ตอนที่ 233 กระตุ้นเมืองหลวงอีกครา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 233 กระตุ้นเมืองหลวงอีกครา

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สิบห้า ภายในค่ำคืนนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมาอย่างมากมาย

ใบประกาศนั้นได้ปลิวว่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง และในตอนนี้เรื่องราวนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออกอย่างเฟ่ยอันต่างก็เป็นที่รับรู้กันถ้วนหน้า

ค่ำคืนนั้นมวลชนต่างก็หลั่งไหลมาล้อมรอบจวนผู้ว่าเขตจินหลิง เพื่อแสวงหาความเป็นธรรมและยุติธรรมต่อเรื่องนี้

เฟ่ยอันก็ได้ถูกมือปราบของจวนผู้ว่าเขตจินหลิงจับกุมในคืนนั้นเช่นกัน และต้องรอการไต่สวนต่อไป

เกิดไฟไหม้ขึ้นในเมืองจินหลิงมากกว่าสิบจุด ผู้ตายก็มากเช่นกัน ในนั้นมีทั้งราษฎรของเมืองหลวง และโจรป่า กล่าวได้ว่าในคืนนั้นหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้สูญเสียไพร่พลไปมากเช่นกัน

ในคืนนั้นประตูใหญ่ของวังหลวงเมืองจินหลิงได้ถูกปิดลง จากสายตาของราษฎรในเมืองหลวง คาดว่าคงกังวลว่าฝูงชนจะปรี่เข้าไปในวังหลวงด้วยความโกรธแค้นจนก่อให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น

ครึ่งค่อนคืนให้หลัง ในตอนที่เฟ่ยอันถูกพามายังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง หลังจากที่ฝูงชนได้ปาขยะและรองเท้าประดังเข้ามา เหมือนว่าความกรุ่นโกรธในใจจะได้ถูกระบายออกไปเสียบ้างแล้ว ดังนั้นจึงได้แยกย้ายกันกลับไป ทะเลสาบเว่ยยางเพิ่งจะถูกยกเลิกคำสั่ง ดังนั้นทุกคนจึงได้ทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์บทกวีที่โดดเด่นขึ้นในงานกวีเทศกาลโคมไฟอีกครา

ราวกับบทกวี ‘ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว’ ได้ถูกลมใบไม้ผลิพัดพาไปทั่วทุกมุมของเมืองจินหลิง ทุกคนต่างประหลาดใจและยกย่องบทกวีของฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นเทพเหวินฉวี่ซิงที่กลับชาติมาเกิดอย่างแท้จริง

เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ยังมิได้ออกเรือน ต่างกอบกุมบทกวีนั้นไว้ และรู้สึกราวกับว่านอนไม่หลับอีกครั้ง ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาพักใหญ่แล้ว

ต่อจากลมใบไม้ผลิก็คือคำชื่นชมของห้านักปราชญ์แห่งราชวงศ์หยู จึงได้ถูกสลักไว้เป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือของเทศกาลโคมไฟอย่างมิต้องสงสัย และได้ล้ม ‘โต๊ะหยก งานโคมไฟ’ ที่อยู่มานานนับสิบปีของเหวินสิงโจวลงไปอย่างราบคาบ

แน่นอนว่านี่คือเรื่องที่สมควรได้รับการยกย่องจากผู้คนในเมืองหลวง ดังนั้นหงซิ่วจาวที่มีแผนเดิมว่าจะปิดร้านก็ได้แขวนโคมแดงขึ้นอีกครา ผู้เรียบเรียงทำนองก็คืออาจารย์หูฉินหู แต่ครานี้ผู้ขับร้องกลับเป็นหลิ่วเยียนเอ๋อร์

ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ตามเรื่องมากับข่าวคราวนี้ด้วย

บทความ ‘เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว’ ที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์ ก็ได้รับการยกย่องจากเหล่านักปราชญ์ในค่ำคืนนั้นเช่นกัน จึงได้ขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่งในร้อยแก้วของหินเชียนเปยสือเช่นกัน

เมืองหลวงก็ได้พลุ่งพล่านขึ้นมาทันใด !

“ลำดับที่หนึ่งถึง 3 ครั้ง ลำดับที่หนึ่งถึง 3 ครั้งเลยมิใช่รึ ! ”

“มิมีใครทำได้มาก่อน ต่อจากนี้ก็คงจะมิมีเช่นกัน ! ”

“พวกเจ้าลองอ่านบทความนี้โดยละเอียด ช่างไพเราะเสนาะหู และสนุกสนานเป็นอย่างมาก ! ”

“ดังนั้นหากฟ้ามิให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวน คงเงียบเหงาเหมือนกับค่ำคืนที่ยาวนานไปชั่วนิรันดร์อย่างแท้จริง ! ”

“…..”

ไม่ว่าจะเป็นเรือบนแม่น้ำฉินหวาย หรือหอนางโลมในเมืองจินหลิง การค้าขายในคืนนี้ก็ครึกครื้นมากยิ่งนัก

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิทราบเรื่องแต่อย่างใด

หลังจากที่ถอนคำสั่งทะเลสาบเว่ยยาง พวกเขาก็ขึ้นเรืออูเผิง และเดินทางมาจนถึงท่าเทียบเรือ

ฟู่เสี่ยวกวนบอกลาฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ พร้อมกับไหว้วานให้ชางกวนเหมี่ยวนำมือสังหารที่ไร้วรยุทธ์ทั้งเจ็ดไปส่งที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิง เขากับต่งชูหลาน ซูโหรวและซูซูไปส่งเยี่ยนเสี่ยวโหลวจนถึงจวนด้วยกัน

ซูซูและซูโหรวขึ้นรถม้าคันเดียวกัน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนกับต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวไปด้วยกัน

ต่งชูหลานประคองเยี่ยนเสี่ยวโหลว และเอ่ยเสียงแผ่ว “บาดแผลของเจ้าใหญ่ไม่น้อย พรุ่งนี้ข้าจะขอให้เวิ่นหวินนำหมอหลวงไปหาที่จวนเยี่ยน แต่ก็ต้องดูแลสุขภาพและพักฟื้นให้ดี อย่าให้เหลือต้นตอของอาการเรื้อรัง อย่างไรเสีย…”

ต่งชูหลานก็กลอกตามองบนใส่ฟู่เสี่ยวกวน เบะปากและกล่าวออกมาว่า “อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็มีพลังมาก ทั้งยังพลิกแพลงได้ หากเจ้าได้แต่งเข้าจวนฟู่จริง ๆ เจ้าก็ควรจะมีสุขภาพร่างกายที่ดี”

คำพูดนี้ค่อนข้างคลุมเครือ เยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็หน้าแดงขึ้นมาทันพลัน ในใจครุ่นคิดว่าชูหลานก็ไร้ซึ่งความวิตกใด ๆ ยังมิทันได้ตบแต่งก็กล้าที่จะพูดคำเหล่านี้ออกมาแล้ว

เพียงแต่…เขาพลิกแพลงเยี่ยงไรกัน ?

ในหัวของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ทันใดนั้นก็ก้มหน้าหลบ และไม่กล้าสบตาคนทั้งสองอีก

“เจ้าอย่าได้คิดไปเรื่อย ความหมายของข้าคือเขามีเรื่องอีกมาก เรื่องที่เราต้องกังวลใจก็มีไม่น้อย แต่ก็มิสามารถไปรั้งขาของเขาเอาไว้ได้”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย แม้ความจริงแล้วเป็นตนเองที่คิดเลยเถิด ดูเหมือนว่าหลังจากที่กลับไปแล้วจะต้องอ่านตำราอบรมสตรีอีกสักครา

“อือ… !” เสียงของนางแผ่วเบาราวกับแมลง และได้เอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “กล่าวได้ว่า พี่สาวไร้ข้อขัดแย้งเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”

ต่งชูหลานจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ลอบถอนหายใจ บุรุษที่ดีเยี่ยงนี้สตรีใดจะไม่หลงกัน กล่าวไปแล้วเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็มิเลว หากฟู่เสี่ยวกวนได้รับการหนุนหลังจากตระกูลเยี่ยน เส้นทางในภายภาคหน้าของเขาก็ย่อมดีขึ้น

