บทที่ 384 โศกนาฏกรรม (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 384 โศกนาฏกรรม (4)

ออกจากเรือนที่เทียนเหอจินหยินพักอยู่ ลู่เซิ่งเพิ่งเดินออกจากประตูใหญ่ ก็เห็นหยวนเจิ้งซั่งเหรินแห่งสำนักพันอาทิตย์ที่รออยู่ตรงประตูกำลังคุยกับพวกจ่างซุนหลันและซุนหรงจี๋อยู่

“ลู่เซิ่ง ดูเหมือนพวกเราต้องคุยกันให้ละเอียดหน่อยแล้ว ในเมื่อผู้อาวุโสท่านนั้นรับเจ้าเป็นศิษย์ เช่นนั้นเจ้าจะต้องไม่ใช่เผ่ามารแน่ ท่านนั้นจงเกลียดจงชังเผ่ามารมาก ดังนั้นข้อสงสัยนี้จึงตัดทิ้งได้”

แต่เป็นเพราะเจ้าซ่อนพลังไว้มากเกินไป ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อมอบคำว่ากล่าวให้เบื้องบน” หยวนเจิ้งซั่งเหรินมองลู่เซิ่งด้วยสายตาซับซ้อน

เมื่อครู่แม้เขาไม่ได้ออกหน้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ทราบว่ารอบๆ เกิดอะไรขึ้น ตอนที่ลู่เซิ่งลงมือขัดขวางพวกเอ้อร์หยวนชินอ๋อง ทุกคนของสำนักพันอาทิตย์ล้วนปั่นป่วน

ต่อให้เขาลู่เซิ่งเป็นอันดับหนึ่งในจังหวัดไร้เหมันต์ของสามสำนักในครั้งนี้ ทั้งยังมีพลังน่าสะพรึง แต่กลับขัดขวางผู้เข้มแข็งขอบเขตปฐมปฐพีในระดับสามขั้นบนไว้ได้ทันที นี่ออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

พึงทราบว่าขอแค่เข้าสู่ระดับปฐมปฐพี ก็จะมีคุณสมบัติรับตำแหน่งผู้อาวุโสของสามสำนัก หรือผู้อาวุโสระดับจังหวัด นอกจากนี้ระดับปฐมปฐพีในขอบเขตสามขั้นบนยังถือว่าเป็นผู้เข้มแข็งในจังหวัดไร้เหมันต์ทั้งจังหวัดด้วย

“ไม่มีปัญหา” ลู่เซิ่งพยักหน้ากล่าวยิ้มๆ “พอดีเลย คำนวณเวลาดู ครอบครัวข้าก็น่าจะมาถึงแล้วเช่นกัน”

หยวนเจิ้งซั่งเหรินไม่เข้าใจเหตุผล แต่ก็ยังพาลู่เซิ่งไปยังคุกแยกด้านล่างใต้ดินของเรือนด้านในสำนักพันอาทิตย์

ความแข็งแกร่งในการปลูกสร้างคุกใต้ดินของสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์สามารถควบคุมผู้เข้มแข็งระดับผู้ถืออาวุธได้ ดังนั้นไม่ว่าลู่เซิ่งจะสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนแค่ไหน ตามการคาดเดาของเขา ก็สมควรรับประกันความปลอดภัยได้

ทั้งสองเข้าไปในคุกไม่นานก็ออกมาใหม่

หลังจากออกมา ทั้งสองก็ส่งข่าวไปยังสาขาใหญ่ของสำนักระดับบน ไม่นานก็มีการตอบกลับ หลังจากอ่านคำตอบกลับแล้ว หยวนเจิ้งซั่งเหรินก็ป่าวประกาศด้วยความจนปัญญาเล็กน้อยว่า ลู่เซิ่งจะรับตำแหน่งผู้อาวุโสอาคันตุกะของสำนักพันอาทิตย์ อีกทั้งเขายังได้ขอให้ลู่เซิ่งรับตำแหน่งเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์ของสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์เป็นการส่วนตัวด้วย

แสดงให้เห็นว่าสาขาใหญ่ของสำนักพันอาทิตย์เบื้องบนทราบถึงเบื้องหลังของลู่เซิ่งอยู่แล้ว

พอข่าวส่งออกไป คืนวันนั้นสามสำนักก็เกิดความปั่นป่วนทันที

โดยเฉพาะในตอนที่สำนักผูกวิญญาณกับสำนักซ่อนธาตุทราบว่าลู่เซิ่งจะอยู่ที่จังหวัดไร้เหมันต์ บรรยากาศก็หนักอึ้งกว่าเดิม

