ตวนมู่ซินเหมี่ยวพยักหน้าอย่างพอใจ กล่าวว่า “ได้ยินพี่สะใภ้ท่านเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่าสบายใจขึ้นมากแล้ว ….หลานป้าของท่านอาเฮ่อคือคนไหน? ก็มิใช่แค่อนาคตที่ดีหรอกหรือ ดีชั่ววันหน้าก็ต้องให้พวกนางสองคนมาปรนนิบัติข้า เรื่องอื่นไม่กล้าพูด แต่หากให้หาคนดีให้พวกนางก็ยังทำได้”
“เป็นจูสือ” เว่ยฉางอิ๋งบอก “พ่อของจูสือเป็นพ่อบ้านที่ทำงานให้แก่ท่านแม่ข้าในบ้านแม่ และเคารพข้ามาแต่ไร พวกนางสองคนล้วนเป็นข้าคอยดูแลมาพร้อมกัน”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มแล้วว่า “ท่านกลัวว่าข้าจะดูแลพวกนางไม่ดีจริงๆ หรือนี่? ลำพังเรื่องที่พวกนางได้เรียนรู้ระหว่างที่ดูแลข้า ต่อให้ข้าไม่ให้สินติดตัวไปอีก วันหน้าหากจะยกให้พ่อบ้านที่มีหน้ามีตา ก็มีแต่จะมีคนแย่งกันเอา”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “เช่นนั้นเจ้าก็สอนให้มากสักหน่อย ให้พวกนางยิ่งขายดีสักหน่อยเป็นดี หาไม่แล้วข้าก็จะชี้แจงกับท่านอาเฮ่อลำบาก …นางเป็นถึงแม่นมของข้าเชียว”
เมื่อหารือกันเสร็จ เว่ยฉางอิ๋งก็กลับมาคุยธุระต่อว่า “เนิ่นนานวันเพียงนี้แล้ว ฝีมือแพทย์ของเจ้าพัฒนาขึ้นมากแล้วกระมัง?”
“พี่สะใภ้กำลังถามถึงญาติของอาจารย์ข้า?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวฟังความหมายในคำพูดของนางออก สีหน้าพลันหนักลง ถอนหายใจแล้วว่า “หลายวันมานี้กลับไม่มีข่าวคราวใดเลย ข้าคิดว่าเกรงว่าคิดว่าคงไม่ใคร่ดีนัก…”
ปีนั้นคนทั้งบ้านจี้ถูกเนรเทศ แม้ว่าอดีตฮองเฮาเฉียนไหว้วานตระกูลเสิ่นเป็นการส่วนตัวเพื่อให้คอยช่วยดูแลสักหน่อย ทว่าตระกูลเสิ่นก็ไม่ยินยอมจะเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ในตำหนักหลังมากเกินไป จึงดูแลได้อย่างจำกัดมากๆ ….สกุลจี้ที่มาอายุนับร้อยปี แม้ว่าฐานะไม่อาจทัดเทียมเหล่าตระกูลเลื่องชื่อ ทว่าก็มีชีวิตความเป็นอยู่แทบไม่ต่างกับตระกูลใหญ่ทั่วไปแต่อย่างใด โดยเฉพาะที่ก่อนหน้านี้จี้อิงรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของฮองเฮาเฉียนครั้งนางยังไม่ถูกถอดพระยศ บ้านของเขาจึงได้มั่งคั่งร่ำรวยนัก ทุกคนล้วนเสพสุขจนเคยชินแล้ว
คนทั้งบ้านที่มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายจนเคยชินต้องถูกเนรเทศให้เดินทางไกลไปพันลี้ แม้ทุกคนจะเคยผ่านหูผ่านตาจึงพอจะรู้เรื่องการแพทย์มาบ้างเล็กน้อย ทว่าระหว่างการเดินทางผู้ใดจะยอมให้ยาและเครื่องมือการแพทย์ให้พวกเขาใช้? เป็นตระกูลแพทย์แท้ๆ ตลอดหลายปีมานี้ก็เป็นแพทย์หลวงอยู่ไม่เคยขาด มีแพทย์เลื่องชื่อมากมาย หลังจากถูกเนรเทศแล้วพวกเขาก็ค่อยๆ ทยอยล้มตายเพราะอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยด้วยไม่คุ้นเคยกับสภาพพื้นที่
แม้เวลานั้นคนที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวจะหลบพ้นจากการจับกุม แต่หลังจากนั้น ฟ้าดินกว้างใหญ่ ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าศพของเขาไปอยู่ที่แห่งใด?”
