ตอนที่ 232 มัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย (2)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 232 มัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย (2)

หากจะให้เอ่ยคงยืดยาว แต่การต่อสู้ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นกะทันหันยิ่ง พวกที่มามุงดูต่างก็ได้สติขึ้นหลังจากที่เห็นเยี่ยนเสี่ยวโหลวถูกทำร้าย จากนั้นก็พากันส่งเสียงตะโกนร้อง เสียงโลหะกระทบกันไปมา มีคนล้มลง เลือดสาดกระเซ็น ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ตกใจส่งเสียงกรีดร้องออกมา นอกจากซั่งกวนเหมี่ยวแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

ซั่งกวนเหมี่ยวคว้าดาบที่เอวออกมา มองดูสภาพร่างไร้วิญญาณที่พื้นอีกทั้งศีรษะคนที่กลิ้งไปมา กระเพาะของเขารู้สึกปวดด้วยความเกร็ง แต่ก็ถูกเขาระงับความปวดนั้นเอาไว้

หัวใจของเขาเต้นโครมคราม มือที่ถือดาบเล่มยาวสั่นคลอน เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ตนสงบลง แต่กลับพบว่าเมื่อเขาเห็นเลือดสีแดงสดที่กระจายอยู่ตรงหน้านี้ ทุกสิ่งอย่างที่ตั้งใจไว้ก็ดูไร้ความหมายยิ่ง

“กินลงไป!” ฟู่เสี่ยวกวนยื่นยาลูกกลอนให้แก่เขาเม็ดหนึ่ง เขามิได้ลังเลแต่กลับกลืนลงไปทันที จากนั้นหันหน้าไปทางสามคนนั้นใช้ผ้าคาดปิดจมูกจากนั้นหยิบดาบขึ้นมาอีกคราแล้วพุ่งเข้าไป

ซูซูวางมือลงบนฉิน แต่มิได้ดีดออกมา เนื่องจากมีคนผู้หนึ่งกำลังบินลงมาจากชั้นบรรยากาศ

ซูซูขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ นางจ้องไปยังคนผู้นั้นแล้วปล่อยสายฉิน

ตายแล้ว!

นี่คือความคิดของซูซู

ศิษย์พี่ใหญ่มิอยู่ที่นี่ นางและศิษย์พี่สามแค่ 2 คนคาดว่าจะสู้กับชายชราผู้นี้มิได้

นางจะหนีไปดีหรือไม่?

ด้วยความสามารถของซูซู หากนางจะหนีคิดว่าคงหนีพ้น แต่ชายชราผู้นี้มีจุดประสงค์คือต้องการชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่

ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าหากรู้ตัวว่ามิอาจสู้กับศัตรูได้ให้รีบหนี บรรดาพวกกล้าหาญไม่รู้เป็นรู้ตายมักอายุสั้น มองจากภายนอกอาจแข็งแกร่งความจริงแล้วไม่ต่างจากคนโง่!

เช่นนั้น…จะหนีดีหรือไม่?

หากตนหนีไป ฟู่เสี่ยวกวนคงมิใช่คู่ต่อสู้ของชายชราผู้นั้น

นางกินปิงถังหูลู่ของเขาไปตั้งมากมาย ขนมที่ร้านอู่เว่ยจายที่สัญญาไว้ เขายังมิได้ซื้อให้นางเลย หากหนีไปตอนนี้เกรงว่าจะมิสมเหตุสมผล และยังขาดทุนอีกด้วย

ยังมิไปก็ได้ อยู่ต่อสู้เสียหน่อยแล้วกัน !

เมื่อคิดได้ดังนั้นก็คลายความกังวลลง พลังภายในถูกจุดออกมา มือของนางขาวขึ้นเรื่อย ๆ ขาวสว่างกว่าแสงจันทร์เสียอีก

สีหน้าของนางเหมือนขาดเลือด ขาวซีดเผือดคล้ายกระดาษ

นางมีโอกาสโจมตีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!

