บทที่ 385 คำนวณพลาด (1)
“ตายเสียเถอะ!” ซั่งหยางเฟยสีหน้าเคร่งขรึม ประกบสองมือไว้ด้านหน้าอย่างฉับพลัน ฝ่ามือบดอัดกันอย่างต่อเนื่องเหมือนกับจานบด เหมือนกับกำลังจะบดให้แหลก
มือใหญ่กลางอากาศบดอัดลู่เซิ่งที่อยู่ตรงกลางเหมือนกับนาง
“กระบี่แห่งการสดับฟัง” ซั่งหยางเฟยอ้าปากน้อย พลันมีเส้นสีเขียวพุ่งออกมาจากปาก หลังจากพลิ้วไหวอยู่กลางอากาศในแนวดิ่งรอบหนึ่ง ก็พุ่งไปยังทิศทางที่มือใหญ่ประกบกันอยู่
เส้นสีเขียวแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง แบ่งจากสองเป็นสาม แยกตัวกันด้วยความเร็วสูงระหว่างทาง พริบตาเดียวก็กลายเป็นเส้นบางๆ สิบเส้นแน่นขนัด
“ฆ่า!” ซั่งหยางเฟยแยกมือออกในทันที ดวงตาปรากฏลวดลายสามเหลี่ยมอันแปลกประหลาด นั่นเป็นสัญลักษณ์พิเศษของจักรพรรดิมารเหวยลา
นางไม่มีการปรานีแม้แต่น้อย เพราะเข้าใจดีว่าเมื่อสู้กับลู่เซิ่ง ความโชคดี ความเชื่องช้า และความลังเลใดๆ ล้วนอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายถึงขีดสุดได้ทั้งนั้น จากข้อมูลเกี่ยวกับลู่เซิ่งที่นางรวบรวมไว้ ตั้งแต่คนผู้นี้ผงาดขึ้นในตอนที่อ่อนแอที่สุด ก็อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนมาโดยตลอด ทุกๆ ครั้งที่พบเจอสถานการณ์จนตรอก จะสามารถแก้ไขได้ด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ มิหนำซ้ำความสามารถในการแก้ไขปัญหาของเขายังไม่ธรรมดาเสียด้วย
ดังนั้นนางจึงคิดจะเล่นงานอีกฝ่ายให้พิการตั้งแต่เริ่ม แล้วค่อยพิจารณาเรื่องอื่น
ทางที่ดีที่สุดคือสามารถทำลายวิชาจริงแท้ของลู่เซิ่ง!
ฟ้าวๆๆๆ!
เส้นสีเขียวหนาแน่นบินฉวัดเฉวียนทั่วฟ้า และพุ่งใส่ลู่เซิ่งจากทุกทิศทางพร้อมกับเสียงกรีดของลม
จังหวะเดียวกับที่ซั่งหยางเฟยควบคุมให้มือใหญ่แยกออกพอดี เส้นสีเขียวจำนวนมากแทงเข้าไปด้วยความเร็วสูง เสียงเจาะทะลุผ้าดังมาสวบๆๆ
“เจ้าจินตนาการอานุภาพของฝ่าบาทไม่ออกหรอก” ซั่งหยางเฟยเอ่ยอย่างราบเรียบ สองกระบวนท่าเมื่อครู่เหมือนรวบรัด แต่ความจริงมือใหญ่สองข้างนั้นแต่ละข้างต่างมีอานุภาพเท่าอาวุธเทพระดับเทวปัญญาชิ้นหนึ่ง บวกกับเส้นสีเขียวจำนวนมากต่อจากนั้น แต่ละเส้นล้วนเทียบได้กับจ้าวแห่งมารตนหนึ่งลงมือสุดกำลัง
เส้นสีเขียวหลายสิบเส้นเทียบได้กับจ้าวแห่งมารหลายสิบตนลงมือพร้อมกัน ดูไม่โดดเด่น ทว่าต่อให้เป็นซั่งหยางเฟยก็ยังจินตนาการความยิ่งใหญ่ของพลานุภาพไม่ออก