ความจริงแล้ว จี้ชวี่ปิ้งมีชื่อมาหลายสิบปี ความหวังที่เขาต้องการตามหาญาติกลับมาเป็นเรื่องใต้หล้าล้วนเคยได้ยินมาบ้าง แม่เฒ่าซ่งก็ยังเคยออกหน้าไหว้วานให้ ตระกูลเสิ่นแห่ง ซีเหลียงช่วยตามหา …ทว่าเช่นนี้ก็ยังไร้ข่าวคราว จึงคิดว่ามีแปดเก้าในสิบส่วนที่คนผู้นั้นจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
ครานี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวประจำอยู่ที่ตัวเมืองซีเหลียงคอยรักษาผู้คนจากทั่วสารทิศมาได้หลายเดือนแล้ว ฉายาหมอเทวดาน้อยของนางก็ขจรขจายไปไกล …ฐานะผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของจี้ชวี่ปิ้งนี้ไม่กว่าไกลใกล้ไม่มีผู้ใดไม่รู้ หากญาติผู้นั้นของจี้ชวี่ปิ้งยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะปรากฏตัวออกมาให้เห็นแล้ว
ทว่าก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดเรื่อยมา ความเป็นไปได้ว่าคนผู้นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ก็มีไม่มากแล้วจริงๆ
ฉะนั้นเมื่อตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยถึงปัญหานี้จึงมีสีหน้าลำบากใจ “สองวันก่อนท่านอาจารย์ยังเขียนจดหมายมาสอบถามว่ามีข่าวคราวใดหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี?”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “จู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ บางทียังมีวิธีหนึ่งสามารถทดลองใช้ได้?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวรีบโน้มตัวไปถามว่า “วิธีใด?”
“ยามนี้เจ้าอยู่ที่หมิงเพ่ยถัง ไม่ว่าอย่างไรผู้คนที่มาขอรับการรักษาก็ต้องเข้ามาทักทายปราศรัยกับข้าก่อนจึงจะเหมาะให้เชิญเจ้ามารักษา” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือนสติ “ฉะนั้นหลายวันมานี้ ผู้คนที่เจ้ารักษาล้วนเป็นคนที่ร่ำรวยมั่งมี! เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ญาติผู้นั้นของจี้ชวี่ปิ้งอยู่ที่นี่ก็ยังคงมีฐานะเป็นนักโทษ ในเมื่ออุตส่าห์หนีไปได้แล้ว หลายมีมานี้สามารถปกปิดฐานะชื่อเสียงหลบพ้นทางการก็นับว่าไม่เลวแล้ว แล้วจะร่ำรวยจนสามารถมายื้อแย่งโอกาสเข้าพบเจ้ากับผู้คนเหล่านี้ได้อย่างไร? หากไม่ได้พบหน้าเจ้า เจ้าว่าเขาจะกล้าเผยฐานะตนโดยง่ายรึ? อย่างไรเสีย จนทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นนักโทษนะ!”
คำนี้ทำให้คนผวาตื่นจากฝัน ตวนมู่ซินเหมี่ยวนึกขึ้นมาได้ในทันใด พลันตบมือแล้วว่า “เป็นไปได้อย่างที่สุด!”
นางลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น บอกว่า “ข้าจะย้ายออกไปจากหมิงเพ่ยถังเดี๋ยวนี้เลย!”
“เจ้าช้าก่อน!” เว่ยฉางอิ๋งรีบรั้งนางไว้แล้วกดนางนั่งกลับลงไป แล้วบ่นว่า “เจ้าย้ายออกไปจากหมิงเพ่ยถังแล้วจะมีประโยชน์อันใด? เพราะเจ้าก็ต้องไปอยู่ที่กระท่อมนอกเขตเมือง ผู้คนที่มาต่อแถวรอรับการรักษาที่นอกกระท่อมก็ต้องล้วนเป็นเหล่าคนมีตระกูลอยู่ดี! พวกเขายังมาให้รักษาไม่เสร็จ แล้วจะให้ชาวบ้านมาอยู่ข้างหน้าได้อย่างไร?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวโมโหยกใหญ่ ตบโต๊ะพลางว่า “ผู้ใดมันกล้าขัดขวางไม่ให้ข้าช่วยท่านอาจารย์หาคน ข้าจะวางยาให้ตายทั้งบ้านเลย!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งดีดนิ้วใส่หน้าผากนางหนหนึ่ง เอ็ดไปว่า “เจ้าเสียงเบาหน่อย! รอจนหาตัวญาติของท่านหมอเทวดาจี้พบแล้ว ค่อยถวายฎีกาขอให้ฮ่องเต้พระราชทานอภัยโทษให้ นั่นก็ยังไม่เป็นไร ฮ่องเต้จะต้องไม่ทำให้ตระกูลสูงศักดิ์ของพวกเราเสียหน้าด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้หรอก ทว่ายามนี้คนก็ยังหาไม่พบเลย! เจ้ามาเอะอะโวยวายเช่นนี้ หากมีคนรู้เข้า ไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องเกิดราวขึ้น!”