ชายชรามองมายังซูซู มือของนางโบกเบา ๆ แสงจันทร์รอบข้างส่องมายังซูซู มือของนางที่ขาวซีดเริ่มจางลง สีหน้ากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นางดีดสายฉินออกไป คล้ายกับดาบไร้เงาที่พวยพุ่งออกไป มีเพียงไม่กี่เสียง คล้ายกับเสียงของสายน้ำธรรมชาติที่กำลังไหล

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องไปยังชายชราผู้นั้น เขาเป็นขันที!

“ข้าน้อยแซ่เวย อาศัย ณ เขาจื่อจิน”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง เขาได้เผลอกำมือของตนไว้แน่น

“ไทเฮาทรงมีรับสั่งต้องการชมกวีที่ท่านแต่งในเทศกาลโคมไฟนี้ จึงได้ส่งข้าน้อยมา มิทราบว่าคุณชายประพันธ์เสร็จแล้วหรือไม่ ? ”

ทั้งสามทำท่าจะลุกจากไป ขันทีเว่ยสะบัดมือ ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเข็มเล่มเล็ก ๆ ลอยออกไป 3 เล่ม จากนั้นทั้งสามก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับร้องโหยหวนออกมา

“ยังมิเสร็จ”

“เช่นนั้นก็จงประพันธ์ต่อ ไทเฮาทรงรออยู่”

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังมามองดูซูซู แล้วเอ่ยว่า “จงกุมตัวพวกเขาเอาไว้ก่อน ทำลายวรยุทธ์ของพวกเขาเสีย ประเดี๋ยวข้าจะมาไต่สวนด้วยตนเอง”

ซูซูเบ้ปากไม่สนใจ ซั่งกวนเหมี่ยวจึงก้าวออกไปอย่างกล้าหาญ

ฟู่เสี่ยวกวนทำไม้ทำมือไปทางขันทีเว่ย “ข้าจะไปเขียนต่อบัดนี้ ! ”

“เมื่อสักครู่เพิ่งจะทำการต่อสู้ มีผลต่อจิตใจของคุณชายหรือไม่? อย่าได้เขียนแบบส่งเดช”

“มิต้องกังวล”

ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ เดินมายังห้องอักษรนอกหลานถิงจี๋ ซั่งกวนเหมี่ยวเดินออกมาพอดี เดิมทีเขารู้สึกเสียดายคาดว่างานกวีเทศกาลโคมไฟนี้คงจบแล้ว แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะลงมือเขียนกวี

เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะฝนหมึกให้ท่านเอง คุณชายพักผ่อนสักประเดี๋ยวก่อนเถิด”

ขันทีเว่ยที่อยู่ด้านหลัง ใช้สายตาคู่นั้นจ้องมายังฟู่เสี่ยวกวน สีหน้าสงบราวกับน้ำนิ่ง หาได้มีผู้ใดรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่

เขาหันมามองซูซูที่เดินตรงเข้ามาแล้วเอ่ยทักทายว่า “ท่านอาจารย์ของเจ้าสบายดีหรือไม่?”

“สบายดี ท่านรู้จักเขาด้วยรึ?”

“เมื่อสามสิบปีก่อนเคยพบกันครั้งหนึ่ง”

จากนั้น…

ทั้งสองคนจบการสนทนาเพียงเท่านี้

ฟู่เสี่ยวกวนจับพู่กัน เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์แล้วก้มหน้าลงมือเขียน

“ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว”

ชางกวนเหวินซิ่วตกตะลึงเล็กน้อย เขานึกย้อนไปที่ไท่เหอปีที่ยี่สิบ ท่านเหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู่เคยได้ประพันธ์บทกวี ชิงหยู่หว่าน เทศกาลโคมไฟ ไว้ ณ หลานถิงจี๋นี้ กวีบทนั้นจารึกไว้ ณ หินเชียนเปยสือกวีเทศกาลโคมไฟในบรรทัดที่หนึ่ง ค่ำคืนนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็จะเขียนกวีชิงหยู่หว่านเพื่อประลองงั้นรึ?

เขาเองกังวลใจไม่น้อย เนื่องจากหลายปีมานี้ ผู้คนในราชวงศ์หยูมิมีผู้ใดไม่รู้จักกวีบทนั้น!

ฟู่เสี่ยวกวนจะทำได้หรือไม่?

ในขณะเดียวกัน ต่งชูหลานและฉินปิ่งจงและคนอื่น ๆ ก็พากันเดินเข้ามา เมื่อเห็นฉากตรงหน้า พวกเขาก็พากันเข้ามารุมล้อมเพื่อรอชมกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์

“ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว !”

เขาจะประลองกับเหวินสิงโจว!

ขันทีเว่ยก็รู้สึกประหลาดใจยิ่ง เขารู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียง ตนเคยได้อ่านหนังสือความฝันในหอแดงเล่มนั้น และรู้จักกวีทำนองเพลงสายน้ำ ชายหนุ่มผู้มากความสามารถของราชวงศ์หยูคนนี้ จะสามารถสู้กับเหวินสิงโจวได้หรือไม่?

จากนั้นเขาถึงกับขมวดคิ้วหน้ามุ่ย ตัวอักษรนี้…หากเปรียบเทียบกับเหวินสิงโจวแล้ว ราวหิ่งห้อยกับดวงจันทร์ !

เขาผิดหวังยิ่ง ในใจเขาคิดว่าชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่วนั้นคงจะเอ่ยกันเกินจริง

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดลงชั่วครู่ จากนั้นลงมือเขียนต่อไปโดยมิได้หยุดคิดอีก!

ลมบูรพาพัดพันโคมบุปผา

โรยร่วงก้านกลีบมาดุจสายฝน

ควบอาชารถม้าหอมพร้อมสุคนธ์

บรรเลงดนตรีกระจ่างกลางจันทร์เพ็ญ”

ชางกวนเหวินซิ่วตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขากำมือแน่น

ฉินปิ่งจงลูบคลำหนวดเคราของเขา ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับอ้าปากค้าง

ต่งชูหลานก็เช่นกัน นางกุมมือขึ้นปิดปาก ดวงตาอันงามงดยิ้มจนคล้ายกับจันทร์ครึ่งเสี้ยว

สายตาของฉินเหวินเจ๋อคล้ายกับถูกตะปูปักไว้บนกระดาษ เขามิอาจละสายตาไปจากที่นั่นได้เลย

ซูซูมิเข้าใจเท่าไรนัก นางเอนศีรษะมอง คล้ายกับให้ความสนใจ

ส่วนขันทีเว่ยต่างไปจากผู้อื่น เขามองไปยังกระดาษใบนั้นอีกครา ในใจก็รู้สึกได้ถึงคลื่นลูกใหญ่

บัดนี้ ช่างเงียบสงบไร้ซึ่งเสียงใด ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนทำเหมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาลงมือเขียนต่อ

เมื่อมัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย แสงโคมทองส่องฉายลวดลายเห็น

ชุดปักดิ้นทองเหลื่อมเลื่อมลายเป็น ทิ้งกลิ่นหวานซ่านกระเซ็นอยู่ริมทาง

ในหมู่ชนหนใดใฝ่หวนหา พันร้อยครั้งตั้งตาค้นหาร่าง

นวลนารีมิพบหลบอำพราง จนพบนางแล้วโคมฉายคล้ายหม่นมัว”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับต่อหน้าทุกคน

ชางกวนเหวินซิ่วรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาทั้งดีใจทั้งมิอยากเชื่อสายตาของตน เขารับรู้ได้จากก้นบึ้งของหัวใจว่ากวีบทใหม่กำเนิดขึ้นแล้ว!

กวีบทนี้สามารถทำให้กวีของเหวินสิงโจวลดตำแหน่งลงมาได้!

ยอดเยี่ยม งดงามยิ่ง!

ข้าช่างมีบุญเสียจริง ที่ได้พบเห็นกวีชั้นยอดนี้ด้วยตาของตนเอง!

