจริงของโลกปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า เผยให้เห็นอยู่ในสายตา

กู่ฉิงซานเห็นกว่าห้าถึงหกโลกเสมือนจริงเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ภาพของพวกมันปรากฏขึ้นทีละภาพ…ทีละภาพ

ถึงแม้ว่านี่มันจะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับการชกของแบรี่ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่โลกนับพันล้านจะเกิดความตื่นตะลึง

“ท่าน…อาจารย์…”

หัวใจของกู่ฉิงซานคล้ายถูกกระแทกอย่างแรง ปากของเข้าอ้าค้าง มิอาจเอ่ยคำออกมาให้ครบจบประโยค

นางเซียนไป่ฮั่ววาดชายเสื้อออกไป

ทันใดนั้นโลกเสมือนในความว่างเปล่าก็หายวับไปจากสายตา

วังร้อยบุปผากลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม คล้ายกับทุกสิ่งอย่างเมื่อครู่เป็นเพียงภาพมายา

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวเบาๆ “ด้วยการผสานรวมห้าโลก และต้องต่อกรกับกองทัพมารทุกวัน ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ หากข้ามิอาจย่างก้าวสู่ขึ้นสู่ ‘ผู้ริเริ่ม’ ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือหน้าไว้สนทนากับผู้คนในโลกเก้าร้อยล้านชั้นอย่างไรแล้ว”

“พวกเรามาว่าเรื่องที่คั่งค้างกันอย่างจริงจังดีกว่า ฉิงซาน หากเจ้าต้องการไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เพื่อค้นหาดาบนภา เจ้าจะต้องเร่งเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ของตนโดยเร็วที่สุด”

“แล้วข้าสมควรจะทำอย่างไร?”

“จงไปยังดินแดนชิงอำนาจ กระโจนเข้าสู่สมรภูมิอย่างเต็มกำลัง”

………………………………….