เมฆหมอกทะมึนบนท้องฟ้าได้กระจัดกระจายหายไปแล้ว

ฉินเซี่ยวโหลวสามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ

ทว่าถึงแม้เขาจะได้รับการอนุญาตจากนางเซียนไป่ฮั่วแล้วก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ยังไม่คิดจะกลับลงมายังพื้นดิน

เขายังคงนั่งทำสมาธิอยู่บนว่าว หนึ่งมือกุมใบหยก ตริตรองถึงรายละเอียดเทคนิคฝึกยุทธ์ของขอบเขตก้าวสู่เทพอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เซี่ยเต๋าหลิงกับกู่ฉิงซานไม่เคยเห็นฉินเซี่ยวโหลดจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย

หากเป็นในอดีต ฉินเซี่ยวโหลวคงบินลงมาตั้งนานแล้ว เขาคงแทบจะอดใจไม่ไหว เดินทางออกไปหาสถานที่เที่ยวสนุก

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ เซี่ยเต๋าหลิงกับกู่ฉิงซานก็ถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืน ห้วงอารมณ์ของเขาและเธอกลายเป็นเบิกบาน

การที่ฉินเซี่ยวโหลวตั้งอกตั้งใจเช่นนี้ บอกตามตรงว่ามันน่าทึ่งยิ่งกว่าการได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเสียอีก

กู่ฉิงซานกับนางเซียนหันกลับมาหารือกันอีกสักพัก ก่อนที่ศิษย์จะหยิบถุงหอมหลากสีออกมา และยื่นมันให้แก่อาจารย์ของตน

นี่คือมรดกและทรัพยากรสำรองทั้งหมดของนิกายร้อยบุปผา

มองลงไปยังถุงหอมหลากสี ห้วงอารมณ์ของทั้งศิษย์และอาจารย์ก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น

ฝ่ายหนึ่งละจากถุงหอมไป ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคอยเก็บรักษามันเอาไว้ ช่วงวันเวลาเหล่านั้น มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายจริงๆ

และสิ่งที่โชคดีที่สุดก็คือ ต่างฝ่ายต่างก็สามารถรอดชีวิตมาได้

กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าได้ใส่เทคนิคฝึกยุทธ์บางส่วนของโลกล่องเวหาไว้ในใบหยก และเก็บใส่ภายในนั้นแล้ว”

“นอกจากนี้ข้ายังได้ทำการคัดลอกเนื้อหามากมายจากในใบหยกของนิกาย เพื่อเอาไว้ใช้นำมาศึกษาเองอย่างช้าๆ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะอนุญาตหรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว

“เช่นนั้นศิษย์ขอตัวลา”

กู่ฉิงซานพยักหน้า เขายืนขึ้นและเตรียมที่จะกลับไปพักผ่อน

“ช้าก่อนฉิงซาน” นางเซียนเรียกเขา

“ท่านอาจารย์ยังมีเรื่องใดต้องการจะสอนสั่ง?”

“ก็ไม่เชิงหรอก แต่บังเอิญว่าในตอนที่ข้าเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ข้าเคยได้มีโอกาสเข้าร่วมการประลองกับโลกด้านฝึกยุทธ์อื่นๆ นั่นก็เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคมนตรา ความเชี่ยวชาญ และตรวจสอบซึ่งกันและกัน”

เซี่ยเต๋าหลิงหยิบใบหยกออกจากแขนเสื้อ และโยนมันให้แก่กู่ฉิงซาน

เธอกล่าว “ภายในใบหยกมีเทคนิคลับแห่งดาบ ซึ่งกระทั่งในสายตาข้า ก็ยังเห็นว่ามันมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง”

“ดังนั้น ข้าจึงพยายามคิดหาหนทางแลกเปลี่ยนเทคนิคลับแห่งดาบนี้จากเจ้าของของมัน จนได้รับมาในที่สุด”

“และในเมื่อเจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกดาบ ฉะนั้นเทคนิคลับที่ข้าได้มา ก็จะถูกส่งต่อไปยังเจ้า”

กู่ฉิงซานรับใบหยก ประสานกำปั้นและกล่าว “ขอบพระคุณท่านอาจารย์”

