ตอนที่ 231 มัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย (1)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 231 มัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย (1)

ถนนเส้นยาวสิบลี้ ได้มีชายหนุ่มยืนอยู่ตรงใจกลางของถนน

หยูเวิ่นเต้าที่แบกกระบี่ยาวไว้ที่หลังยังคงยืนอยู่ตรงกลางถนน สายลมของฤดูใบไม้ผลิยังคงอยู่ เหล่าพรรณไม้มองดูแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นยิ่ง

แต่คนบนถนนเส้นยาวนั้นมีไม่มาก หยูเวิ่นเต้าทราบได้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะไปจวนผู้ว่าเขตจินหลิงแล้ว

จวนผู้ว่าเขตจินหลิงมีฮั่วหวยจิ่นเป็นผู้นำของทหารรักษาการณ์ เขามิสามารถคาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น ดังนั้นคำสั่งที่เขาได้รับมาก็คือการตรวจตราทั่วเมือง คนของหอชิงเฟิงทั้งหมดก็ได้เคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน !

หงจวงนั่งอยู่บนหลังคาข้าง ๆ เขา กระบี่ยาวพาดอยู่บนขา และมองไปรอบด้านด้วยสายตาระมัดระวัง

หยูเวิ่นเต้าเดินไปทางร้านอู่เว่ยจาย เจียงหยูกำลังปิดร้าน นางอยากจะไปชมความสนุกสนานที่จวนของผู้ว่าเขตจินหลิง

เยี่ยงไรแล้วเรื่องที่เกี่ยวกับความลับของนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออก ก็ไม่ทราบว่าผู้ว่าเขตจินหลิงผู้นั้นจะกล้าจับเขาหรือไม่

“ขนมกลีบดอกกุ้ยฮวาครึ่งชั่ง” หยูเวิ่นเต้าเอ่ยกล่าว

“คุณลูกค้ามาได้จังหวะพอดี หากมาช้ากว่านี้อีกเล็กน้อย ก็มิมีเหลือแล้ว”

“…กิจการของแม่นางมิเลวเลย”

“อือ ก็พอได้เจ้าค่ะ พอดีวันนี้ข้าต้องการไปชมความสนุกสนาน”

เจียงหยูนำขนมกลีบดอกกุ้ยฮวาใส่ลงถุงกระดาษอย่างว่องไวและส่งให้กับหยูเวิ่นเต้า หยูเวิ่นเต้าจึงเอ่ยถามขึ้นมา “จะไปชมความสนุกที่ใดกัน ?”

“จะไปดูที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิง แล้วจากนั้นค่อยไปหลานถิงจี๋… คาดว่างานกวีของหลานถิงจี๋น่าจะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะไปดูคุณชายฟู่ประพันธ์กวีเสียหน่อย”

หยูเวิ่นเต้าหัวเราะขึ้นมา “น่าจะมิได้แล้ว ข้าเพิ่งจะข้ามมาจากทางนั้น จวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้ถูกทหารรักษาการณ์ปิดเฝ้าระวังไว้แล้ว เรือบนน่านน้ำทะเลสาบเว่ยยาง ก็ได้ถูกสั่งห้ามมิให้เดินเรือแล้ว ดังนั้น เจ้ามิไปเสียจะดีกว่า”

“หะ… ! ” เจียงหยูตกใจอยู่เล็กน้อย “ข้าขอถามคุณชาย เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นรึ ? ”

หยูเวิ่นเต้าหันหลังจากไป และทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “เรื่องวุ่นวายเล็กน้อย”

ทันทีที่หยูเวิ่นเต้ากล่าวจบ ทันใดนั้นหงจวงที่อยู่บนหลังคาก็ได้ยืนขึ้น หลังจากนั้นก็กระโจนออกไป หยูเวิ่นเต้าเงยหน้าขึ้นไปมอง ทางตะวันตกของถนนเส้นยาวก็ได้มีเปลวไฟทะยานขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

ดวงตาของเขาจ้องเขม็ง ขยับฝีเท้า และหายไปจากประตูหน้าร้านอู่เว่ยจาย

เจียงหยูวิ่งออกมา มองไปตามเปลวไฟ ก็พึมพำขึ้นมาว่า “สวรรค์ มีคนจงใจสร้างความโกลาหล ! ”

หลังจากนั้นนางก็พบเห็นว่ามีคนทะยานขึ้นจากใจกลางเปลวเพลิง มีประกายของดาบแสงของกระบี่ส่องประกายขึ้นมา นางรีบหันกลับไปยังร้านอู่เว่ยจาย ปิดประตูลง และหยุดความคิดที่จะออกไปเสีย

กระบี่ยาวของหงจวงทะยานบิน ฝ่ายตรงข้ามคือชายฉกรรจ์ที่ถือดาบไว้ วิถีดาบดุร้ายและดุดัน เดินบนเส้นทางที่รุนแรง

นักดาบของภูเขาดาบ !

