ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 34-1 รักษากำมะลอ

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ตวนมู่ซินเหมี่ยวจดจ่อจะตามหาญาติที่เหลืออยู่เพียงผู้เดียวของอาจารย์ของนาง ฉะนั้นบ่ายวันรุ่งขึ้นจึงไปเลือกเอาเหลาสุราที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ทั้งยังกว้างขวางแห่งหนึ่งเป็นที่สั่งสมจรรยาแพทย์…โอ๊ะไม่ใช่ เป็นสถานรักษาเพื่อการกุศล

เป็นถึงหมอเทวดาน้อยผู้สืบทอดเพียงผู้เดียวของท่านหมอเทวดาจี้ ทั้งยังชาติกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์แท้ๆ แต่ทุกๆ วันกลับต้องแบ่งเวลาครึ่งวันมาตรวจรักษาให้ชาวบ้านทั่วไปไปจนถึงคนในชนชั้นต่ำ ยิ่งไปกว่านั้นครึ่งวันนี้ก็ยังไม่รับรักษาผู้ดีมีตระกูล หากแต่รับรักษาแก่ผู้คนยากไร้ที่มิใช่ผู้ดีมีตระกูลโดยเฉพาะเท่านั้นด้วย …เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป กลับไม่ทำให้ผู้คนแห่แหนกันเข้ามา หากแต่ไม่มีคนเชื่อเสียอีก…

ตวนมู่ซินเหมี่ยวที่น่าสงสารนั่งรอจนแห้งเหี่ยวอยู่ในเหลาสุราติดต่อกันสามวัน กลับมีแต่คนที่มาคอยดูอยู่ข้างนอก แต่กลับไม่เห็นจะมีคนกล้าก้าวเข้ามาสักคน เมื่อกลับมาถึงหมิงเพ่ยถัง จึงอดจะไปโอดครวญกับเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้

เมื่อเว่ยฉางอิ๋งสอบถามอย่างละเอียดแล้วก็ตบมือ กล่าวว่า “นี่เพราะข้าทำไม่ถูก ข้าแค่เพียงคิดว่าเจ้าอยู่ในหมิงเพ่ยถัง คนทั่วไปจึงไม่อาจมาพบเจ้าได้ แต่กลับลืมไปว่าฐานะของเจ้าห่างไกลกับพวกคนยากไร้เหล่านั้นเพียงใด? มิน่าเล่าพวกเขาจึงไม่กล้าเข้ามาหา!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยว่า “ก็มิใช่หรอกรึ? แต่ด้วยฐานะของข้า ข้าก็ไม่อาจไปบังคับคนให้มารับการรักษากระมัง แล้วยามนี้จะทำเช่นใดดี?”

“วันพรุ่งข้าจะไปกับเจ้าด้วยก็แล้วกัน” เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญพักใหญ่แล้วเอ่ยไป

เมื่อปลอบประโลมตวนมู่ซินเหมี่ยวแล้ว นางก็ไปหานางหวงให้ตระเตรียมยาไว้จำนวนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นจึงนำไปไว้ที่นอกเหลาสุราซึ่งเป็นสถานรักษาเพื่อการกุศลของตวนมู่ซินเหมี่ยว ส่วนตัวนางเองก็เข้าไปในเหลากับตวนมู่ซินเหมี่ยว

ทั้งสองคนนั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่ชั้นบนของเหลาสุรา ตวนมู่ซินเหมี่ยวเห็นว่าข้างนอกมีเพียงแค่พวกบ่าวที่กำลังทำงานง้วนกันอยู่ และมีชาวบ้านทั่วไปมาคอยยืนมุงดูอยู่ทั้งไกลใกล้ แต่ก็ยังไม่มีคนมีทีท่าว่าจะเข้ามาแต่อย่างใด นางจึงเอ่ยอย่างสงสัยนักว่า “ก็ยังไม่มีคนมาอยู่ดีนี่!”

“เจ้ารอสักหน่อยเป็นพอ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงบผ่อนคลาย “ยามนี้คนยังไม่มากพอเลย! รอจนมีคนมากแล้วจึงค่อยมีคนเข้ามา เช่นนี้จึงจะสามารถขจัดความเคลือบแคลงของพวกเขาได้อย่างไรเล่า?”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอียงตาไปมองนาง “จะมีคนมาจริงๆ ใช่หรือไม่? อย่าได้กลายเป็นว่ามีคนมากแล้วแต่ก็ยังไม่มีคนสนใจ เช่นนั้นก็น่าขันแล้ว พี่สะใภ้ท่านไม่รู้ สองวันมานี้ ตอนก่อนเที่ยงที่ข้าตรวจรักษาให้เหล่าผู้มีตระกูล ก็มีคนมาบ่นกับข้าอ้อมๆ แล้วนะ!”

“ไยต้องไปสนใจพวกเขาเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “พวกเขาแทบทนไม่ไหวให้เจ้ารักษาแต่เหล่าผู้มีตระกูล จะได้ไม่ต้องทำให้พวกเขาเสียเวลาอย่างไรเล่า!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยด้วยท่าทีขึงขังว่า “จะไม่ให้สนใจได้อย่างไร? พวกที่มาแอบหัวเราะเช่นนี้ ข้าจะลดยาที่จ่ายให้พวกเขาครึ่งหนึ่ง ให้โรคที่หายได้ในสิบวัน กลายเป็นลุกไม่ขึ้นอย่างน้อยๆ ยี่สิบกว่าวันเลย!”

“ทำได้ดี! ต้องเช่นนี้สิ! วิชาแพทย์เป็นเจ้าร่ำเรียนมาอย่างลำบากแสนเข็ญ จะรักษาให้ผู้ใดก็เป็นเรื่องของเจ้า เกี่ยวอันใดกับพวกเขา? ต้องให้พวกเขามามากความรึ?” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางชมเชยนางไปคำหนึ่ง เงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวว่า “คงอีกครึ่งชั่วยามกระมัง…เอาหมากรุก[1]มา  พวกเรามาเล่นกันก่อนสักสองกระดาน”

“ดีชั่ว วันนี้ก็มีพี่สะใภ้ท่านมาขายหน้าพร้อมกับข้า ท่านว่ามาเล่นหมากรุก เช่นนั้นก็เล่นกันเถิด” ตวนมู่ซินเหมี่ยวม้วนแขนเสื้อขึ้น

ฝีมือหมากรุกของพวกนางล้วนอยู่ในระดับกลาง แต่ก็ต่อสู้กันอย่างสูสี เช่นนี้ก็สามารถฆ่าเวลาไปได้แล้วเกือบครึ่งชั่วยาม จูอีที่อยู่หัวบันไดกระแอมไอมาคราวหนึ่ง …เว่ยฉางอิ๋งจึงทิ้งหมากรุก แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “การค้าเจ้ากำลังจะมาแล้ว เลิกเล่นก่อนเถิด”

“จะต้องเป็นเพราะพี่สะใภ้ท่านใกล้จะแพ้แล้ว จึงได้เอ่ยเช่นนี้” แม้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะเอ่ยเช่นนี้ แต่มือกลับรีบกวาดหมากให้คละกันอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะความจริงแล้วหมากนางกำลังเสียเปรียบ ด้วยนางเอาแต่ห่วงว่าวันนี้อย่าได้ไม่มีคนมารักษาเลยนั่นเอง

เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ไปโต้แย้งคำนาง แล้วเตือนไปว่า “อีกประเดี๋ยวคนที่จะมาเป็นหญิง สามารถเข้ามาข้างในฉากกันลมได้ เจ้าลองดูซิว่าจะดูแลจัดการอย่างไร จึงจะไม่ให้เสียสง่าราศีหมอเทวดาน้อย?”

“ข้าก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดพี่สะใภ้ท่านจึงได้มั่นอกมั่นใจนัก?” หากบอกแต่ว่ามีคนมาขอรับการรักษา ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ยังจะคิดว่าเว่ยฉางอิ๋งสายตาดีจึงมองเห็นว่าท่ามกลางผู้คนตั้งมากมายข้างล่างมีคนเข้ามา ทว่าแม้แต่คนที่มาเป็นหญิง ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องเข้ามาตรวจข้างในฉากกันลมก็ยังพูดออกมาแล้ว ทั้งยังว่างมาเตือนให้ตนเองจัดแจงวางท่าทีให้ดีๆ อีก …หากยังคิดไม่ออกว่าคนที่มาขอรับการรักษาเป็นคนที่เว่ยฉางอิ๋งเตรียมเอาไว้ก็โง่เต็มทนแล้ว นางจึงรีบวางท่า “เจ็บป่วยอันใด?”

“เจ้าจะถามเรื่องนี้ทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “ดีชั่วด้วยวิชาแพทย์ของเจ้าก็มิใช่แค่รักษาไปส่งเดชก็จะหายป่วยแล้วหรอกหรือ?”