เส้นสีเขียวห่อหุ้มตำแหน่งที่ลู่เซิ่งอยู่เป็นวงกลมสีเขียวอย่างรวดเร็ว ในวงกลมสีเขียวไม่มีการขยับเขยื้อน ไม่มีกลิ่นอายชีวิต ลู่เซิ่งเหมือนกับถูกเส้นสีเขียวจำนวนมากแทงตายไปแล้ว
“ยอมงอมือให้จับตั้งแต่แรกก็จบไปแล้ว คงไม่ต้องมีจุดจบแบบตอนนี้” ซั่งหยางเฟยสีหน้าราบเรียบ ดวงตาฉายแววเสียดาย
นางเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลซั่งหยาง ย่อมรู้เช่นกันว่าหากคิดจะผงาดขึ้นในโลกอันแสนต่ำต้อยเพียงลำพัง จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากมายขนาดไหน
ทว่าตอนนี้วินาทีนี้ ความพยายามทั้งหมดของลู่เซิ่งล้วนสูญเปล่าแล้ว
“เนตรมาร” นางยกมือขึ้นเบาๆ ดวงตางดงามสีเขียวดวงหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนแขนท่อนปลายข้างขวา “ทำลายพลังฝึกปรือของเขา แล้วพาเขากลับไป”
“ภารกิจในครั้งนี้สบายยิ่ง” ในดวงตาสีเขียวฉายแววยิ้มเยาะ
“มีร่างแยกที่ฝ่าบาทประทานให้สะกดไว้ จะมีใครต้านทานได้อีก” ซั่งหยางเฟยยิ้มพลางมองไปยังทิศทางของวงกลมสีเขียว
“พูดถูกแล้ว” ดวงตาสีเขียวค่อยๆ ปิดลง น้ำตาสีเขียวหลายหยดเริ่มไหลออกมาจากหางตา แล้วรวมตัวกันกลายเป็นไข่มุกเก้าสิบเก้าเม็ดกลางอากาศ ก่อนจะพุ่งไปถึงรอบๆ วงกลมสีเขียวที่ลู่เซิ่งอยู่ จากนั้นก็เริ่มหมุนวนรอบลู่เซิ่งด้วยกระบวนทัพกระบวนหนึ่ง
“เก็บเสีย…” ซั่งหยางเฟยคลายมือ วงกลมสีเขียวกลุ่มนั้นพลันสลายไปอย่างช้าๆ
ทว่าสิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ตอนแรกดวงตาของซั่งหยางเฟยยังคงมั่นคงหนักแน่น ทว่าเมื่อเส้นสีเขียวสลายไป นางกลับลอยอยู่ที่เดิมอย่างงุนงง พร้อมกับจ้องมองตำแหน่งเดิมของลู่เซิ่งอย่างตกตะลึง
ตรงนั้นเป็นความว่างเปล่าผืนหนึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร…” ซั่งหยางเฟยมีสีหน้าตะลึงงัน
“นี่คือพลังของจักรพรรดิมารหรือ…” อยู่ๆ ก็มีเสียงของบุรุษที่ทุ้มต่ำดังขึ้นข้างนางราวกับว่าอยู่ใกล้แค่คืบ
“เจ้า!” ซั่งหยางเฟยผุดสีหน้าตกใจเดือดดาล ก่อนจะหมุนตัวไปมองด้านหลังอย่างฉับพลัน
ด้านหลังนางไม่ทราบว่ามีบุรุษร่างกำยำอายุน้อยที่สวมเสื้อคลุมสีดำลอยอยู่ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ เป็นลู่เซิ่งที่เมื่อครู่เพิ่งถูกห่อหุ้มไว้นั่นเอง
“เจ้า…ถึงกับ…!” ซั่งหยางเฟยหัวสมองขาวโพลน นางนึกไม่ถึงเลยว่านางจะลงมือล้มเหลว
นางที่ถือครองร่างแยกอันเหี้ยมหาญของฝ่าบาทเหวยลานึกไม่ถึงว่าตัวเองจะล้มเหลว