“ขอกล่าวกับเจ้าอย่างไม่ปิดบัง ข้าย่อมมิสมัครใจที่จะให้มีคนเข้ามาแบ่งปันกับข้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง แต่ในวันนี้เจ้าได้ช่วยชีวิตเขาไว้ บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตา ข้านั้นมิมีปัญหาอันใด รอจนเจ้าหายดีแล้วข้าจะนัดให้เวิ่นหวินออกมา พวกเราทั้งสามมาดื่มชาด้วยกัน สบายใจได้ ข้าจะช่วยเจ้า เวิ่นหวินก็คงจะใจอ่อนเช่นกัน หากรู้ว่าเจ้าได้ช่วยเขาเอาไว้ คิดว่านางคงมิมีข้อขัดแย้งอันใด สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าตอนนี้คือพักฟื้นให้หายดีเสียก่อน หนทางในอนาคตยังอีกยาวไกล พวกเราต้องร่วมเดินทางไปด้วยกัน”

“เสี่ยวโหลวขอบคุณพี่สาวเจ้าค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย นี่คือเรื่องของข้า คาดไม่ถึงว่าจะมิมีผู้ใดถามตนสักคำ !

เขาถูกเมินเฉยไปทั้งอย่างนั้น และหญิงสาวทั้งสองคนก็ตัดสินเรื่องใหญ่ด้วยกันเพียงลำพังไปทั้งอย่างนั้นเช่นกัน

เขาย่อมไม่ปฏิเสธเยี่ยนเสี่ยวโหลว ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งแล้ว หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์อย่างมากมายมากับสาวงามแล้วหากเขายังมิรู้สึก นั่นก็ราวกับว่าเป็นการเสแสร้งมิใช่รึ มิเหมือนกับสัตว์ร้ายพรรค์นั้น !

เมื่อนำเยี่ยนเสี่ยวโหลวมาส่งจวนเยี่ยน ฟู่เสี่ยวกวนก็มิทราบว่าเหตุใดจนถึงป่านนี้เยี่ยนเป่ยซีและเยี่ยนซือเต้าจึงยังไม่กลับจวน พวกเขาออกจากจวนเยี่ยน และมิได้ตรงกลับไปยังจวนฟู่ แต่กลับไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง

ผู้คนที่ล้อมรอบด้านนอกของจวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้แยกย้ายออกไปนานแล้ว ด้านนอกในตอนนี้เหลือเพียงแต่ความยุ่งเหยิง

ประตูจวนผู้ว่ายังมิปิด ไฟด้านในก็ยังคงสว่างโร่อยู่ ผู้เฝ้าประตูทางด้านหน้าในมือถือคบเพลิงและยังคงยืนเฝ้าระวังอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกลงจากรถม้า มองไปยังพื้นที่แดงฉาน คาดว่าเรื่องที่ตนสร้างขึ้นมานั้นได้สร้างความลำบากให้กับหนิงหยู่ชุนไม่น้อยเลยทีเดียว เขาจึงอดที่จะหัวเราะไม่ได้

“เจ้าหัวเราะอันใดกัน ? ”

“พวกเจ้าลองดู บนพื้นมิเพียงมีโคมไฟที่แตก ทั้งยังมีไข่ไก่ ขนมปิ้ง ขวดสุรา รองเท้าอย่างมากมาย มีแม้กระทั่ง…นี่มันเกินไปแล้ว คาดมิถึงว่าจะเป็นกางเกงใน ! ถือว่าสวยงามอย่างยิ่ง !”

ต่งชูหลานหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าแดงก่ำ และก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็กระซิบถามข้างใบหูของต่งชูหลาน “เจ้าลองเดาดูสิว่าเจ้าของกางเกงในตัวนี้เป็นผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำกัน ? ”

ต่งชูหลานหันหน้าหนี กัดริมฝีปาก ตาเรียวเลิกขึ้น “หัวของเจ้านี่นะ…เหตุใดจึงคิดได้แต่เรื่องนี้กัน ไร้สาระเสียจริง ! ”

“ข้าว่าเป็นผู้กระทำ” ฟู่เสี่ยวกวนยืนตัวตรงและหัวเราะเสียงดังลั่น “ไปเถอะ พวกเราเข้าไปดูผู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่กันเสียหน่อย !”

…..

ซูซูยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ จนกระทั่งฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานเข้าจวนไปแล้ว จึงได้หันหน้ามามองซูโหรว และเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่สาม เขาใช้สิ่งใดมาตัดสินกันว่าสตรีนางนั้นคือผู้กระทำ ? ”

“…..”

ซูโหรวชำเลืองมองซูซู หากปล่อยให้เด็กคนนี้อยู่กับฟู่เสี่ยวกวนนานเกินไป ได้ถูกคนผู้นี้พาเสียคนไปในไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่ !