หลังจากนั้นพักหนึ่ง ปรากฏว่ามีเสียงเอะอะดังมาจากข้างล่าง มีสาวใช้ขึ้นมารายงานว่า “มีคณิกาหลวง[2]นางหนึ่งเป็นแผลเน่าที่หัวเข่าที่กลายเป็นหนองแล้ว อยากเข้ามาขอให้คุณหนูแปดรักษาเจ้าค่ะ”

พอตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ฟังว่าเป็น ‘คณิกาหลวง’ สีหน้าก็เขียวซีดขึ้นมาทันใด แล้วได้ยินว่า ‘แผลเน่า’ อีก ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นหนองแล้ว พลันอดร้องโอดครวญออกมาคำหนึ่งไม่ได้ว่า “คนเจ็บเช่นนี้ พี่สะใภ้ท่านไปหามาแต่ที่ใดกัน?”

“ข้าบอกให้บิดาของจูอีไปจัดหามา” เว่ยฉางอิ๋งบอก “เจ้าก็อย่าได้รังเกียจคนเขา ยามนี้ไม่มีคนเข้าเหลาสุรามาขอรับการรักษา หาได้เป็นเพราะไม่เชื่อถือในฝีมือแพทย์ของเจ้า หากแต่เป็นเพราะฐานะที่สูงส่งของเจ้า พวกเขาเจียมเนื้อเจียมตัวจึงไม่กล้ามาอย่างไรเล่า! เจ้าลองคิดดูสิ วันนี้แม้แต่คณิกาหลวงเจ้าก็ยังรักษาเช่นเดียวกับเหล่าผู้มีตระกูลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นอาการเจ็บป่วยที่เป็นแผลเน่ามีหนองเช่นนี้เจ้าก็ยังไม่ถือสา …ยังต้องกลัวว่าพวกเขาจะไม่กรูกันเข้ามาอีกหรือ? กระทั่งองครักษ์ที่คอยมาดูแลจัดระเบียบให้เจ้าในวันข้างหน้า ข้าก็ตระเตรียมเอาไว้ให้แล้วนะ!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวคลึงหน้าหนแล้วหนเล่า ถอนใจว่า “ก็มิใช่เรื่องใดอื่น ผู้ร่ำเรียนวิชาแพทย์จะไม่พบเห็นของไม่น่าดูได้อย่างไร? ก็เพียงแต่…ก่อนนี้ข้าไม่เคยได้เห็นเรื่องเละเทะเพียงนี้มาก่อนเลย จึงรู้สึกอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย”

เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าสีหน้าของนางกลับมาเป็นปกติสักหน่อยแล้ว จึงสั่งไปแทนนางว่าให้หามคนขึ้นมา

จากนั้นพักใหญ่ก็มีหญิงแข็งแรงหลายคนช่วยกันหามหญิงสวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ อายุราวยี่สิบกว่าปีขึ้นมา หญิงผู้นี้มีใบหน้าเหลืองซีด เมื่อสังเกตดูให้ละเอียดเค้าโครงหน้าของนางกลับยังดูงดงามอยู่หลายส่วน ทว่าผ่ายผอมเหลือทน หนังหุ้มกระดูกก็ไม่ปาน แม้เมื่อมองจากหน้าและมือแล้วจะดูออกว่าก่อนหน้านี้ได้ล้างทำความสะอาดมาอย่างดี ทว่าตัวนางกลับยังมีกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนแผ่ซ่านออกมา กระทั่งชะล้างกลิ่นชาชั้นเลิศกาหนึ่งที่เดิมทีตลบอยู่ทั่วชั้นบนจนจางไป

เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าหญิงผู้นี้นอนหายใจรวยรินอยู่บนบานประตูที่ใช้หามนางขึ้นมา ส่วนตวนมู่ซินเหมี่ยวก็เอาแต่ขมวดคิ้วแต่กลับไม่เอ่ยปากถามถึงอาการป่วย คนนอกนั้นก็รู้ถึงฐานะสูงส่งของนางจึงไม่กล้าเอ่ยปากส่งเดช บรรยากาศจึงค่อนข้างเย็นยะเยือก นางจึงเอ่ยปากช่วยแก้สถานการณ์ ทอดถอนใจไปเบาๆ ว่า “ดูไปแล้วหญิงผู้นี้ก็อายุยังน้อย ไยจึงเจ็บป่วยจนเป็นเช่นนี้เล่า?”

………………………………………….

[1] หมากรุก ในที่นี้คือ หมากรุกจีน หรือหมากล้อม

[2] คณิกาหลวง คือ โสเภณีที่ทางการจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกขุนนาง