“ท่านหญิง!” ชิ่งเฟยเห็นว่านางเป็นเพียงแค่หญิงสาวไม่ประสีประสาฟังเรื่องแบบนี้ไม่ได้ จึงรีบเดินเข้าไปพยุงนางแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “เรื่องหน้าไม่อายแบบนี้นางยังทำออกมาได้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าข้าติดหนี้บุญคุณนางอีก ช่างไร้ยางอายเสียจริง”
ฉู่เยว่ซินออกแรงจิกนิ้วลงไปบนฝ่ามืออย่างแรง มือไม้แข็งทื่อจนสติล่องลอยอยู่นานพอสมควร
นางไม่สนอีกต่อไปแล้วว่าแผนการนั่นที่ชิ่งเฟยทำลงไปคืออะไร ในสมองของนางตอนนี้มีแต่เสียงร่ำร้องว่า…
หลัวอวี่ก่วน นางร่าน! ร่าน! ร่าน!
นางริอาจมีใจให้ซูอี้งั้นรึ? นางมีสิทธิ์อะไร? ทำไมนางถึงได้มีความกล้าเยี่ยงนั้น?
“เจ้าค่ะ…ช่าง…น่าไม่อายจริงๆ!” ผ่านไปนานพอสมควร ฉู่เยว่ซินก็กัดฟันกรอดพูดออกมา
ชิ่งเฟยยิ้มขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน นางเองก็ไม่ได้คิดว่าการตอบสนองของอีกฝ่ายแปลกตรงไหน นางจึงเอ่ยต่อ “เรื่องครั้งนี้ทำไม่สำเร็จ ข้าเองก็ไม่รู้จะไปบอกนางอย่างไรดี ท่านหญิง ท่านเองก็รู้ว่าโอกาสแต่ละครั้งที่ข้าจะได้ออกนอกวังนั้นมันได้มายากนัก ในเมื่อนางมาขอร้องข้าแบบนี้ อย่างไรข้าก็ต้อง…”
“ความหมายของพระชายาคือ…” อารมณ์ของฉู่เยว่ซินเริ่มคงที่แล้ว
“พิธีกลับเยี่ยมญาติของท่านหญิงสี่จะจัดขึ้นอย่างใหญ่โตไม่ใช่หรือ?” ชิ่งเฟยกล่าว “อย่างไรแล้วข้าคงไม่คิดอยากให้ใครผู้อื่นรู้เรื่องนี้ อีกอย่างข้าก็เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านรู้หมดแล้ว สู้เอาแบบนี้…”
นางพูดไปพลางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดริมฝีปากแล้วยิ้มเขินอายไปพลาง “เรื่องนี้มันไม่ค่อยถูกต้องเสียเท่าไรหากลองคิดอีกมุมหนึ่ง ก็ถือว่าเราหยิบยืมโอกาสงานฉลองมงคลครั้งนี้ ทำให้พวกเขาลงเอยกันอย่างมีความสุข ท่านหญิงว่ามันก็ดีไม่ใช่หรือ?”
ลงเอยกันงั้นรึ? หลัวอวี่ก่วนกับซูอี้เนี่ยนะ? นางเหมาะสมงั้นรึ?