“ศิษย์พี่สาม ท่านยังมิได้ตอบข้า”

“เพราะกางเกงในตัวนั้นยังไม่ขาด”

“โอ้…” ซูซูพยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

…..

หลังจวนผู้ว่าเขต

หนิงหยู่ชุนและฮั่วหวยจิ่นนั่งประจันหน้ากัน

บนโต๊ะไม่มีแม้แต่เม็ดถั่ว มีเพียงสุรา 2 ขวด แล้วจอกสุรา 2 ใบ

“เฮ้อ… เรื่องวุ่นวายนี่ บัดนี้นี้ยุ่งยากยิ่งนัก น้องฮั่วเอ๋ย อัญเชิญเทพเป็นเรื่องง่ายแต่ยากที่จะส่งกลับ ข้าในตอนนี้มิรู้จะทำเช่นไรแล้ว”

“เจ้าจะคิดมากไปทำไมกัน ? เรื่องของอดีตนายพลสูงสุด มิใช่เรื่องที่ผู้ว่าเขตเยี่ยงเจ้าจะไต่สวนได้ ทันทีที่ท้องฟ้าสว่างกรมขุนนางจะมานำตัวเขาไป”

“อือ… ! ” หนิงหยู่ชุนรินสุราหนึ่งจอก และชนจอกกับฮั่วหวยจิ่น ทันทีที่แตะโดนปาก ก็กลับกล่าวออกมาว่า “ที่ข้าเป็นกังวลก็คือ กรมขุนนางจะมิกล่าวอันใดและปกปิดเรื่องนี้ไว้”

ในตอนที่ฮั่วหวยจิ่นกำลังจะถามว่าเพราะเหตุใด ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางประตูอย่างไม่คาดคิด “การคาดการณ์ของท่านขุนนางหนิงมิเลวเสียทีเดียว…” ผู้ที่มาตามเสียงนั้นคือฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลาน พวกเขาเดินเข้ามาในเรือนและนั่งลง

“มิใช่ว่า ท่านเป็นถึงผู้ว่าเขตจินหลิงที่สง่าผ่าเผย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเลยรึ ? ”

“กับผีสิ ข้าเพิ่งจะว่างเท่านั้นเอง ! ”

“โอ้” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปกล่าวกับต่งชูหลาน “ชูหลาน เจ้าให้ซูซูไปสั่งซื้อสำรับอาหารหนึ่งโต๊ะที่หอซื่อฟางให้มาส่งที่นี่ และให้ส่งซีชานเทียนฉุนมาด้วยหนึ่งลัง”

“เกรงว่าหอซื่อฟางจะปิดร้านแล้ว”

“มิเป็นไร ซูซูมีหนทางให้หอซื่อฟางเปิดประตู”

ต่งชูหลานเดินออกไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง หนิงหยู่ชุนนำจอกออกมาสองสามใบ และหยิบขวดสุราขึ้นมาอีกหนึ่ง และส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน

“เจ้าได้ออกชูโรงที่หลานถิงจี๋ ค่ำคืนนี้ท้องของข้าและฮั่วหวยจิ่นได้เพียงแต่กลืนลมหนาวเข้าไป ดังนั้นการได้ทานสำรับอาหารของเจ้าก็คงจะมิใช่เรื่องเกินจริงอันใด”

ฮั่วหวยจิ่นเองก็หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน คนผู้นี้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !

บทกวีโต๊ะหยกนั้นพวกเขาก็รู้จักกันดี ทันทีที่หนิงหยู่ชุนได้อ่านบทกวี ‘ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว’ ก็มั่นใจได้ว่ากวีบทนี้จะต้องได้ลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือ และย่อมล้มบทกวีโต๊ะหยกของเหวินสิงโจวไปได้อย่างแน่นอน และข่าวคราวที่ตามมาก็เป็นจริงดังนั้น ไม่เพียงแต่บทกวี ‘ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว’ บทนั้นที่ได้ขึ้นเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือของเทศกาลโคมไฟ แม้แต่บทความ ‘เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว’ ของเขาก็ได้ขึ้นเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือในหมวดบทร้อยแก้วเช่นกัน

ดังนั้น คนผู้นี้น่าจะเป็นนักวรรณกรรม !

