บทที่ 386 คำนวณพลาด (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 386 คำนวณพลาด (2)

เส้นสีเขียวจำนวนมากพลิ้วไหวไปทั่วฟ้า สิ่งทีน่าเสียดายก็คือ แม้พลังจะแข็งแกร่ง แต่กลับคว้าจับแม้แต่เงาของลู่เซิ่งไม่อยู่

“ปัญญาอ่อน!”

ลู่เซิ่งกระโดดฟันดาบเหมือนกับดาวตก รอยแผลสีดำสนิทสายหนึ่งวาดออกมากลางอากาศในแนวดิ่ง

ซู่…!

รอยแยกกลางท้องฟ้าเหมือนปากแผลคงอยู่เนิ่นนานไม่สมานตัว รอยดาบสีดำหลงเหลืออยู่กลางอากาศ กลับขยับยุกยิกเหมือนกับสิ่งมีชีวิต

ยังไม่จบ ลู่เซิ่งฟันดาบที่สองออกอีก

ฟ้าว!

ลู่เซิ่งฟันดาบลง แล้วแทงเข้าไปกลางหน้าอกของซั่งหยางเฟยอย่างแม่นยำดั่งจับวาง

ทั้งสองเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็พุ่งไปด้านหลังด้วยความเร็วสูง อากาศรอบๆ ถูกเสียดสีอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสีแดงจางๆ กลิ่นเหม็นไหม้จากการแผดเผาด้วยอุณหภูมิสูงกระจายออกมาจากร่างคนทั้งสอง

ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่สนใจ

ซั่งหยางเฟยผุดสีหน้าดุร้ายพร้อมกับคำรามอย่างน่ากลัวราวสัตว์ร้าย ขณะเดียวกันก็คล้ายหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งไปด้วย

“เจ้าถึงกับกล้า…ถึงกับกล้า!”

พลังร่างแปลงของจักรพรรดิมารรวมตัวบนแขนขวาของนางอย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนจะกลายเป็นก้อนสีดำซึ่งมีแมลงที่เรียวยาวเหมือนตะขาบคลานไต่อยู่เต็มไปหมด

ก้อนสีดำเดี๋ยวขยายเดี๋ยวหด ไม่เสถียรถึงขีดสุด คล้ายกับพร้อมระเบิดจากด้านในได้ทุกเวลา

“เจ้านึกว่าเจ้าชนะแล้วหรือ” ซั่งหยางเฟยหัวเราะเสียงแหลม นางรู้ว่าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว ทว่าไม่เป็นไร นางได้ฝากไข่มารไว้กับฝ่าบาทแล้ว ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้อีก ความล้มเหลวครั้งนี้ ครั้งหน้านางจะต้องจำไว้ จำบทเรียนนี้ไว้…

ก้อนสีดำเริ่มพองขยายและเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ความดันที่สูงสุดขีด ผลักดันจากด้านในอย่างต่อเนื่อง คล้ายอาจระเบิดได้ตลอดเวลา

“ตายด้วยกันเถอะ!”

“เจ้าบ้าไปแล้ว!” ลู่เซิ่งสีหน้าผกผันเล็กน้อย ตั้งแต่เจอซั่งหยางเฟยจนถึงตอนนี้ เขาคำนวณพลาดเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง

เขาถอนดาบคิดจะหลบหนีสุดชีวิต ทว่าดาบแสงจรัสในมือของเขากลับชะงักอย่างฉับพลัน หยุดการถอยหลังของเขาไว้ ยังคงเสียบติดทรวงอกของซั่งหยางเฟยอย่างแนบแน่น โดยกำลังดูดซับบางสิ่ง อย่างตะกละตะกลามเหมือนสิ่งมีชีวิต

“เจ้า!?” ลู่เซิ่งไม่มีเวลาขบคิด ไม่ทันการแล้ว ก้อนสีดำพองขยายถึงขีดจำกัด ในที่สุดก็ระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น

ตูม!

ก้อนขยุกขยุยสีดำขนาดใหญ่พุ่งไปรอบด้าน โดยมีทั้งสองคนเป็นศูนย์กลาง กลายเป็นเส้นแบ่งเขตขนาดมหึมาเหมือนกับจานทรงกลมกลางอากาศ

เวลานี้มีเงาร่างทุลักทุเลพุ่งโซเซออกมาจากตรงกลางจานทรงกลม

เป็นลู่เซิ่งที่คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง เขาถือดาบแสงจรัสไว้ในมือขวา พร้อมกับพุ่งออกมาจากอาณาเขตจานทรงกลมขยุกขยุยสีดำ แล้วบินไปยังที่ไกลด้วยสีหน้าเหยเก

ขนาดร่างกายของเขาในตอนนี้ขยายถึงห้าหมี่กว่าๆ อยู่ในสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่งอันเป็นสภาพจุดสูงสุดที่สมบูรณ์แบบที่สุด

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ทั่วทั้งตัวเขาก็ไม่มีจุดใดที่ไม่ใช่รอยแผล บาดแผลจำนวนมากที่เน่าเปื่อยเหมือนกับถูกมีดบาดแต่ไม่ได้จัดการดูแลมานานกระจายไปทั่วทั้งร่างเขา

หลังจากฝืนพุ่งออกมาหลายพันหมี่ ลู่เซิ่งก็ทิ้งตัวลงด้านล่าง

เปรี้ยง!

เขาตกลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง พร้อมกับเสียบดาบแสงจรัสเข้าไปในพื้นดิน

ตูม!

ชั่วพริบตานั้น ลู่เซิ่งกระตุ้นพละกำลังอันน่ากลัวแล้วเตะใส่ดาบแสงจรัสอย่างดังสนั่น

“ไสหัวออกมา!” เขาตวาดเสียงเฉียบขาด

ดาบถูกเตะใส่จนหลุดไปตกอยู่ด้านข้าง ตัวดาบสั่นไหวอย่างรุนแรง รอยแตกเล็กๆ มากมายเริ่มกระจายออกมาจากกลางตัวดาบ

ลู่เซิ่งไม่สนใจ สายตาของเขาเย็นเยียบ เมื่อครู่นี้ดาบแสงจรัสหักหลังเขาอย่างกะทันหันจนทำให้เขาเกือบจบชีวิตลง

ถ้าไม่ใช่เพราะเขารวมหยินหยางเป็นหนึ่ง อาศัยกายเนื้อที่เหี้ยมหาญยิ่งกว่าอาวุธเทพต้านทานไว้ทันเวลา ครั้งนี้เกรงว่าจะเรือล่มในหนองจริงๆ

ไม่ใช่เพราะติดกับซั่งหยางเฟย แต่เป็นเพราะถูกดาบแสงจรัสนี้ประสานเสริม

ตูม!

เขาต่อยใส่ดาบแสงจรัสอีกหมัดอย่างหนักหน่วง ดาบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยแตกนั้นแผ่กระจายออกมามากกว่าเดิม

ทว่าดาบแสงจรัสยังคงไม่มีปฏิกิริยาใด ถึงขั้นที่รอยแตกนั้นสมานตัวเองโดยอัตโนมัติด้วยความเร็วสูง

ลู่เซิ่งเดือดดาล ตั้งแต่เริ่มต้นมาถึงตอนนี้ เขาเพิ่งเคยเสียท่าขนาดนี้เป็นครั้งแรก ถ้าไม่ใช่ว่าเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แต่แรก และถ้าไม่ใช่เพราะเตรียมวิธีการรับมือสถานการณ์แบบนี้เอาไว้ก่อน ครั้งนี้คงจะ…

เขานึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่า เหตุใดดาบแสงจรัสจึงวางแผนเล่นงานเขาในเวลาสำคัญแบบนั้น

ตูมๆๆๆๆ!