ฉู่เยว่ซินจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาของนางล่องลอยตลอดเวลา มีเพียงแค่มุมปากที่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างสบายอกสบายใจ “งานฉลองมงคลที่ว่านั่นย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่แล้ว”
ชิ่งเฟยได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกโล่งใจ จึงพูดหยั่งเชิงไปว่า “งั้นสามวันหลังจากนี้…”
“หากพระชายาต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ท่านก็ต้องอธิบายทุกอย่างให้ข้ารู้อย่างละเอียดนะเพคะ” ฉู่เยว่ซินกล่าว เบนสายตากลับมามองชิ่งเฟย
“เรื่องนี้ข้าต้องปรึกษากับแม่นางหลัวอวี่ก่วนก่อน เดี๋ยวไว้…” ชิ่งเฟยพูดขึ้นอย่างลังเล สีหน้าร้อนรนใจอย่างเห็นได้ชัด
แผนการวันนี้เละเทะไปหมด นางเลยจำเป็นต้องวางแผนใหม่ เพราะฉะนั้นต้องคิดวิเคราะห์ให้รอบคอบดีทุกอย่างก่อน
“งั้นไว้ค่อยเล่าตอนวันนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” ฉู่เยว่ซินคิดแล้วพูดแทรกนางขึ้น “ท่านเองก็น่าจะรู้นิสัยของพ่อข้าดี หากเขารู้เรื่องนี้ขึ้นมา ข้า…”
“ก็จริง!” ชิ่งเฟยหัวเราะขึ้นเล็กน้อย “งั้นไว้ข้าวางแผนได้แล้ว ถึงตอนนั้นเราค่อยมาคุยกันอีกทีแล้วกัน แต่ท่านหญิงเองก็ต้องเตรียมการไว้ก่อนด้วยเช่นกันนะ!”
“ข้ารู้!” ฉู่เยว่ซินพยักหน้า
ชิ่งเฟยหันไปมองท้องฟ้าด้านนอก “งั้นข้าขอตัวก่อนล่ะ หากอยู่นานกว่านี้จะถูกคนสงสัยเอาได้”
“เพคะ งั้นข้าไม่ไปส่งท่านแล้วนะเพคะ” ฉู่เยว่ซินพูด
ชิ่งเฟยทำหน้าเคร่งขรึมเย็นชา แล้วหันไปปรายตามองหลานซีที่นั่งอยู่บนพื้น
หลานซีรีบลุกขึ้นมาพยุงนาง
เพราะนางทำพลาด ชิ่งเฟยเลยโมโหโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก มองนางตาขวาง จากนั้นค่อยยืดตัวอกผายไหล่ผึ่งก้าวขาเดินออกไป
เมื่อส่งเจ้านายและข้ารับใช้สองคนนั้นออกไปแล้ว ฉู่เยว่ซินยังคงยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะไม่ขยับตัวไปไหน นิ้วมือจิกลงไปบนขอบโต๊ะอย่างแรง ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เต็มไปด้วยความรู้สึกดุดันน่าเกรงขาม
สาวรับใช้ของนางสุ่ยอวี้เพิ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นเข้ากับสีหน้าประหลาดของนางเข้า ก็ตกใจจนตาเบิกโพลงพูดไม่ออกราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
———————————
ทางด้านหน้าประตูใหญ่
เมื่อฉู่สวินหยางจัดการธุระเสร็จแล้ว แขกที่มางานก็เริ่มทยอยกลับไปจนเกือบจะหมดแล้วเช่นกัน ทางประตูใหญ่ฝั่งนั้นก็เหลือเพียงแค่ข้ารับใช้ของจวนที่กำลังเก็บกวาดทำความสะอาดอยู่
ฉู่สวินหยางเดินมุ่งหน้าเข้าไปหาหลัวเถิงทันที
หลัวเถิงเดินขึ้นหน้ามาสองก้าวเป็นการต้อนรับอีกฝ่าย พยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเอ่ยปากถาม
ผลลัพธ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ฉู่สวินหยางเองก็คาดการณ์เอาไว้แล้ว จึงไม่ได้เผยความผิดหวังออกมาให้เห็นมากนัก นางเพียงแค่ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ทุกสิ่งเป็นอย่างที่ข้าคิดเอาไว้ หากจับตัวคนได้อย่างง่ายดายมันคงผิดปกติเกินไป!”
