ยามค่ำวันนั้น เว่ยฉางอิ๋งเชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวมาทานอาหารที่โถงด้านหลังตามปกติ
เดิมทีควรจะเชิญกู้โหรวจางที่อยู่ในซีเหลียงเช่นกันมาด้วย แต่กู้โหรวจางกลัวว่าหากพบกันทุกวัน แล้ววันใดเว่ยฉางอิ๋งนึกขึ้นมาได้ก็จะส่งนางกลับไปเมืองหลวง ฉะนั้นหากไม่มีเรื่องใหญ่โตใด นางก็จะไม่ยอมมาพบหน้าเว่ยฉางอิ๋ง ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องไม่ยอมมาทานอาหารด้วยกันด้วย… ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งไม่เหมือนเมื่อครั้งที่อยู่ในเมืองหลวง ทุกเรื่องล้วนยุ่งวุ่นวายไปหมด และยังไม่มีผู้ใหญ่ใสคอยช่วยดูแลสักน้อย นางจึงไม่กล้าเพิกเฉยกับเรื่องใด และไม่มีเวลาไปคอยดูแลนางเสมอๆ ด้วย ในเมื่อนางขอตัวแล้ว จึงไมได้ไปฝืนใจนาง
ฉะนั้นหลายวันมานี้จึงทานอาหารกับตวนมู่ซินเหมี่ยวเท่านั้น …บางครั้งที่ ตวนมู่ซินเหมี่ยวมีงานยุ่งก็จะส่งคนมาบอกกล่าวก่อน เว่ยฉางอิ๋งก็จะส่งคนนำอาหารไปส่งไว้ในเรือนนางเพื่อมิให้รบกวนเวลาของนาง มีบ้างคราวที่ทางเว่ยฉางอิ๋งมีเรื่องยุ่งจนปลีกตัวมาไม่ได้ก็จะมาบอกตวนมู่ซินเหมี่ยวคำหนึ่งว่าให้นางไม่ต้องมาหา และให้ห้องครัวนำอาหารไปส่งให้เอง
หลายวันมานี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวค่อนข้างว่าง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ได้ยุ่งมากนัก ฉะนั้นทุกวันจึงได้ทานอาหารด้วยกัน ทว่าวันนี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับมาถึงก่อน เมื่อตอนที่เว่ยฉางอิ๋งเข้ามาในห้องทานอาหารนั้น ก็เห็นว่านางสวมเสื้อผ้างดงาม เกล้ามวยผมสองมวยสูงๆ มีสง่าราศีดังคุณหนูมีตระกูลอยู่ทั่วทั้งตัว ในมือก็ยังอุ้มแมวฮวาหลีลายพรางทั้งตัวที่คล้ายว่าเพิ่งจะเกิดมาได้ไม่นานตัวหนึ่งด้วย นางบีบตัวมันไปมาอย่างสนุกสนาน บีบเสียจนเจ้าแมวฮวาหลีน้อยร้องออกมาก
เว่ยฉางอิ๋งมองดูแล้วก็หัวเราะ ถามว่า “โอ๊ะ แมวนี่มาจากที่ใด?”
“วันนี้มีฮูหยินผู้เฒ่าจากแดนไกลผู้หนึ่งมารับการรักษา ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้รักแมวยิ่งนัก ออกจากบ้านมาหาหมอก็ยังไม่ลืมให้คนพาแมวของนางมาด้วย” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ย “แมวตัวนี้เป็นนางมอบให้”
“มีคนเขาให้มาจริงรึ?” เว่ยฉางอิ๋งเดาจากอุปนิสัยของนาง เอ่ยพลางกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “เป็นเจ้าเห็นคนเขาชอบแมวเพียงนั้น แล้วต้องไปเอาของที่เขาชอบมาให้จงได้กระมัง?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ไม่ได้โกรธ กล่าวว่า “ครานี้พี่สะใภ้ท่านกลับเดาผิดเสียแล้ว เป็นข้าเห็นว่าแมวที่ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นเลี้ยงดูมันน่ารักนัก จึงมองดูหลายหน ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นจึงบอกว่าระหว่างทางแมวตัวนี้คลอดลูกมาหลายตัว จะต้องมอบให้ข้าสองสามตัวให้ได้ ข้าจึงเลือกตัวนี้มา”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิงว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้ก็จริงๆ เชียว …ออกเดินทางจากบ้านมาไกลแต่ต้องเอาแมวมาด้วยก็ยังแล้วไป กลับยังเป็นแมวที่ตั้งท้องเสียอีก แล้วไม่กลัวว่าระหว่างทางจะเกิดเรื่องหรอกหรือ?”
“บางทีนางอาจชอบแมวตัวนั้นเหลือเกิน คิดว่าต่อให้แมวตัวนั้นต้องตายก็ต้องตายอยู่ต่อหน้าตนกระมัง?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวหัวเราะฮิๆ ยกลูกแมวน้อยในมือขึ้นสูงเอาให้เว่ยฉางอิ๋งมองให้ถนันตาอีกสักน้อย “สวยใช่หรือไม่? ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าผู้บอกว่าตัวนี้มีลักษณะที่ดีที่สุด แต่ข้ากลับไม่รู้เรื่องเหล่านี้ รู้สึกแต่ว่ามันเข้าตามากว่าพี่น้องตัวอื่นของมันเท่านั้น มิใช่ว่าน้องสามีเช่นข้าไม่รักพี่สะใภ้ จึงไม่ได้ขอให้ท่านตัวหนึ่ง แต่เพราะข้าเห็นว่าระยะนี้พี่สะใภ้ท่านมีกิจยุ่งนัก คิดว่าหากเอามาให้ท่านตัวหนึ่ง ท่านก็ต้องขืนรับไว้เพื่อรักษาหน้าข้าและต้องเลี้ยงดูมันให้ดีๆ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการหางานมาเพิ่มให้ท่าน …ต่อหน้าขอบคุณข้า แต่ในใจจะต้องแอบด่าข้าแน่ๆ! เพื่อไม่ใด้ถูกด่า ข้านั้น จึงไม่หาเรื่องขึ้นมาดีกว่า”
เว่ยฉางอิ๋งชี้นิ้วแตะนางเบาๆ กล่าวว่า “นี่ล้วนเป็นคำแก้ตัว! อย่าคิดว่าจะปิดข้าไปได้! จะต้องเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นรักแมวเสียยิงนัก ต่อให้เจ้าเป็นหมอเทวดาน้อยที่มีชื่อเสียงทั้งไกลใกล้ในซีเหลียง นางก็จะต้องยอมยกให้เจ้าแค่ตัวเดียว แล้วเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้ารู้ว่า หน้าตาของเจ้ามีค่าเพียงแค่แมวตัวหนึ่ง จึงจงใจพูดเช่นนี้”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เช่นนี้ก็ถูกพี่สะใภ้ท่านมองออกเสียแล้ว? ฉลาดจริงๆ!”
ทั้งสองคนหัวร่อต่อกระซิกกับคราวหนึ่ง จึงสั่งให้คนยกอาหารมา อาหารยังไม่ทันมาถึง เว่ยฉางอิ๋งก็บอกตวนมู่ซินเหมี่ยวเรื่องที่ ซ่งไจ้สุ่ยหมั้นหมายกับซูอวี๋อู่แล้ว
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้ม “ลูกผู้พี่หญิงของ พี่สะใภ้แต่งกับ ลูกผู้น้องชายของ พี่สะใภ้ แล้ววันหน้าจะเรียกขานกันเช่นใด? จะเรียกว่าพี่เขยลูกผู้น้อง หรือเรียกว่าน้องสะใภ้ลูกผู้พี่กัน?”
“ยุ่งยากเพียงนี้เชียว แต่ละคนก็เรียกแต่ละอย่างเป็นพอแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “สำหรับลูกผู้น้องซูแล้ว ข้ากับพี่ชายสามของเจ้าก็ไม่ใช่ลูกผู้พี่หญิงแต่กับลูกผู้พี่ชายหรอกหรือ?”
“ที่แท้เพราะมีตัวอย่างมาก่อนแล้ว” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยยิ้มๆ “ข้าก็ยังนึกว่าจะทำให้พี่สะใภ้ลำบากได้เสียอีก!”
เว่ยฉางอิ๋งโน้มตัวเข้าไปตีนางหนหนึ่ง เอ็ดว่า “เจ้าตัวร้าย! นี่มันเป็นการเปลี่ยนวิธีด่าว่าข้าโง่นี่?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้ม “ข้าก็เพียงพูดไปเท่านั้น พี่สะใภ้ท่านคิดของท่านมากไปเอง”
เวลานี้อาหารก็ยกมาแล้ว ทั้งสองคนจึงไม่ทะเลาะกันอีก ตวนมู่ซินเหมี่ยวส่งแมวให้บ่าว ล้างมือและทานอาหารด้วยกัน
หลังทานอาหาร สาวใช้เอาน้ำชามาให้กลั้วปาก แล้วชงชาชั้นดีให้ทั้งสองคนดื่มช่วยล้างคอ
เว่ยฉางอิ๋งจิบชาแล้ววางกลับไปไว้บนโต๊ะ แล้วถามถึงสถานการณ์การรักษาที่นี่ “เวลานี้ก็เหมือนกับคนที่ต้องไปทำงานที่ที่ทำการเช่นนั้น สิบวันจึงจะหยุดพักสักวัน พอฟ้าสางก็เห็นว่ายุ่งอยู่ไม่หยุด บอกว่าข้ายุ่ง บางคราข้าก็ยังผลักเรื่องไปให้ท่านอาหวงท่านอาเฮ่อทำแทน ส่วนตัวเองก็ไปแอบขี้เกียจได้ แต่เจ้านั้นแม้แต่ลูกมือสักคนก็ไม่มี…”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวรีบตอบว่า “ลูกมือกลับมีอยู่ จูหลานและจูสือที่ท่านให้ข้าคล่องแคล่วยิ่งนัก ตอนนี้พวกนางผ่านหูผ่านตามามากจนรู้จักยาหลายชนิดแล้ว”
“…เจ้าชอบพวกนางแล้ว?” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งไปสักพัก แล้วเอ่ยถามขึ้นมา
ตวนมู่ซินเหมี่ยวหัวเราะฮิๆ บอกว่า “ใช่แล้ว เดิมทีข้าก็ไม่มีสาวใช้คนสนิท ใช้สอยพวกนางมาจนถึงตอนนี้ก็คุ้นเคยมือแล้ว พี่สะใภ้ท่าน หากว่ารักข้า ก็มิสู้ยกให้ข้าเสียเถิด?”
“ให้เจ้าก็ได้” ครั้งเว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าตอนว่างๆ ตวนมู่ซินเหมี่ยวมักจะสอนนั่นนี่ให้แก่จูสือกับจูหลานก่อนหน้านี้ นางก็รู้แล้วว่าคงจะเก็บสาวใช้ทั้งสองเอาไว้อีกไม่ได้แล้ว ยามนี้มาได้ยินตวนมู่ซินเหมี่ยวออกปากจึงไม่ได้รู้สึกเหนือคาดอันใด
นางรู้ว่าในเมื่อ ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยปากออกมาแล้ว ต่อให้ตอนนี้ตนเองปฏิเสธ ภายหลังเมื่อกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว นางก็จะต้องวิ่งไปร้องขอต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมของนาง ฮูหยินซูก็จะต้องมาหารือกับตน …เมื่อแม่สามีออกปาก แม้จะบอกว่าเป็นการหารือ แต่นางจะสามารถปฏิเสธเพราะสาวใช้รุ่นเล็กสองคนได้หรือ? สู้ให้ไปตอนนี้กลับยังน่าดูกว่าสักหน่อย ทว่าคนก็ไม่สามารถยกให้เปล่าๆ เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ยามนี้มีคนมาขอรับการรักษากับเจ้ามากมายนัก มีเพียงพวกนางสองคน ข้าคิดว่าคงไม่อาจดูแลรับใช้ได้ทั่วถึง ข้าว่าส่งจูเสียนกับจูเสวียนไปช่วยเป็นลูกมือกับเจ้าที่นั่นด้วย เป็นเช่นใดดีหรือไม่?”
เพื่อป้องกันมิให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวร้องขอมากมายเหมือนสิงโตอ้าปากกว้าง และกลับมาขอทั้งสี่คนไปหมด เว่ยฉางอิ๋งจึงเน้นย้ำว่า “แต่เจ้าก็ต้องเก็บเอาไว้ให้ข้าด้วยสองคนนะ!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มแล้วว่า “ข้างกายพี่สะใภ้ท่านก็มีท่านอาหวงแล้ว ยังต้องฝึกฝนคนอีกตั้งมากมายทำสิ่งใด?”
“วันหน้าข้าก็ต้องมีลูกชายลูกสาวอีกกระมัง? ฝึกฝนสาวใช้รุ่นเล็กสองคนอย่างไรก็ต้องมีที่ให้ใช้สอย” ตลอดระยะเวลามานี้เว่ยฉางอิ๋งได้ฝึกฝนตนเองจนเก่งกล้าขึ้นมากมายแล้ว จึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ไปเหมือนไม่มีเรื่องใด ไม่เหมือนครั้งระหว่างทางขามา ที่พอถูกกระเซ้าคำหนึ่งว่าอาศัยช่วงที่มาเยี่ยมเสิ่นจั้งเฟิง แล้วทั้งสองคนก็มีลูกกันอีกแล้วก็จะหน้าแดงขึ้นมา
ตวนมู่ซินเหมี่ยวบอกว่า “ท่านอาหวงก็สอนคนเป็น นางสอนเก่งกว่าข้านัก”
“ท่านอาหาวงจะมีเวลามาสอนคนได้ที่ใด? พอฟ้าสางก็ถูกข้าให้ทำนั่นนี่ไม่ได้หยุดเลย! ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ต้องมาร่ำเรียนเคล็ดวิชาลับของสำนักอาจารย์เจ้า รู้จักวิชาแพทย์เล็กน้อยเป็นพอแล้ว เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าปกติแล้วซีเหลียงเหน็บหนาวนัก พอไม่ระวังก็จะเจ็บป่วยเพราะความหนาวเอาได้ ยามมีเจ้าอยู่ย่อมไม่เป็นสิ่งใด รอจนวันหน้าเจากลับไปเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่อาจไปเรียกหาท่านอาหวงอยู่ทุกเรื่องไปกระมัง?” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดนาง “เจ้าขอสาวใช้ที่ปรนนิบัติข้ามาแต่เล็ก และพวกนางก็ได้ท่านอาเฮ่อที่อยู่ข้างกายข้าเป็นคนสอนสั่งมาแต่เล็ก …หนึ่งในนั้นก็ยังเป็นหลานป้าแท้ๆ ของท่านอาเฮ่อด้วย! ก่อนหน้านี้ข้าก็ให้สัญญากับนางว่าจะให้นางมีอนาคตที่ดีแล้ว! หรือว่าช่วยสอนสั่งคนอีกสองคนให้ข้าเจ้าก็จะเสียเปรียบแล้วรึ?”
……………………………..