ลู่เซิ่งเหมือนเครื่องจักรที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ระดมหมัดใส่ดาบแสงจรัสอย่างเหี้ยมหาญ กายเนื้อของเขาอยู่ในระดับน่าสะพรึงกลัว สามารถต้านทานอานุภาพระดับจ้าวแห่งอาวุธได้ หมายความว่าร่างกายเขาเป็นอาวุธเทพสะท้านโลกชิ้นหนึ่ง

ความจริงแล้วระดับและความอึดอยู่ในระดับเดียวกันกับอาวุธเทพศัสตรามาร

ในความเป็นจริง จุดแข็งที่เขาเหนือกว่าอาวุธเทพศัสตรามารก็คือกายเนื้อของเขามีความเร็วในการฟื้นฟูตัวเองดีกว่า

ดาบแสงจรัสถูกลู่เซิ่งกดด้ามดาบลงกับพื้นด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วทุบตีอย่างคลุ้มคลั่ง รอยแตกบนตัวดาบยิ่งมายิ่งมาก ยิ่งมายิ่งกระจัดกระจาย

นี่เกรงว่าจะเป็นภาพที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน อาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำชิ้นหนึ่ง ต่อให้เป็นอาวุธชั่วร้าย ก็มีคนนับไม่ถ้วนทะนุถนอมเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างเอาใจใส่อยู่ดี

ไม่เคยมีใครคิดทุบตีอย่างคลุ้มคลั่งเหมือนกับลู่เซิ่ง

และแหล่งกำเนิดพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาวุธเทพศัสตรามารชิ้นหนึ่งก็มาจากผู้ถืออาวุธ หรือไม่ก็จ้าวแห่งมารที่เป็นผู้ถืออาวุธ

ผู้ถืออาวุธเป็นแหล่งกำเนิดพลังในการฟื้นฟูตัวเองของพวกมัน ส่วนพิธีกรรมเป็นแค่แหล่งกำเนิดพลังที่ใช้รักษาอานุภาพไว้เท่านั้น

พลังงานสองชนิดทั้งในทั้งนอก ล้วนมาจากผู้ถืออาวุธทั้งสิ้น

มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ทุบตีอาวุธเทพของตัวเองอย่างบ้าคลั่งเหมือนลู่เซิ่ง และที่น้อยยิ่งกว่าก็คือ แทบไม่มีใครมีกายเนื้อแข็งแกร่งเท่ากับอาวุธเทพเหมือนกับเขา

เสียงดังสนั่นระเบิดบนพื้นอย่างต่อเนื่อง และในรัศมีหลายสิบลี้ก็สามารถรับรู้ได้ว่าแผ่นดินกำลังไหวอยู่

ลู่เซิ่งทุบตีอย่างคลุ้มคลั่ง ทั้งยังตัดแหล่งปราณจริงแท้สำหรับฟื้นฟูที่มอบให้ดาบแสงจรัส ในที่สุดก็ค่อยๆ เกิดผล

ดาบแสงจรัสเริ่มสั่นไหวน้อยๆ มีรอยแตกบนผิวมากขึ้นเรื่อยๆ ไอเลือดหลายสายกระจายออกมาจากรอยแตก เข้มข้นถึงขั้นที่ทำให้ลู่เซิ่งยังตกใจ

“ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ…” อยู่ๆ เสียงอ่อนแอก็ดังขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง

เขาพลันตัวสั่น การเคลื่อนไหวหยุดชะงักอย่างฉับพลัน หมุนตัวไปด้านหลัง กลับไม่เห็นอะไรเลย

“ท่านไม่รักข้าแล้ว…หรือ” เสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง อยู่ใกล้แค่คืบ แต่ลู่เซิ่งกลับหาร่องรอยไม่เจอแม้แต่น้อย

ดวงตาลู่เซิ่งสาดจิตสังหารที่บ้าคลั่ง ยกระดับการสัมผัสไปถึงจุดสูงสุด แต่ยังคงไม่พบว่าเสียงส่งมาจากที่ใด