เมื่องานเลี้ยงฉลองเสร็จสิ้นลง หลัวเหว่ยเองก็พาคนในครอบครัวของตนเดินทางกลับไปก่อนแล้ว เมื่อแขกแยกย้ายกลับไปจนหมด หลัวซืออวี่ถึงค่อยถูกพาตัวออกมาจากท้ายเรือน
ด้วยความที่นางไม่ได้มีความรู้สึกตกใจมาตั้งแต่แรก สติสัมปชัญญะของนางตอนนี้ก็ยังคงมีอยู่ครบถ้วนดี นางจึงเพียงแค่มองไปยังฉู่สวินหยางด้วยสายตามึนงงสับสน
“ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็ต้องขอบคุณท่านหญิงมากเลยขอรับ” หลัวเถิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินเข้ามาหา
“ซื่อจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว!” ฉู่สวินหยางยิ้มตอบอีกฝ่าย เงยหน้ามองท้องฟ้า จู่ๆ ก็พูดเสริมขึ้นว่า “อ้อใช่ อีกสามวันให้หลัง พิธีกลับมาเยี่ยมญาติของน้องสี่จะจัดขึ้นอย่างใหญ่โต ถึงเวลานั้นหากท่านว่างล่ะก็ อย่างไรก็ขอเรียนเชิญทุกคนในจวนหลัวกั๋วกงด้วยนะเจ้าคะ”
หลัวเถิงกับหลัวซืออวี่ต่างก็อึ้งหันสบตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ได้นัดหมาย
สุดท้ายหลัวเถิงก็เป็นคนเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ท่านหญิงอยากจะล่อให้อีกฝ่ายออกมาหรือขอรับ?”
“พวกนั้นถึงขั้นมาก่อเรื่องที่วังบูรพาของเราขนาดนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขนาดไหน ในเมื่อเป็นเยี่ยงนั้นแล้ว…” ฉู่สวินหยางกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นบางๆ แฝงไปด้วยความรู้สึกเย็นชาเล็กน้อยแล้วหันมองออกไปท้องฟ้ายามค่ำคืนด้านนอก “ข้าเป็นคนชอบช่วยเหลือให้คนอื่นสมปรารถนาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แค่แสดงน้ำใจเล็กน้อยเท่านี้ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก”
เห็นได้ชัดเลยว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่ต้องการโจมตีหลัวซืออวี่อย่างเดียว หากไม่สืบค้นหาความจริงออกมา ใครก็คงปล่อยวางทำใจให้สบายไม่ได้
หลัวเถิงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย…
วันนี้การที่หลัวซืออวี่ไม่เป็นอะไรมากก็เพราะแค่โชคดีเท่านั้น แต่ถ้าครั้งต่อไป…
“ท่านหญิงอุตส่าห์เชิญขนาดนี้ พวกเราตระกูลหลัวเองก็ไม่มีทางปฏิเสธ!” ทว่าหลัวซืออวี่กลับชิงพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลัวเถิงหันมองนางอย่างเป็นห่วง แต่สุดท้ายก็เงียบไม่พูดอะไรออกมา ยกมือขึ้นตบไหล่นางเบาๆ “เวลาดึกพอสมควรแล้ว พวกเราเองก็ควรกลับได้แล้ว เดี๋ยวท่านแม่กลับไปไม่เห็นเจ้าจะเป็นห่วงแย่”
“เจ้าค่ะ!” หลัวซืออวี่พยักหน้า แล้วหันไปย่อเข่าทำความเคารพฉู่สวินหยาง จากนั้นก็เดินเข้าไปในรถม้าของตน
หลัวเถิงยืนอยู่ตรงหน้าฉู่สวินหยาง ขยับปากขึ้นเหมือนจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฉู่สวินหยางเลิกคิ้วขึ้นพูดหยอกขึ้นว่า “หลัวซื่อจื่อวางใจเถิด เรื่องอุบัติเหตุเฉกเช่นวันนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแน่นอน!”
“ข้าเชื่อใจการอารักขาป้องกันของวังบูรพาอยู่แล้ว” หลัวเถิงกล่าว จ้องมองหน้าอีกฝ่ายไม่เบนสายตาหนีไปไหนด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา พึมพำอยู่นานกว่าจะพูดออกมา “เรื่องระหว่างคุณชายรองสกุลซูกับวังบูรพา…คงไม่ใช่เป็นอย่างที่พวกเขาเล่าลือกันหรอกใช่ไหมขอรับ?”