ลู่เซิ่งคีบเส้นสีเขียวเส้นหนึ่งไว้ในมืออย่างแผ่วเบา เส้นเส้นนั้นกำลังดิ้นรนอยู่ในมือของเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ พละกำลังและกายเนื้อของเขาแข็งแกร่งเกินไป แค่เส้นสีเขียวเส้นเดียวยังสู้พละกำลังทางกายเนื้อของเขาไม่ได้
“เป็นพลังที่อำมหิตจริงๆ…ถ้าไม่ใช่ว่าข้าหลบได้ก่อน…”
“เจ้าต่างหากที่ทำให้ข้าตกตะลึง” ความตกใจบนใบหน้าซั่งหยางเฟยค่อยๆ หายไป แสงสีเขียวสาดขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะกลายเป็นความเยือกเย็นมั่นคงโดยสิ้นเชิง เสียงที่พูดจากลายเป็นเสียงของบุรุษที่ทุ้มต่ำ “เป็นอย่างไร เจ้าหนู อยากมาหาข้าหรือไม่ ด้วยกลิ่นอายของเจ้าและพลังของเจ้า แทนที่จะเสียเวลาวางอุบายสู้กันเอง มิสู้…”
ลู่เซิ่งเงียบงันลง มือที่กำด้ามดาบหลวมๆ ถูกับด้ามดาบเบาๆ
“ท่านคือฝ่าบาทเหวยลาหรือ” เขาขมวดคิ้ว
“ข้าคือร่างแยกที่เป็นตัวแทนของเขา เจ้าถือว่าข้าเป็นเขาก็ได้” เหวยลากล่าวด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “เป็นอย่างไร คิดดีหรือยัง หุบเหวมารถูกทำลาย ข้าเองก็เดือดดาลมากเช่นกัน แต่ว่าหลังจากได้ยินเรื่องของเจ้าจากมารโบราณตนหนึ่ง ก็เกิดความสนใจส่วนหนึ่งต่อตัวเจ้า” เหวยรางที่สิงร่างซั่งหยางเฟยหัวเราะ ลวดลายสามเหลี่ยมแปลกประหลาดสีเขียวมากมายหมุนวนอยู่ในดวงตา
“ถ้าหากเจ้ามา ข้าจะให้สถานะแม่ทัพมารระดับสูงสุดแก่เจ้าทันที แม้แต่สถานะของจ้าวแห่งมารก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ นี่เทียบเท่ากับปกครองเผ่าพันธุ์หนึ่งเพียงลำพัง จะไม่มีการก้าวก่ายใดๆ” คำพูดของเหวยลาดึงดูดใจถึงขีดสุด
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าหวั่นไหว กลับนึกไม่ถึงว่าจักรพรรดิมารหนึ่งในสี่เสาหลักของเผ่ามารจะให้ความสำคัญกับเขาขนาดที่ยอมให้คำมั่นสัญญาที่มากมายขนาดนี้
เขาค่อยๆ คลายมือที่กำด้ามดาบด้วยสีหน้าลังเล
“ข้า…ข้า…” เขาก้มหน้าลงพลางขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าอะไร คิดว่าคำพูดของข้าไม่มีน้ำหนักพอ หรือรู้สึกว่าข้าเป็นแค่ตัวปลอม…”
สวบ!
เหวยลาไม่เคยเห็นดาบที่เร็วขนาดนั้นมาก่อน
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาชะงักค้าง ถึงขั้นแม้แต่ความคิดก็ยังกำลังพิจารณาเกลี้ยกล่อมให้ลู่เซิ่งยอมแพ้อยู่ วินาทีถัดมา ความเย็นเยียบและความเจ็บปวดตรงส่วนเอวค่อยเตือนเขาว่า บุรุษตรงหน้าลงมือแล้ว!