สีหน้าแววตาของฉินปิ่งจงมิได้แตกต่างจากชางกวนเหวินซิ่วเท่าใดนัก เขายิ้มอย่างพอใจพลางลูบไปที่เครายาว เขาคล้ายกับได้ย้อนกลับไปในวัยหนุ่ม

ลมบูรพาพัดพันโคมบุปผา

โรยร่วงก้านกลีบมาดุจสายฝน

ควบอาชารถม้าหอมพร้อมสุคนธ์

บรรเลงดนตรีกระจ่างกลางจันทร์เพ็ญ

เมื่อมัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย แสงโคมทองส่องฉายลวดลายเห็น

ชุดปักดิ้นทองเหลื่อมเลื่อมลายเป็น ทิ้งกลิ่นหวานซ่านกระเซ็นอยู่ริมทาง

ในหมู่ชนหนใดใฝ่หวนหา พันร้อยครั้งตั้งตาค้นหาร่าง

นวลนารีมิพบหลบอำพราง จนพบนางแล้วโคมฉายคล้ายหม่นมัว”

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเสียจริง! ราชวงศ์หยูเป็นบุญยิ่ง! ข้า ฉินปิ่งจง ก็มีบุญเช่นกันที่ได้อ่านกวีที่งดงามถึงเพียงนี้…แม้นตายไปข้าก็มิเสียดายชีวิตนี้แล้ว!”

ฉินปิ่งจงตะโกนโห่ร้องดังลั่น ทำให้บรรดาลูกศิษย์จำนวนมากเข้ามามุงดู

เยี่ยนเสี่ยวโหลวที่นอนอยู่ชั้นสาม เมื่อได้ยินเสียงก็ทำท่าจะลุกขึ้นไปดู แต่กลับถูกซูโหรวเอ่ยห้ามว่า “อย่าขยับ ! บาดแผลเพิ่งใส่ยาปิดสนิท เจ้าควรนอนพักผ่อนเสียก่อน”

“ข้ามิเป็นไรแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนต้องประพันธ์กวีที่ยอดเยี่ยมออกมาเป็นแน่ ข้าต้องไปดู!”

นางคล้ายกับลืมความเจ็บปวดที่หลังไปชั่วขณะ นางลุกขึ้นมา จากนั้นเดินไปพิงกำแพงเพื่อที่จะตามไปยังต้นเสียง

ซูโหรวถอนหายใจแล้วส่ายหัว ชายหนุ่มผู้นั้นจะทำให้สตรีอีกกี่นางที่จะต้องเจ็บช้ำใจกัน!

ซูโหรวช่วยพยุงนางไป เยี่ยนเสี่ยวโหลวเดินมาถึงด้านนอกหอหลานถิง นางมองดูกวีบทนั้นแล้วไม่ขยับเขยื้อนอันใด

พันร้อยครั้งตั้งตาค้นหาร่าง นวลนารีมิพบหลบอำพราง จนพบนางแล้วโคมฉายคล้ายหม่นมัว!

เขาประพันธ์ให้ผู้ใดกัน?

คาดว่าคงเป็นต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน

พวกนาง…ช่างโชคดีเสียจริง!

ข้า ข้า…เหตุใดข้าจึงได้ช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ?

น้ำตาของนางไหลรินลงมาเปียกปอนไปที่กระดาษนั้น ทำให้หมึกจางเป็นวง ขันทีเว่ยรีบคว้ากระดาษมาไว้ในมือ “ข้าขอตัวกลับวังก่อน”

เขาเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน “เจ้า ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

เขาหันไปมองซูซูแล้วเอ่ยว่า “ฉินดาบนั้น คือการใช้อารมณ์ความรู้สึกในการบรรเลงให้เป็นดาบ เจ้าหาได้มีความรู้สึกไม่ เยี่ยงนั้นจะสามารถยื่นดาบออกมาได้เยี่ยงไร!”

เขากล่าวจบก็ลอยตัวหายไปท่ามกลางแสงจันทร์

ชางกวนเหวินซิ่วตะลึงยิ่ง เขาตะโกนไล่หลังว่า “เจ้าขันทีชรา คืนกวีของข้ามา!”