อีกทั้งเมื่อไม่กี่วันก่อนคนผู้นี้ก็ยังได้ต่อสู้กับกองทัพทหารของฮุ่ยชินอ๋องที่ถนนเส้นยาวสิบลี้นั่นอีก

“พี่ฟู่ ในตอนนี้ข้ามิเข้าใจท่านเสียจริง ได้ยินมาว่าค่ำนี้ท่านได้ถูกโจมตีมาอีกครา แต่เห็นท่านในตอนนี้ที่ดูสดใสร่าเริงคาดว่าท่านคงไร้อันตรายอันใดแล้ว มามามา พวกเรามาดื่มกันเถิด” ฮั่วหวยจิ่นยกจอก ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าและชนจอกดื่มกันสองคน

“ได้ไต่สวนคนเหล่านั้นแล้วรึ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม

“เจ้าจะรีบทำบ้าอันใดกัน ให้ข้าได้พักหายใจบ้างเถอะ”

“ข้ามิได้จะสื่อเยี่ยงนั้น” ฟู่เสี่ยวกวนก็รินสุราอีกครา “มามามา ให้หมดอีกแก้ว ความหมายของข้าคือยามที่ท่านจะไต่สวนช่วยแจ้งกับข้าเสียหน่อย อย่างไรแล้วพวกเขาก็มาเพื่อสังหารข้า ข้าเองก็ควรจะรับรู้อะไรบ้าง”

หนิงหยู่ชุนไม่ได้ตอบอันใดฟู่เสี่ยวกวนอีก “มามามา ดื่มสุราเถิด มิคุยเรื่องราชการแล้ว”

หากไม่พูดคุยเรื่องงานราชการทั้งสามก็มิทราบว่าควรจะพูดคุยอันใด ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด และกล่าวกับฮั่วหวยจิ่นว่า “ช่วงข้ามปีเจ้าก็มิได้กลับรึ ? ”

“คงทำได้แค่ฝัน ช่วงข้ามปีเป็นเวลาที่ทหารรักษาการณ์ยุ่งที่สุด”

ฮั่วหวยจิ่นเห็นสีหน้างุนงงของฟู่เสี่ยวกวน จึงอธิบายเสริมว่า “เพื่อความปลอดภัย ทหารรักษาการณ์นับแสนต้องผลัดกันตระเวนไปทั่วเมือง ภายในเมืองมีทหารรักษาการณ์ 30,000 นาย ทุกวันต้องส่งคนออกไปอย่างน้อย 5,000 นาย แยกกันไปสำรวจตามถนนตามตรอกของจินหลิง 10 กลุ่ม และทหารรักษาการณ์ด้านนอกเมือง 70,000 นาย อย่างน้อยก็ต้องส่งออกไปถึง 10,000 นาย แบ่งสำรวจรอบเมืองไป 2 ทาง และทหารรักษาการณ์ที่ประจำประตูเมืองก็ต้องส่งคนไปเพิ่มถึง 3 เท่า เจ้าลองใคร่ครวญดูเถิด ข้าจะเดินจนทั่วได้เยี่ยงไร”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกแปลกประหลาด และหันมองหนิงหยู่ชุน “เยี่ยงนั้น ศาลาว่าการฝั่งเหนือและใต้ของเจ้ามีไว้เพื่อกระทำการใดกัน ? ”

“กล่าวไปแล้วเจ้าในตอนนี้ก็เป็นเจี้ยนอี้ต้าฟูของเสมียนกลาง เจ้าได้เป็นขุนนางอย่างสบายใจ ศาลาว่าการฝ่ายเหนือและใต้รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของบ้านเมือง แต่ทหารรักษาการณ์ของหวยจิ่นรับผิดชอบการก่อกบฏ อย่างในค่ำนี้ หากฝ่าบาทแถลงราชโองการมา ก็สามารถกำหนดได้ว่าเป็นกบฏ”

กล่าวจบ สีหน้าของหนิงหยู่ชุนก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดัน “หากข้าได้ทราบว่าใครเป็นผู้เผยแพร่ใบประกาศแมลงเม่านี่ ข้าจะให้เขาได้ลิ้มลองโทษที่มีทั้งหมดในคุกนี้สักคราเป็นแน่ ! ”

แม้ฟู่เสี่ยวกวนก็มิกล้าออกเสียง ได้แต่กลืนน้ำลายหนึ่งอึก รู้สึกขนลุกขนพองเล็กน้อย