ประกาบดาบสีเงินพุ่งผ่านด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนกับมิติถูกแทงทะลุไปด้วย
รอจนเหวยลารู้สึกตัว ดาบของลู่เซิ่งก็แทงลึกเข้าไปในท้องน้อยของเขาแล้ว พลังปราณจริงแท้ ปราณภายใน และแก่นมารอันแปลกประหลาดจำนวนมากทะลักเข้าไปในร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง
กล่าวให้ถูกก็คือ ทะลักเข้าไปในร่างของซั่งหยางเฟย
“เจ้า…เป็นจ้าวแห่งมารหรือนี่…” รอยยิ้มของเหวยลาสลายไป ทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายนี้อยู่แค่ในระดับผู้ถืออาวุธเท่านั้น คิดจะป้องกันการโจมตีสุดกำลังของจ้าวแห่งมารสักตน แม้จะอยากทำแต่ก็ทำไม่ได้
บวกกับเขาสิงอยู่บนร่างซั่งหยางเฟย
ลู่เซิ่งกำดาบด้วยสองมือ แทงคมดาบลึกเข้าไปในส่วนเอวของซั่งหยางเฟย สองคนลอยอยู่กลางอากาศ เลือดพรั่งพรูออกมาจากบาดแผลของซั่งหยางเฟยเหมือนกับธารน้ำเล็กๆ
สวบ
ลู่เซิ่งชักดาบแสงจรัสออกมา จากนั้นก็ถือโอกาสดึงป้ายอาญาสามเหลี่ยมพิเศษแผ่นหนึ่งออกมาจากร่างซั่งหยางเฟย
ป้ายอาญาแผ่นนี้สลักลวดลายสัตว์ประหลาดที่มีเขาสองข้างสีดำสนิท และร่างทั้งร่างอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีทอง
ป้ายอาญาถูกปลายดาบแสงจรัสแทงใส่พอดี แม้ป้ายอาญาจะไม่ได้ถูกแทงทะลุโดยสมบูรณ์ ทว่าคมดาบที่คมกริบสุดเปรียบปานก็สร้างความเสียหายไม่น้อยให้แก่นาง จนเกือบแทงเอวของนางทะลุไป
“เจ้า…เป็นไปได้อย่างไร…!” เหวยลาโซเซถอยหลัง มือกุมส่วนเอวพร้อมกับกรีดร้อง
“มีอะไรเป็นไปไม่ได้เล่า” ลู่เซิ่งยิ้ม “ข้าไม่ต้องแข็งแกร่งกว่าร่างแปลงของเจ้าหรอก ข้าแค่ต้องทำให้เจ้าใช้ร่างแปลงไม่ได้…ก็พอ”
เปรี้ยง!
ซั่งหยางเฟยพลันระเบิดร่างกลายเป็นปราณมารอันเป็นควันสีดำนับไม่ถ้วน แล้วรวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลับเป็นร่างเดิมในที่ที่ไกลยิ่ง
“คิดหนึรึ!” ลู่เซิ่งยื่นมือตะปบใส่ซั่งหยางเฟยทันที มือของเขาจับควันสีดำที่แผ่กระจายออกมาด้านหน้าซั่งหยางเฟยไว้แน่น
แรงอันมหาศาลน่ากลัว ที่ทั้งยิ่งใหญ่และเหี้ยมเกรียม กดแขนของลู่เซิ่งผ่านสองมือของซั่งหยางเฟย
เสียงกระดูกหักดังกร๊อบๆๆ แขนทั้งสองหักในระดับที่แตกต่าง สีหน้าของลู่เซิ่งเปลี่ยนไป เขานึกไม่ถึงว่าจ้าวแห่งมารตนนี้จะเหี้ยมขนาดที่ไม่สนใจร่างของซั่งหยางเฟยโดยสิ้นเชิง
“เจ้า…”
ฟ้าว!
ทั้งสองแยกกันในทันที ซั่งหยางเฟยตัดสินใจหลบหนี กระโจนร่างไปด้านหน้า แสงสายฟ้าสีเขียวห่อหุ้มร่าง กระแทกใส่ตัวของลู่เซิ่งที่เพิ่งจะยกแขนขึ้นเตรียมลงมือ
เปรี้ยง!
จิตชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่ที่ทั้งน่าสะพรึงกลัวและแข็งแกร่ง ทะลักเข้าไปในร่างลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่งตามการไหลเวียนของแสงสายฟ้าสีเขียว ทำให้เขาชาและเชื่องช้าลง
“เจ้า…” ลู่เซิ่งคิดจะร่นระยะห่างอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ แสงสายฟ้าที่แข็งแกร่งนั้นสะกดเขาไว้อย่างแน่นหนา จนไม่อาจสลัดหลุดได้
“นี่ก็คือจุดจบของการทำลายหุบเหวมารและปล่อยคนผู้นั้นออกมา!” ซั่งหยางเฟยกรีดร้องหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง สองมือไม่ทราบกลายเป็นกรงเล็บแหลมสีดำสนิทตั้งแต่ตอนไหน พร้อมกับกรีดใส่ลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสองปะทะฝ่ามือและดาบกันกลางอากาศ ดาบแสงจรัสอยู่ในมือลู่เซิ่งแทบยอดยอดเยี่ยมล้ำเลิศ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าอำมหิตที่น่าเหลือเชื่ออย่างไร ต่างถูกมันปัดป้องได้ด้วยความเร็วสูง บางครั้งยังโต้ตอบอย่างผ่อนคลายได้ราวกับมีชีวิต
ประกายดาบสีเงินกับกรงเล็บสีดำปะทะกันไปมาอย่างรวดเร็ว
“ฟ้าคราม!” ลู่เซิ่งพลันถอยหลังหลายก้าว พร้อมกับยกดาบขึ้นฟันใส่ ประกายดาบสีดำยาวหลายสิบหมี่ระเบิดออกอย่างฉับพลัน ก่อนจะหมุนวนพุ่งเข้าใส่ซั่งหยางเฟย
นี่คือกระบวนท่าธรรมดาที่แสดงอานุภาพในระดับสูงสุดซึ่งดาบแสงจรัสมอบให้ลู่เซิ่ง
“กรงเล็บเสียงเสนาะ!” ซั่งหยางเฟยตะโกน พลังที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงหมุนวนและรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งในร่างนาง พลังงานนี้เหนือกว่าจินตนาการของลู่เซิ่ง ทั้งยังเหนือกว่าการคาดการณ์ของซั่งหยางเฟยเช่นกัน
นางไม่อาจแสดงความน่ากลัวของพลังงานนี้เป็นเวลานานได้ ตอนนี้ วินาทีนี้ผลลัพธ์ปรากฏ ร่างกายนางเต็มไปด้วยรอยแตกเล็กๆ เหมือนกับเครื่องกระเบื้องที่ประกอบกันใหม่หลังจากแตกออก
พลังงานแข็งแกร่งมาก ทว่า นางใช้ไม่ได้
เงากรงเล็บฝืนทำลายร่องรอยดาบของกระบวนท่าฟ้าครามไปครึ่งหนึ่ง แล้วก็ใช้ต่อไม่ได้อีก
“แค่กายเนื้อระดับผู้ถืออาวุธ ถึงกับทนพลังระดับนี้ได้…ซั่งหยางเฟย เจ้าควรภาคภูมิใจได้แล้ว” ลู่เซิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา
เขากระโดดไปด้านหน้า ร่างกลายเป็นเงาดาบยักษ์สีดำด้วยการชักนำจากดาบแสงจรัส แล้วพุ่งลงไปหาซั่งหยางเฟยดุจดาวตก
พริบตาเมื่อครู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาว่องไว เกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายลอบใช้กระบวนท่าไปแล้ว ยังดีที่เขาตอบสนองทัน จึงหลบการลอบโจมตีได้
ใครจะนึกถึงว่า คนที่กลิ่นอายอยู่ในระดับผู้ถืออาวุธธรรมดาๆ อย่างซั่งหยางเฟยจะซ่อนไพ่ตายที่เหี้ยมหาญไว้มากมายขนาดนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เซิ่งไม่เคยดูถูกใคร ครั้งนี้คงได้ลงไปเรียกพี่ขานน้องกับคนจำนวนมากที่เขาฆ่าไปก่อนหน้านี้แล้ว
“รนหาที่ตาย!” ซั่งหยางเฟยกรีดร้อง มีเสียงบุรุษสตรีผสมกันอยู่ ไม่ทราบว่าตอนนี้ผู้ที่ควบคุมร่างของนางคือตัวนางเอง หรือจักรพรรดิมารเหวยลา นางใช้แขนขาร่ายระบำเป็นเส้นสายสีดำของเงากรงเล็บสีเขียวนับไม่ถ้วนด้วยวิธีการและความถี่ในมุมที่ขัดต่อร่างกายมนุษย์
……………………………………….