จึงเสนอแนะว่า “เจ้าก็บอกว่าเจ้าต้องการสั่งสมจรรยาแพทย์ วันหน้าครึ่งวันก็ตรวจรักษาให้แก่เหล่าคนมีตระกูล ส่วนอีกครึ่งวันก็รักษาให้แก่พวกชาวบ้านและคนยากจนโดยเฉพาะ!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวสะดุ้ง เอ่ยว่า “เหตุใดพวกคนยากจนก็ต้องรักษาด้วย…” นางเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง แต่เล็กมาก็เกิดอยู่ในกองผ้าแพรพรรณ แม้แต่พวกชาวบ้านทั่วไปก็ยังเคยได้พบไม่กี่คน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกคนยากจนเลย …แต่เวลานี้ก็ต้องมารักษาให้คนเช่นนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงอดจะมือไม้ปัดเป๋ทำอะไรไม่ถูกไม่ได้
“ผู้ใดจะรู้ว่าญาติของท่านหมอเทวดาจี้จะอยู่ในสถานการณ์ใด?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างมีนัยยะสำคัญ “ไม่แน่ว่าท่านผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้น จนต้องตกไปอยู่ในชั้นวณิพกคนยากจนก็เป็นได้? แต่เพราะท่านหมอเทวดาจี้มีชื่อเสียงกระฉ่อนเขตทะเล เวลานี้จึงเป็นผู้มีเงินมีทองเท่านั้น”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวคิดไปก็รู้สึกว่าเป็นจริงดังนั้น กล่าวว่า “ทำตามคำพี่สะใภ้เถิด” แล้วว่า “แต่ให้คนเหล่านี้มารักษาที่หมิงเพ่ยถังก็ไม่ใคร่ดีนัก พี่เว่ยมีสถานที่ใดแนะนำหรือไม่?”
“โรงน้ำชาเหลาสุราในตัวเมืองซีเหลียง โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นกิจการของ ตระกูลเสิ่น เจ้าไปเลือกหาเอาตามใจได้เลย” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “วันพรุ่งข้าจะจัดรถมาส่งเจ้าออกไปดูรอบตัวเมืองรอบหนึ่ง ที่ที่เจ้าเลือกเอาไว้ ข้าก็จะสั่งให้คนไปเก็บกวาด และไม่เปิดทำการชั่วคราว”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวพยักหน้า “ตกลง เอาดังนี้ …ส่วนเงินในส่วนที่เหลาสุราหรือโรงน้ำชาที่ไม่เปิดทำการข้าก็จะไม่จ่ายนะ ถึงยามนั้นข้าจะบอกกับคนข้างนอกว่า พี่สะใภ้ท่านสงสารผู้คนที่ไม่ใช่คนตระกูลใหญ่โต ไม่มีเงินไม่มีสิทธิ์มาขอรับการรักษา จึงมาบอกให้ข้าไปรักษาให้พวกเขาด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “ที่ไม่เปิดทำการดีชั่วก็มีเพียงร้านเดียว ต่อให้ปิดสักหนึ่งปีก็จะเสียเงินกี่มากน้อยกัน? เจ้าว่ามาดังนี้คนที่ได้ประโยชน์ก็เป็นข้าแล้ว”
“เช่นนั้น พี่สะใภ้ก็ออกเงินค่ารักษาให้พวกเขาไปเสียเลย?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างยินดีนักหนา
“….” เว่ยฉางอิ๋งเขกหน้าผากนางไปเบาๆ คราวหนึ่ง เอ็ดไปว่า “เป็นคุณหนูมีตระกูลแท้ๆ เพิ่งจะออกรักษาได้ไม่กี่วัน เหตุใดจึงเงินเข้าตาได้เพียงนี้แล้ว?”
เมื่อเอ่ยเรื่องนี้จบแล้ว …ทั้งสองคนก็ดื่มน้ำชาหมดพอดี ดูเวลาก็เย็นย่ำแล้ว ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงขอตัวลากลับเรือนของตน เว่ยฉางอิ๋งจึงสั่งบ่าวนำถ้วยชาไปเก็บเสีย ตนเองก็กำลังจะกลับไปข้างหลัง …พลันมีเสียงฝีเท้าตึงตังๆ มาบนระเบียงทางเดิน กลับเป็นตวนมู่ซินเหมี่ยวย้อนกลับมา แล้วก้าวข้ามประตูมาอย่างโกรธเกรี้ยว ชี้นิ้วร้องตวาดใส่เว่ยฉางอิ๋งว่า “พี่สะใภ้ตัวร้าย! สิ่งใดเรียกว่าให้ข้าสั่งสมจรรยาแพทย์? จรรยาแพทย์ข้าชั่วร้ายนักรึ? ครั้งองครักษ์ท่านบาดเจ็บหนักเพียงนั้น แม้แต่ค่ารักษาข้าก็ยังไม่ได้เรียก ก็ไปช่วยคนให้ท่านแล้ว!”
ก่อนหน้านี้ เว่ยฉางอิ๋งจงใจหยอกล้อนางเล่นคำหนึ่ง เมื่อเห็นนางคิดไม่ทันสักที ยังนึกว่านางไม่สนใจฟังเสียอีก กลับไม่คิดว่าจนยามนี้เพิ่งจะมาคิดทัน จึงอดจะหัวเราะยกใหญ่ไม่ได้…..
_______________