หัวใจของฉู่สวินหยางหยุดเต้นไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะขึ้นอย่างไม่แยแส “เวลาเองก็ล่วงเลยไปจนดึกมากแล้ว งั้นข้าคงไม่อยู่รอส่งซื่อจื่อท่านแล้วนะเจ้าคะ”
หลัวเถิงไม่ได้เป็นคนโง่ หากซูอี้เกลียดชังฉู่ฉีเฟิงและวังบูรพาจริง ก่อนหน้านี้หากรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในวังบูรพา เขาไม่เพียงจะไม่ได้ทีขี่แพะไล่ซ้ำยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออีกทำไม?
ทั้งยัง…
เดินจากออกไปเงียบๆ อย่างรู้กันอีก!
และท่าทีของฉู่สวินหยางแบบนี้เองก็ถือว่านางยอมรับแล้วเช่นกัน
คิ้วของหลัวเถิงขมวดติดกันยิ่งกว่าเดิม ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับ เค้นความกล้าออกมาแล้วเอ่ยปากพูดอีกครั้งว่า “เป็นเพราะ…ความสัมพันธ์…กับเขางั้นหรือ?”
เขาไม่ได้ถามอย่างเปิดเผย กว่าจะหลุดออกมาได้แต่ละคำมันช่างยากลำบากเหลือเกิน
ฉู่สวินหยางเองก็เหม่อลอยคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ ได้ยินเขาถามดังนั้นก็ยังไม่ทันรู้สึกตัว จึงเพียงแค่เบิกตากว้างมองอีกฝ่ายส่งสายตาเป็นคำถามว่า “ท่านว่าอะไรนะ?”
หลัวเถิงเห็นสีหน้าท่าทางร้อนแรงอันบริสุทธิ์และไม่เสแสร้งของนางแล้วก็รู้สึกตกใจ สะบัดแขนเสื้อถอยหลังไปสองก้าว สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “ความสัมพันธ์ของเหยียนหลิงจวินกับซูอี้นั้นไม่ธรรมดา ได้ยินมาว่าครั้งก่อนที่เขาได้รับโอกาสให้ไปชายแดนทางเหนือตอนนั้น เหยียนหลิงจวินเองก็ได้รับความดีความชอบที่เป็นคนแนะนำเขาไปด้วยไม่น้อยเลย คนอื่นเขาลือกันว่าเขาเกลียดชังวังบูรพาเพราะคังจวิ้นอ๋องเป็นคนจับเขาเข้าคุก แต่ที่จริงแล้วเรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้นใช่หรือเปล่า?”
เพราะเหยียนหลิงจวิน พวกเขาทั้งสองฝ่ายเลยเปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตรต่อกัน!
นี่เป็นเหตุผลที่เหมาะสมเหตุผลเดียวที่หลัวเถิงคิดออก
ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ได้ออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก นางเพียงแค่พูดอย่างขอไปทีว่า “เดิมทีเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร…”
“ตอนนี้ซูอี้เป็นคนที่ถือได้ว่าน่าเกรงขามมากในบรรดาคนของราชวงศ์ หากเขาเป็นศัตรูกับวังบูรพาของท่าน ผลลัพธ์มันจะเป็นเยี่ยงไร? ท่านหญิง ท่านเป็นคนเฉลียวฉลาดหาที่ใดเปรียบ ท่านเองก็น่าจะรู้ดี” หลัวเถิงพูดแทรกขึ้นมาหันหน้ากลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าซับซ้อนยากจะคาดเดา
เขาเดินขึ้นไป แล้วหยุดลงตรงหน้าฉู่สวินหยาง ยกมือขึ้นราวกับต้องการจะแตะไหล่นาง แต่ก็หักห้ามใจยกมือค้างไว้กลางอากาศแล้วชักมือกลับ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าแววตาที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดและขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านทำดีกับเขา…เพียงเพราะเรื่องนั้นเท่านั้นหรือ?”
————————————————–