“ทั้งหมดที่ข้าทำก็เพื่อท่าน เพื่อทำให้ท่านแข็งแกร่งมากขึ้น…มากขึ้น…ท่านไม่ชอบข้าแล้วหรือ” เด็กผู้หญิงถามอีกรอบ

ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก จิตสังหารในแววตาคลุ้มคลั่งกว่าเดิม

“เจ้าออกมา…เด็กดี…เจ้าออกมาพบข้า เหตุใดข้าจะไม่ชอบเจ้าเล่า ข้าเพียงแค่อยากบังคับให้เจ้าออกมาเจอข้าเท่านั้น”

“จริงหรือ”

พร้อมกับที่เสียงถามไถ่ดังมา ลู่เซิ่งพลันรู้สึกได้ว่าบ่าของตัวเองคันยุกยิก เขาหันไปมอง บนบ่าขวาของตัวเองไม่ทราบว่ามีศีรษะของเด็กผู้หญิงผมยาวสยายวางอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่

ใบหน้างดงามไร้เดียงสาของเด็กผู้หญิงขาวซีดไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย กำลังแนบชิดกับแก้มของเขา อยู่ติดกับเขา

“ท่าน…รักข้าหรือไม่” เด็กผู้หญิงถามเบาๆ

“แน่นอน…” ลู่เซิ่งลืมตาพร้อมกับยื่นมือไปลูบหลังตน กลับลูบเจอผมสีดำกระจุกใหญ่ๆ ที่เหนียวเหนอะหนะ และสิ่งที่คล้ายกับผิวหนัง

“แน่นอนว่า…รักเจ้า!” สีหน้าเขาเหี้ยมเกรียมขึ้นในทันใด จิกผมบนศีรษะเด็กผู้หญิงไว้อย่างหนักหน่วง ก่อนกระชากมาด้านหน้า

เปรี้ยง!

ศีรษะของเด็กผู้หญิงถูกเขาฉีกออกมา กดบนพื้นด้านหน้าอย่างดังสนั่น

โครม!

เกิดเสียงดังลั่น ในหลุมใหญ่บนพื้นปรากฏหลุมกว้างใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางหลายหมี่อีกหลุมหนึ่ง

ลู่เซิ่งยกศีรษะแหลกเละของเด็กผู้หญิงขึ้น ทั่วร่างขยายด้วยความเร็วสูง แค่ไม่กี่อึดใจ ใบหน้าของเขาก็ไม่ใช่มนุษย์ ปากฉีกไปถึงข้างหู ฟันแหลมน่ากลัวสามแถวอ้าและหุบอย่างต่อเนื่องเหมือนกับเลื่อย ตา หู จมูก ปากมีควันสีดำจากไฟมารสีแดงก่ำลอยออกมาเป็นระยะ ร่างของเขาคล้ายกำลังลุกไหม้ หางยาวใหญ่โตด้านหลังส่ายไปมาอย่างไม่รู้สึกตัว เมื่อกวาดไปยังทิศทางใด ทุกที่ก็หลงเหลือแค่ของเหลวที่หลอมละลายราวกับหินหนืด

“ข้ารักเจ้า แล้วเจ้ารักข้าหรือไม่” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างดุร้ายขณะฉีกผิวหนังทั้งร่างของเด็กผู้หญิงออกมาจากหลังตัวเองอย่างช้าๆ แล้วถือไว้ด้านหน้า จากนั้นก็วางรวมกับศีรษะที่แหลกเละ แล้วนวดคลุกเคล้ากัน ไม่นานก็กลายเป็นก้อนเนื้อสีดำที่มีเส้นผม เลือด และซากกระดูกผสมอยู่

“ข้ารักท่าน” เสียงของเด็กผู้หญิงดังมาอีกครั้ง

“อย่างนั้นหรือ ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นหน่อยว่าเจ้ารักข้าขนาดไหน”