ฉินปิ่งจงเดินมายังโต๊ะ จากนั้นหยิบพู่กันขึ้น เขาคัดลอกบทกลอนนั้นลงไป

“ท่านชางกวน กวีนี้ข้าจำได้ขึ้นใจ ต่อให้เขานำไปก็ไร้กังวล”

“ถ้าเช่นนั้นต่อจากนี้…?”

“เชิญพวกท่านไปยังชั้นสองเถิด”

“อืม!”

……

“นางต้องพักผ่อน” ซูโหรวเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ท่าทางอ่อนโรยแล้วรู้สึกสงสาร เขาเดินเข้ามาใกล้เยี่ยนเสี่ยวโหลว จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดไปยังน้ำตาบนใบหน้านาง ในใจเขาคิดว่ากางเกงชั้นในของนางตัวนั้นยังอยู่ที่ห้องของเขา เขาจะคืนมันให้กับนางดีหรือไม่?

เยี่ยนเสี่ยวโหลวมิรู้ถึงความคิดของฟู่เสี่ยวกวน นางดีใจยิ่งเนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนเช็ดน้ำตาให้นาง

“เจ้าเด็กโง่…!”

ณ หอหลานถิงชั้นสาม

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอนกายลงอย่างเชื่อฟัง ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ข้างกายของเธอ

แน่นอนว่ายังมีต่งชูหลาน ซูซูและซูโหรวด้วย

บัดนี้ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเท่านั้น

เขากล่าวว่าข้าเป็นเด็กโง่ ข้ามิได้โง่สักหน่อย เพียงแต่ตอนนั้นเรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ข้าไม่มีเวลาไปคิดไตร่ตรอง

ต่งชูหลานกุมมือเยี่ยนเสี่ยวโหลวไว้ นางตบลงเบา ๆ แต่มิได้เอ่ยอันใดออกมา เมื่อนางรู้ว่าเยี่ยนเสี่ยวโหลวเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยฟู่เสี่ยวกวน สิ่งนี้ก็เพียงพอสำหรับคำตอบใด ๆ แล้ว

ด้านซูซูกำลังนั่งครุ่นคิดถึงคำพูดของขันทีเว่ยที่ว่า “เจ้าหาได้มีความรู้สึกไม่ จะสามารถยื่นดาบออกมาได้เยี่ยงไร!

มิใช่ว่าข้าปล่อยดาบออกไปแล้วรึ?

ท่านอาจารย์ยังมิเคยกล่าวเช่นนี้เลยนี่?

หรือเขาผู้นี้จะเข้าใจเรื่องฉินดาบด้วย?

แต่ซูโหรวเข้าใจในความหมายนั้นดี การที่ท่านอาจารย์ปล่อยซูซูออกมายังโลกแห่งนี้ คาดว่าคงต้องการให้นางออกมาตามหาความรู้สึก เพื่อปลดปล่อยพลังของฉินดาบนั่นด้วยตัวของนางเอง

ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ อยู่ที่หน้าประตูหอหลานถิง เนื่องจากกวีของฟู่เสี่ยวกวนที่แพร่กระจายไป บรรดาผู้คนที่จะไปเรียกร้องความยุติธรรมเรื่องเฟ่ยอัน ก็ได้มารวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ พวกเขาคล้ายกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้คือเทศกาลโคมไฟ การที่พวกเขาเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อประพันธ์กวี

แต่เมื่อพวกเขาได้ยินกวีชิงหยู่หว่านของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว พวกเขาก็พากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดเดินไปยังโต๊ะเพื่อประพันธ์กวีอีกเลยแม้แต่คนเดียว

จะให้พวกเขาประพันธ์ไปเพื่ออะไรเล่า?

ยังมีผู้ใดเขียนได้ยอดเยี่ยมกว่าเขาอีกงั้นรึ!

“ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเขาคือผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านี้!”

“ดังนั้นเขาจึงได้กดทับกวีของเหวินสิงโจวลงไป”

“ดังนั้นที่ว่าเมื่อมัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย ก็เป็นเฉกเช่นค่ำคืนนี้…!”