เห็นได้จากคำสั่งของเบื้องบนว่าระดับชั้นของลู่เซิ่งจะต้องเป็นระดับผู้ถืออาวุธอย่างแน่นอน มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ถืออาวุธระดับสุดยอดด้วย

เดิมทีสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์ มีพลังสู้อีกสองสำนักไม่ได้ แต่ตอนนี้หลังจากลู่เซิ่งโผล่มา เมื่อมีบุคคลยิ่งใหญ่ระดับสุดยอดผู้ถืออาวุธสะกด อีกทั้งเบื้องหลังยังมีอริยะเจ้านิทรานิรันดร์ในตำนาน พอเป็นแบบนี้ เกรงว่าจังหวัดไร้เหมันต์จะต้องอยู่ใต้ร่มเงาของคนผู้นี้แล้ว

และเวลานี้ลู่เซิ่งก็ได้รับข่าวด่วนที่ส่งมาจากเขตจันทราสารทว่า ในที่สุดคนของสำนักมารกำเนิดและตระกูลลู่ก็ได้มาถึงแล้ว…

พวกเขาไปถึงเขตอาทิตย์วสันต์ก่อน จากนั้นหลังจากถูกคนฝั่งนั้นพบ ก็มีคนที่ได้รับการจัดการไว้เป็นพิเศษส่งข่าวไปยังเขตจันทราสารท หรือส่งไปยังตวนมู่หว่านทันที

ตวนมู่หว่านออกเดินทางไปรับคนกลุ่มใหญ่มายังเขตจันทราสารท และหาสถานที่ให้อยู่อาศัย ตอนนี้เพียงรอลู่เซิ่งกลับไปเยี่ยมเท่านั้น

ลู่เซิ่งทนรอไม่ไหวมานานแล้ว สถานะและพลังของเขาในปัจจุบันย่อมถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมศึกช่วงชิงของสาขาใหญ่ ไหนๆ ก็อยู่ว่าง ดังนั้นเขาจึงบอกลาหยวนเจิ้งซั่งเหริน แล้วกลับเขตจันทราสารทในคืนวันนั้นเลย

เขตจันทราสารท

ด้านในคฤหาสน์เล็กๆ ใจกลางเขต

ลู่เฉวียนอันกำลังสั่งให้คนในตระกูล ขนย้ายเครื่องเรือนและสิ่งของซึ่งเพิ่งซื้อเข้าคฤหาสน์ ในเรือนใหญ่คึกคักเป็นพิเศษ ลู่ชิงชิงกระโดดไปทั่วอย่างทึ่มทื่อ คอยลูบคลำนั่นนี่เหมือนกับเด็กๆ

“อีอี ดูแลพี่สาวเจ้าดีๆ อย่าให้นางกระโดดเพ่นพ่าน” ลู่เฉวียนอันร้องบอกอย่างจนใจ

ลู่อีอีจนปัญญายิ่งกว่า เดิมทีนางเป็นแค่สตรีอ่อนแอ แต่ลู่ชิงชิงฝึกฝนวรยุทธ์ จึงไล่ตามนางไม่ทัน

“ข้าเอง” ในห้องใกล้ๆ มีสตรีนางหนึ่งเดินออกมา สวมกระโปรงขาวและมัดผ้ารัดเอวสีดำ ระหว่างผมยาวเห็นเส้นเชือกสีขาวส่ายไหวตามลมได้รำไร

นางไม่นับว่างดงามมาก แต่เครื่องหน้าได้สัดได้ส่วน เอวกิ่วขายาว บุคลิกสดใส บวกกับกระบี่สั้นในฝักดำที่มัดติดข้างเอว จึงแสดงให้เห็นถึงความสง่ามากกว่าเดิม ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคือขางามใต้กระโปรงของนางซึ่งเรียวยาวกลมกลึง และไม่มีไขมันแม้แต่น้อย ผิวที่ขาขาวผ่องนวลเนียนไร้ตำหนิ

“อวิ๋นซี ต้องพึ่งเจ้าแล้ว” พอลู่เฉวียนอันเห็นเฉินอวิ๋นซีออกหน้า ก็ระบายลมหายใจโล่งอก

เฉินอวิ๋นซีพยักหน้า ก่อนจะไขว้เท้ากระโดดสองสามครั้งไปถึงด้านข้างลู่ชิงชิงที่กำลังปีนป่ายเครื่องเรือนไปมา แล้วยื่นมือไปจับแขนของลู่ชิงชิงในฉับพลัน จากนั้นก็ดึงนางไปด้านข้าง