ลู่เซิ่งยัดก้อนเนื้อเข้าไปในปาก แล้วเคี้ยวอย่างตะกลุมตะกลาม จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงดาบแสงจรัสออกมาจากพื้น โดยหันปลายดาบไว้ด้านหน้า

‘ดีปบลู’ เขาคำรามในใจ

กรอบสีฟ้าโผล่มาทันที สายตาของลู่เซิ่งจับอยู่บนกรอบหนึ่งในนี้อย่างรวดเร็ว

เดิมทีเขาขาดอีกแค่ก้าวเดียว ก็จะพัฒนาต่อได้ แต่สิ่งที่ขาดคือแก่นมารของมารโบราณส่วนหนึ่ง ปัจจุบันหลังจากฆ่าซั่งหยางเฟย ทั้งยังประสบกับการระเบิดแก่นมารในพริบตาเมื่อครู่ ในที่สุดเขาก็รวบรวมปริมาณแก่นมารที่มากพอได้แล้ว

สายตาของลู่เซิ่งอยู่บนกรอบวิถีแปดมารสูงสุด แล้วกดความนึกคิดลงบนปุ่มยกระดับเรียนรู้ทันที

พลังอาวรณ์สามร้อยกว่าหน่วยลดลงด้วยความเร็วสูง แก่นมารของจักรพรรดิมารที่ดูดซับมาด้วยความจำเป็นตอนเกิดการระเบิดเมื่อครู่ หรือแก่นมารของจักรพรรดิมารที่ยังก่อกวนอยู่ในปากแผลภายในร่างกาย วินาทีนี้กลับถูกอาณาเขตเครื่องมือปรับเปลี่ยนที่อยู่ตรงกลางทรวงอกของลู่เซิ่งดูดซับเข้าไปอย่างคลุ้มคลั่ง

ในเวลาเดียวกันกายเนื้อวิถีแปดมารสูงสุดก็ได้พัฒนาขึ้นอีกขั้น โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติไปยังระดับสูงสุดของจ้าวแห่งมารขั้นใบไม้ทองคำด้วยความเร็วสูง

“คิดจะลองตั้งนานแล้ว…ให้ข้าได้เห็นหน่อยว่า อาวุธชั่วร้ายอย่างเจ้าแข็งแกร่ง หรือว่ากายเนื้อของข้าแข็งแกร่งกว่า!” ลู่เซิ่งจับดาบแสงจรัสไว้ แล้วกัดใส่ด้านหลังดาบทันที

กร้วม!

ส่วนที่แข็งที่สุดและมีกำลังมากที่สุดในกายเนื้อของเขาก็คือฟัน ตอนนี้กัดลงไปเต็มแรง

ในตอนนี้ดาบแสงจรัสที่ไม่มีพลังฟื้นฟูจากปราณจริงแท้ทนไม่ไหวแล้ว เกิดเสียงดังเพล้ง แล้วแตกเป็นช่องว่างเล็กๆ

ลู่เซิ่งกัดด้านหลังดาบของดาบแสงจรัสอย่างบ้าคลั่งและโกรธจัด สำหรับเขาแล้ว อาวุธชั่วร้ายก็ดี อาวุธเทพก็ดี ล้วนไม่สำคัญ ขอแค่ใช้ประโยชน์ได้ เขาล้วนไม่ถือสา

แต่ว่าอาวุธเทพที่อาจจะทำเสียเรื่อง ทั้งยังอาจจะโจมตีใส่พวกเดียวกันในเวลาสำคัญ ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่มีค่าให้อยู่ต่อแล้ว

เขาไม่รู้ว่ามีวิธีการใดบ้างที่ทำลายอาวุธเทพศัสตรามารได้ เขาเพียงรู้ว่ากายเนื้อของตนแข็งแกร่งที่สุด และฟันของตนเป็นส่วนที่ทนที่สุดและแกร่งที่สุดในกายเนื้อ

“ในเมื่อรักข้า ทำไมไม่ไปตายให้ข้าเล่า!?”

……………………………………….