แม้เซี่ยเต๋าหลิงจะกล่าวอธิบายเพียงสั้นๆ แต่ใจความสำคัญของมัน กู่ฉิงซานกลับสามารถตระหนักได้อย่างชัดเจนว่านี่คงเป็นเทคนิคลับแห่งดาบที่ยากนักจะพบเจอจริงๆ

เพราะไม่ว่าใครต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเทคนิคลับแห่งดาบ คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกดาบ ที่มีอำนาจอย่างหาที่เปรียบมิได้ในการต่อสู้ระยะประชิด

ขณะเดียวกัน วิสัยทัศน์ของนางเซียนนั้นสูงส่งเสมอมา ดังนั้นการที่นางบอกว่าสายตานางก็ยังเห็นว่ามันมีประโยชน์ แสดงว่าเทคนิคลับแห่งดาบนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

นางจักต้องจ่ายทรัพยากรล้ำค่าไปมากมายเพียงใดกันหนอ จึงจะสามารถแลกเปลี่ยนมันมาได้

อย่างไรก็ตาม ในตลอดทั้งนิกายร้อยบุปผา มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกดาบ

นั่นหมายความว่า การที่นางเพียรพยายามจนได้รับเทคนิคลับแห่งดาบนี้มา นั่นก็เพื่อตนเอง

ในหัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้น

“จงนำมันกลับไป ศึกษามัน และพยายามเรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบชนิดนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว”

กู่ฉิงซานไม่คิดจะพูดอะไรให้มันมากความอีกต่อไป เขาพยักหน้าเล็กน้อย และถอยกลับไป

ระหว่างเดินทางกลับไปยังวังหลานเฉา กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อตนเองเป็นอย่างดี ปฏิบัติต่อสาวกทุกคนเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน

แล้วจะไม่ให้เขาเพียรพยายามอย่างหนักได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม เมื่อกู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ บอกตามตรงว่าบางอย่างเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริงอยู่ดี

แบรี่อาศัยอยู่ในโลกมิติอนันต์ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาสามารถทะลวงชั้นมิติมากมายได้อย่างง่ายดาย

นั่นเป็นเพราะเอกลักษณ์ของโลกมิติอนันต์ ที่มันเชื่อมต่อกับโลกอื่นๆ นับไม่ถ้วนดั่งชื่อตน ดังนั้นการทะลวงมิติจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

ทว่าท่านอาจารย์น่ะยืนหยัดอยู่ในโลกหกวิถี แต่กลับสามารถใช้กำปั้นทะลวงมิติที่ว่างเปล่า เปิดภาพเสมือนของโลกอื่นสู่สายตาได้

ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าอาจารย์จะยังด้อยกว่าแบรี่อยู่ไม่น้อย แต่ความแข็งแกร่งที่เธอแสดงออกมานั้นเป็นของจริง

ท่านอาจารย์เหมาะสมแล้วจริงๆ ที่ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์!

คนที่เลือกท่านอาจารย์ให้เป็นผู้นำ ช่างมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลยิ่งนัก!

กู่ฉิงซานพยักหน้าช้าๆ และเข้าไปภายในวังหลานเฉา

ภายในห้องโถง เครื่องใช้ทั้งหมดได้รับการทำความสะอาด และจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องโถงก็ยังว่างเปล่า ยามเมื่ออยู่คนเดียวมันก็ชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยว

โชคยังดีที่มันมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงมีสายลมอ่อนๆ พัดเข้ามา ทำให้ผู้พักอาศัยสะดวกสบาย ไม่รู้สึกอึดอัดใดๆ

กู่ฉิงซานนั่งลงบนฟูก และเริ่มคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับดินแดนชิงอำนาจ

โลกเดิมของเขาบัดนี้ได้รับการคุ้มครองโดยเหล่าทวยเทพ และกำลังจะถูกเปลี่ยนคุณสมบัติ ส่งผลให้ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่สามารถเข้าหรือออกจากโลกใบนั้นไปได้

ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่สามารถกลับไปปีนหอคอยที่อยู่ภายในมัน

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้หากเขาต้องการที่จะเร่งเพิ่มพูนฐานวรยุทธ์ตนให้เร็วที่สุด จึงไม่มีหนทางใดอื่นอีก นอกจากตรงไปยังดินแดนชิงอำนาจ

ซึ่งข้อเสนอนี้ ร่างใหญ่ก็เคยได้บอกกับเขาเอาไว้เช่นกัน

แบรี่และเสี่ยวเหมียวก็เคยบอกมันแก่เขา

เวลานี้ กระทั่งท่านอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็เริ่มใช้อำนาจในมือตน ตระเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน

เขาเริ่มทำการตรวจสอบสิ่งที่ตนมี ทีละชิ้น ทีละชิ้น

ถุงหอมหลากสีได้ถูกส่งคืนให้แก่ท่านอาจารย์แล้ว แม้ว่าเขาจะใช้บางสิ่งภายในนั้นเป็นการส่วนตัวไปบ้าง แต่หลังจากที่ได้รับทรัพยากรของหวังหงษ์เต๋ามา เขาก็นำมันเข้าไปแทนที่ส่วนเดิมที่ขาดหายไปของนิกาย อันที่จริงต้องกล่าวว่ามันเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก

แต่กู่ฉิงซานก็ยังเก็บบางสิ่งที่พอจะมีประโยชน์ไว้กับตัวเช่นกัน

อย่างน้อยเขาก็ได้ทำการคัดลอกเทคนิคฝึกยุทธ์มากมายเอาไว้ในใบหยก

ในเวลานี้ เขาได้หยิบหนึ่งในใบหยกที่ว่าขึ้นมา บนหน้าต่างเทพสงครามพลันผุดหลายบรรทัดแสงตัวอักษรเด้งขึ้นทันที

“สกิลเทวะประเภทประภพ สายธารแห่งการหลงเลือน”

“หากต้องการฝึกฝนสกิลเทวะดังกล่าว คุณจำเป็นต้องมีเงื่อนไขที่สอดคล้องดังต่อไปนี้”

“มีพรสวรรค์ทางพลังวิญญาณในการใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้า”

“ครอบครองเทคนิคเทียนซวน เพรียกวิญญาณ”

“ครอบครองเทคนิคลับ ผนึกร่างสู่หยิน”

“ครอบครองเทคนิคลับ วิญญาณหวนคืน”

“ครอบครองเชื่อมต่อหกวิถี เรือข้ามประภพ”

กู่ฉิงซานอ่านมันอีกครั้ง และอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

การเรียนรู้สกิลเทวะแห่งหกวิถี มันมีเงื่อนไขมากมายจริงๆ

แต่โชคยังดี…

ที่เขาได้รับการปลดปล่อยจิตวิญญาณ และไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ แล้ว!

มุมปากของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้น เขาเอ่ยสั่งหน้าต่างระบบเทพสงครามด้วยความมั่นใจ

“ระบบ ฉันต้องการใช้แต้มพลังวิญญาณของฉันเพื่อเรียนรู้สกิลเทวะ สายธารแห่งการหลงเลือน”

ติ๊ง!

บังเกิดเสียงอันคมชัดดังขึ้น

ระบบเทพสงครามตอบกลับ “คุณไม่สามารถเรียนรู้สกิลเทวะนี้ได้”

กู่ฉิงซานชะงักไป เขาเร่งถามอย่างรวดเร็ว “ทำไมกัน? ฉันได้รับการปลดปล่อยจิตวิญญาณแล้วชัดๆ มันไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมฉันถึงไม่สามารถฝึกมันได้?”

ระบบเทพสงครามตอบ “ใช่ จิตวิญญาณของคุณได้รับการปลดเปลื้องแล้วก็จริง แต่คุณยังคงมีข้อจำกัดเรื่องเพศอยู่ดี”

ข้อจำกัดเรื่องเพศ!

กู่ฉิงซานเกือบจะกระอักเลือดออกมา

“หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์หญิงเท่านั้นถึงจะสามารถเรียนรู้มันได้?” เขาถาม

“ถูกต้อง นี่คือเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมี”

กู่ฉิงซานพ่นลมหายใจด้วยความเสียดาย

ดูเหมือนว่าตนเองจะไม่มีทางเรียนรู้สกิลนี้ได้อีกแล้ว

เว้นเสียแต่ว่า…

ไม่ล่ะ แบบนั้นไม่เอา ลืมมันเสียเถอะ!

เขาเก็บใบหยก และหันไปหยิบกระบี่ยาวขึ้นมา

นี่คือกระบี่ยาวที่มีสีดำสนิท ทันทีที่มันปรากฏ เสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความโศกเศร้าและทุกข์ตรมนับไม่ถ้วนก็ดังออกมาจากมัน

เงาสีเทาพัวพันรอบใบกระบี่

เงาสีเทาเหล่านี้ เวียนว่ายอยู่พักหนึ่ง ทว่าเมื่อไม่ได้รับการกระตุ้นพลังวิญญาณใดๆ มันก็ค่อยๆ สลายหายไป

ใบกระบี่แม้จะยาว แต่ก็เรียวเล็กและแคบมาก มิใช่สิ่งที่เหมาะสมจะใช้ต่อสู้ ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะถูกใช้เป็นสื่อกลางในการปลดปล่อยเทคนิคมนตราเสียมากกว่า

นี่คือกระบี่จักรพรรดิศพจากโลกล่องเวหา เป็นของผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลมปราณจิตหวังหงษ์เต๋า

กระบี่นี้อยู่คู่กับหวังหงษ์เต๋ามานานปี มันได้เป็นพยานในทุกๆ การต่อสู้ของเขา

และยังได้บันทึกทักษะการต่อสู้ทั้งหมดของหวังหงษ์เต๋าเอาไว้อีกด้วย!

กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป และค่อยๆ กุมกระบี่ยาว

ทันใดนั้นเอง บนหน้าต่างเทพสงคราม ฟังก์ชัน ‘วิชายุทธ์เทพสงคราม’ ก็สว่างขึ้น

เส้นแสงหิ่งห้อยเด้งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

สกิลกระบี่ตลอดทั้งชีวิตของหวังหงษ์เต๋า รวมไปถึงเทคนิคมนตราของกระบี่ผุดขึ้นมาอยู่ต่อหน้ากู่ฉิงซาน

ในบรรดาสกิลต่างๆ ของหวังหงษ์เต๋า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่บริสุทธิ์ ส่วนใหญ่แล้วมันเกี่ยวข้องกับเทคนิคมนตราซากศพและแมลงทั้งสิ้น

บนตัวกระบี่ เต็มไปด้วยวิชาชั่วร้ายมากเกินไป กู่ฉิงซานเพียงกวาดตามองคำอธิบายข้างต้นของพวกมัน เขาก็จำต้องขมวดคิ้วทันที

เขาเลือกแยกสกิลที่บริสุทธิ์ออก จากนั้นก็นำมันไปรวมกันกับสกิลกระบี่ของนิกายร้อยบุปผา เพื่อเตรียมทำการเรียนรู้มันร่วมกันในทีเดียว

ส่วนวิชาชั่วร้ายทั้งมวล เขาละทิ้งมันไปโดยสิ้นเชิง

หลังจากนั้น กู่ฉิงซานก็ได้แยกเทคนิคธนูและลูกศรของนิกายกวงหยางออกมา และจัดเรียงมันอย่างระมัดระวัง

ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ สกิลในสาขาธนูและลูกศรช่างหาได้ยากเย็นยิ่ง กระทั่งชุดเทคนิคที่เซี่ยเต๋าหลิงรวบรวมมา ยังแทบจะไม่มีเลย มีเพียงสกิลขั้นพื้นฐานเท่านั้น

กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนำใบหยกของนิกายกวงหยางออกมา และทำการค้นหามันอย่างรอบคอบ

ในที่สุดเขาก็พบสกิลสาขาธนูและลูกศรในที่สุด

แต่มันก็ยังมีเพียงสกิลเดียวอยู่ดี

เห็นได้ชัดว่าในระบบของผู้ฝึกยุทธ์ ธนูและลูกศรมิใช่เทคนิคหลักที่ใช้ในการโจมตี

แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะท้ายที่สุดนี้ สกิลธนูของเขาเกือบทั้งหมดได้หายไปแล้ว มันหลงเหลือแค่ ‘ระบำผันผวน’ เท่านั้น

เขาจึงทำการเรียนรู้สกิลธนูและลูกศรทั้งหมด

หลังจากกระบี่ ก็ตามด้วยธนู และในที่สุดก็มาถึงใบหยกที่ท่านอาจารย์มอบให้

กู่ฉิงซานค่อยๆ จับมันขึ้นมาเบาๆ

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยค่อยๆ ทยอยกันปรากฏขึ้นมาทันที

“คุณได้ค้นพบเทคนิคลับแห่งดาบชนิดใหม่”

“เทคนิคลับแห่งดาบ ‘ล่าชีพ’”

………………………………….