“ไม่เอา…ไม่เอา…” ลู่ชิงชิงกรีดร้องพลางดิ้นรน ทว่ายังสู้ความแยบยลของเฉินอวิ๋นซีไม่ได้

หลังจากเฉินอวิ๋นซีได้รับการถ่ายทอดวรยุทธ์อย่างตั้งใจจากยอดฝีมือในพรรควาฬแดง ในช่วงเวลานี้ก็ได้เรียนความสามารถด้านการเคลื่อนที่อย่างละเอียดอ่อนไปชุดหนึ่ง บวกกับการฝึกปรือที่สอดคล้องของวิชาภายนอก จึงเทียบกับจอมยุทธ์ในยุทธจักรระดับย่ำแย่สุดได้แล้ว

“เด็กดี พวกเรากินข้าวก่อนค่อยไปหาพวกประมุขพรรคผู้เฒ่าฮงที่นอกเมือง ถึงตอนนั้นจะมีคนเล่นซ่อนแอบ เป็นเพื่อนเจ้าเยอะแยะเลย” เฉินอวิ๋นซีปลอบลู่ชิงชิง “มิหนำซ้ำอีกไม่นานพี่ชายเจ้าก็จะกลับมาเช่นกัน พี่ชายเจ้าเขา…เขา…” พอพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเฉินอวิ๋นซีก็ปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมา

นางเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา แต่ได้พยายามสุดชีวิตเพื่อไล่ตามย่างก้าวของคนผู้นั้นให้ทัน ทว่าความแตกต่างระหว่างพรสวรรค์ เวลา และสติปัญญาทำให้นางสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง อย่าว่าแต่ไล่ตามย่างก้าวของคนผู้นั้น แค่มองไกลๆ ก็ยังทำไม่ได้

พรรควาฬแดงยังพอว่า สำนักอาทิตย์ชาดที่ภายหลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และสำนักมารกำเนิดแห่งจงหยวนที่เขาปกครอง รวมถึงเงาร่างที่มีกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว ซึ่งคอยวูบไหวผ่านไปผ่านมาอยู่นอกกลุ่มตลอดเวลาเหล่านั้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นขุมพลังในสังกัดของเขา

เฉินอวิ๋นซีทดลองไปสอบถาม ทดลองไปสัมผัส แต่ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้นางสิ้นหวังกว่าเดิม จากนั้นก็ละทิ้งความคิดไล่ตามโดยสมบูรณ์

“อวิ๋นซี! อวิ๋นซี!” ขณะที่นางกำลังหดหู่ท้อแท้ อยู่ๆ ในห้องก็มีคนคนหนึ่งรีบวิ่งออกมา เป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อายุยังน้อยและผิวพรรณดำคล้ำ

คนผู้นี้คือลูกของลุงใหญ่ของลู่เซิ่ง ลู่หงอิง ตอนนี้เขากำลังโบกกระดาษแผ่นหนึ่งในมือด้วยสีหน้ายินดี

“พี่ใหญ่ออกเดินทางแล้ว มาจากจังหวัดไร้เหมันต์ ใช้เวลาแค่สามวันก็จะมาถึง!”

เฉินอวิ๋นซีตัวสั่น แย่งกระดาษในมือลู่หงอิงมา ก่อนจะอ่านตัวหนังสือลายมือของสตรีที่งดงามด้านบน ในที่สุดก็ข่มกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ปล่อยให้ไหลลงมาตามหางตา

ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว…เพิ่งจะแต่งงาน สามีก็ต้องจากไปไกล ถึงขั้นจนถึงตอนนี้ นางยังคงบริสุทธิ์อยู่

ความเจ็บปวดนี้ทำให้เฉินอวิ๋นซีไม่อาจเล่าให้คนนอกฟัง และไม่มีหน้าไปเล่า สำหรับสตรีนางหนึ่ง แรงกดดันแบบนี้ช่างมหาศาล แรงกดดันอันมหาศาลที่กดทับจิตใจอย่างหนักอึ้งซึ่งไม่เคยได้ระบาย หลายปีมานี้บีบคั้นให้นางแทบบ้า ถ้าไม่ได้อาศัยการฝึกวรยุทธ์ระบายอารมณ์ นางคงจะเป็นบ้าไปแล้ว

แต่ว่าตอนนี้ ในที่สุดเขาก็จะกลับมาแล้ว

ครั้งนี้ นางจะถามเขาให้รู้เรื่องว่า เหตุใดคืนวันนั้นจึงไม่ยอมเข้าหอกับตน!

เหนือทะเลป่าเขียวชอุ่ม เงาคนสีดำสายหนึ่งบินไปยังที่ไกลด้วยความเร็วสูงเหมือนกับดาวตก

เงาคนยืนอยู่กลางอากาศ ลมแรงพัดผ่านตัวเขาไปด้านหลัง แต่ไม่อาจสร้างแรงต้านแม้แต่น้อย

บนเสื้อคลุมสีดำของเขามีลวดลายสีม่วงส่วนหนึ่งแทรกอยู่ หากมองให้ละเอียดจะค้นพบว่า ลวดลายเหล่านี้กำลังไหลเวียนและบิดเบี้ยวอย่างช้าๆ

ด้านหลังเสื้อคลุมมีคำว่าพันตัวใหญ่ปักติดอยู่ เป็นตัวอักษรสีขาวพื้นดำเรืองแสงอ่อนๆ

คนผู้นี้ก็คือลู่เซิ่ง ซึ่งเพิ่งผละมาจากจังหวัดไร้เหมันต์นั่นเอง

เขาปฏิเสธกองอาวุธเกียรติยศตามมาตรฐานของเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์ และเลือกกลับเขตจันทราสารทตามลำพังเพื่อความรวดเร็ว

“ผู้ใด!” อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็หยุดชะงัก เงาร่างหยุดนิ่งกลางอากาศ

กร้วม!

ปากใหญ่สีเขียวขนาดมหึมาพุ่งขึ้นมาจากในทะเลป่าด้านล่าง แล้วกัดขย้ำที่ว่างที่อยู่ห่างจากด้านหน้าเขาไปนิดเดียวพอดี

ถ้าหากเขาไปด้านหน้าต่อ อย่างนั้นปากใหญ่นี้จะต้องขย้ำเขาเข้าพอดีแน่

ปากใหญ่เคี้ยวกรุบๆ อยู่สองสามทีพร้อมกับส่งเสียงน้ำลายผสมกันดังซ่าๆ จากนั้นก็ค่อยๆ หดกลับไปด้านล่าง

ลู่เซิ่งค่อยเห็นชัดว่า ปากใหญ่นี้เป็นดอกไม้ที่มหึมาสุดเปรียบปาน ปากนั้นเป็นส่วนยอดของดอก กลีบสองกลีบทับซ้อนกัน เขี้ยวแหลมคมบนขอบบดกันตลอดเวลา กลายเป็นปากใหญ่ขนาดมโหฬารซึ่งสูงหลายสิบหมี่

“ออกมาเถอะ เจ้าคนที่ซ่อนหัวโผล่หาง” ลู่เซิ่งไม่เหลือบแลปากใหญ่ที่ค่อยๆ หดกลับไป สิ่งนี้ก็แค่วิชาที่คนสร้างขึ้นมา คู่ต่อสู้ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่นี่

“ตอบสนองว่องไวมาก” บนยอดไม้ด้านล่าง เงาร่างสีดำเหมือนกันค่อยๆ ปรากฏขึ้น เป็นซั่งหยางเฟยที่สวมเกราะอ่อนแนบเนื้อสีดำ

นางยืนอยู่บนยอดไม้ เท้าแตะเบาๆ บนกิ่งไม้ เถาวัลย์ และใบไม้จำนวนมากเกาะเกี่ยวกันเป็นเสา ก่อนจะค่อยๆ ยกนางขึ้นมาจนสูงเท่าลู่เซิ่ง

“ลู่เซิ่งใช่หรือไม่” ซั่งหยางเฟยอมยิ้มพลางถามเบาๆ

“เจ้าคือผู้ใด… ซั่งหยางเฟยหรือ!?” ลู่เซิ่งตกใจเล็กน้อย แม้เขาจะเคยพบซั่งหยางเฟยไม่กี่ครั้ง แต่ก็จดจำสตรีนางนี้ได้อย่างล้ำลึก

สตรีนางนี้ได้รับฉายาว่าเป็นอัจฉริยะหาตัวจับยากของตระกูลซั่งหยาง เป็นบุคคลทรงอิทธิผลในจงหยวนที่รุ่งเรืองที่สุดในต้าซ่ง เพียงแต่หายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากภัยพิบัติมารอุบัติ

“เจ้า…คือซั่งหยางเฟยหรือ” ลู่เซิ่งไม่แน่ใจอยู่บ้าง

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” ซั่งหยางเฟยเปลี่ยนภาษา ไปใช้ภาษาทางการของทางต้าซ่ง “ภัยพิบัติมารอุบัติ ข้าพาคนไปสนับสนุน แต่ถูกพวกเดียวกันลอบเล่นงาน ข้าไม่ยอมตายไปเงียบๆ เช่นนี้ ข้าคืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลซั่งหยาง! อายุสิบปีเลื่อนสู่ระดับเบญจลักษณ์ สิบห้าปีเลื่อนจากระดับสัตตะลักษณ์เข้าสู่ระดับปฐมปฐพี ยี่สิบปีเข้าสู่ระดับสามขั้นบน! ไม่มีวาสนา ไม่มีโชคช่วย ถึงขั้นไม่มีสมบัติลับอะไร เพียงแค่ฝึกฝนอย่างเรียบงายที่สุด ทั่วทั้งจงวหยวนมีผู้ใดแข็งแกร่งกว่าข้าบ้าง!? มีผู้ใดเหนือกว่าข้าบ้าง!?” ซั่งหยางเฟยอารมณ์พลุ่งพล่านเล็กน้อย “เพียงขาดอีกนิดเดียว พู่กันบรรพตก็จะเป็นของข้าแล้ว…ขาดอีกนิดเดียวเท่านั้น…” น้ำเสียงนางพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลง

“ขาดอีกเท่าไหร่นั่นเป็นเรื่องของเจ้า ว่ามา ขวางทางข้า ลอบโจมตีข้า เจ้าปลงไม่ตกตรงไหนหรือ ถึงไม่อยากอยู่แล้ว” ลู่เซิ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก้มมองด้านล่างพร้อมกับถามเสียงราบเรียบ

ซั่งหยางเฟยสงบสติอารมณ์ บุคลิกพิเศษที่อ่อนแอจนทำให้คนเอ็นดูในตอนแรกกลับคืนมา นางมีใบหน้างดงามและหุ่นยั่วยวน ถ้าไม่ใช่หนามแหลมกับเกราะแข็งประหลาดที่งอกบนสองขา แค่รูปลักษณ์ภายนอกนี้ ก็ติดสามอันดับแรกในหมู่โฉมสะคราญที่ลู่เซิ่งเคยเจอมาแล้ว

หลังจากเยือกเย็นลงแล้ว ซั่งหยางเฟยก็ยื่นมือไปเกี่ยวผมที่จอนทั้งสองข้าง “หุบเหวมารเป็นตราผนึกที่เจ้าทำลายกระมัง”

ม่านตาของลู่เซิ่งหดตัวลงอย่างฉับพลัน

“ไม่ต้องปฏิเสธหรอก” ซั่งหยางเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หลังจากฝ่าบาทเหวยลาทราบเรื่องก็เดือดดาลยิ่ง ดังนั้นจึงส่งข้ามาจับเจ้ากลับไป ข้าว่าฝ่าบาทคงอยากจะเห็นว่า เจ้าอาศัยอะไรทำลายตราผนึกในหุบเหวมาร แล้วปล่อยท่านผู้นั้นออกมา”

“จับข้ากลับไปหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง มุมปากที่เม้มเล็กน้อยแสยะอย่างดุร้าย “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนกล้าพูดถ้อยคำแบบนี้ต่อหน้าข้า”

“นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาท เจ้าไม่ต้องทำตามก็ได้ อย่างไรเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอยู่แล้ว” ซั่งหยางเฟยยิ้มบาง แบมือขวา แสงสีเขียวมรกตจุดหนึ่งค่อยๆ สว่างขึ้นกลางฝ่ามือของนาง

“ด้วยนามของข้า เหวยลา อันไซ สีเหวยซือข่าตี๋ จงคำราม ป่าดึกดำบรรพ์ จงพิโรธ ทะเลแห่งผืนดิน!” รูปปากของนางส่งเสียงตะโกนที่ยิ่งใหญ่และทุ้มต่ำเหมือนกับบุรุษ

ครืน…

ผืนดินสั่นสะเทือน ทะเลป่าสั่นไหว

ถึงขั้นที่ท้องฟ้าทั้งผืนสั่นสะเทือนตาม เหมือนกับทุกอย่างในโลกกำลังสั่นไหว จุดแสงสีเขียวนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาจากเท้าของคนทั้งสอง

ตูม!

ชั่วพริบตานั้น มีมือยักษ์สองข้างยื่นมาจากด้านล่าง แล้วพุ่งไปยังทิศทางของลู่เซิ่งพร้อมกัน

มือยักษ์ยาวร้อยหมี่ หนาสิบกว่าหมี่ ฝ่ามือทั้งสองข้างเป็นสีเขียว ประกบกันเหมือนจานบดขนาดยักษ์สองแผ่น กดอัดบดขยี้ลู่เซิ่งไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา

……………………………………….