หยูเวิ่นเต้ามิได้ไปสมทบหงจวง เพราะเบื้องหน้าของเขาก็มีคนยืนประจัญหน้าอยู่เช่นกัน เป็นสตรีที่ปิดบังใบหน้า ในมือถือดาบบางไว้อยู่

ทั้งสองสบตากัน ต่อจากนั้นก็เข้าปะทะ คาดมิถึงว่าจะใช้วิถีแห่งกระบี่ของป่ากระบี่

“เจ้าคือใคร ?” หยูเวิ่นเต้าเหวี่ยงกระบี่ของสตรีผู้นั้นออกแล้วเอ่ยถาม

“กฎของป่ากระบี่ ออกมาจากภูเขาแล้วทุกคนต่างเป็นนาย ระวังกระบี่ !”

กระบี่สะบั้นลมใบไม้ผลิ จะเกิดสายพลังไปทั่วสารทิศ ต้นไม้นั้นล้มลง โคมไฟบนนั้นจุดไฟติดกับต้นไม้ ไฟลุกโชนไปตามผืนหินบนถนนเส้นยาว

…..

…..

จันทร์กระจ่างฟ้า ค่ำคืนที่หนาวเหน็บช่างยาวนาน

หลานถิงจี๋ยังคงครึกครื้น แต่ความครึกครื้นนี้ได้ออกห่างจากโคมไฟและบทกวีไปแล้ว บัณฑิตส่วนมากกำลังคุยกันเรื่องราวของเฟ่ยอัน หลังจากนั้นก็พูดคุยกันถึงเรื่องการเมืองของราชวงศ์หยูในปัจจุบัน

แต่ละคนต่างฮึกเหิมและเร่าร้อน แทบอยากจะให้ตนเองได้เป็นอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์เสียเดี๋ยวนี้

เรื่องการพูดถึงทหารจากกระดาษข้อความที่ได้รับเมื่อครู่เป็นสิ่งที่บัณฑิตชื่นชอบ เพราะการพูดนั้นไร้หลักฐาน และมันดูเรียบง่ายมากเกินไป

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจกับคำพูดเหล่านี้ เขาพาคนทั้งกลุ่มมายังริมทะเลสาบเว่ยยาง ทะเลสาบเว่ยยางใต้แสงจันทร์คลื่นทอเป็นประกาย ความมืดที่ห่างไกลราวกับกลืนเป็นแผ่นเดียวกับเส้นขอบฟ้า

เนื่องจากเรือบนน่านน้ำยังไม่ได้ถูกยกเลิกคำสั่ง เขาจึงมิทราบว่าสถานการณ์ของเมืองหลวงในตอนนี้เป็นเยี่ยงไรแล้ว แต่เมื่อนึกถึงการลงมือของคนในราชสำนักเหล่านั้น คาดว่าคงควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เพียงแต่แปลกใจอย่างมากที่ไม่ทราบว่าท้ายที่สุดแล้วเฟ่ยอันได้ถูกจับกุมหรือไม่

ในตอนนั้นเอง กลุ่มบัณฑิตด้านหลังของเขาก็มีคนเจ็ดคนได้ขยับเข้ามาใกล้เขาอย่างเงียบงัน

ยามนั้นเอง เยี่ยนเสี่ยวโหลวและหญิงสาวหนึ่งกลุ่มก็ปรากฏขึ้นมาใกล้เคียงกับพวกเขา

เยี่ยนเสี่ยวโหลวหันมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง นางผละมาจากสตรีกลุ่มนั้น และวิ่งไปทางฟู่เสี่ยวกวน

ในตอนที่คนทั้งเจ็ดกำลังเข้าใกล้ฟู่เสี่ยวกวนทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย พวกเขาต่างก็หยุดลง หลังจากนั้นก็หันสบตากับคนในกลุ่ม ทั้งเจ็ดคนนั้นมิใช่กลุ่มเดียวกัน แต่เป็นคนจากสองกลุ่ม

มี 4 คนหนึ่งกลุ่ม และเป็น 3 คนอีกหนึ่งกลุ่ม

คนทั้งสี่มาจากผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งยี่สิบของเมืองหลวง นอกนั้นอีกสามคนกลับเป็นมือสังหารชาวยุทธที่ชือเฉาหยวนเชิญมา

พลังงานเยี่ยงนั้น ย่อมถูกปล่อยมาจากผู้มีวรยุทธ์ระดับสูงเฉกเช่นพวกเขา แน่นอนว่า ซูซูในยามนี้นางก็รับรู้ได้ ดังนั้นนางจึงวางกล่องฉินลง นั่งลงริมลำธาร วางฉินไว้บนขา สองมือวางลงบนฉินไปโดยปริยาย

การเคลื่อนไหวของนางทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตัวฉับพลัน เขารับรู้ถึงอันตรายที่มาเยือน แต่สำหรับฉินเหวินเจ๋อและบัณฑิตเหล่านั้น พวกเขากลับคิดว่าสาวงามอย่างซูซูต้องการบรรเลงฉินใต้แสงจันทร์

พลังงานจึงหายไปทั้งอย่างนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างมิทราบตัวตนของฝ่ายตรงข้าม ต่างฝ่ายต่างคิดอย่างคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพาผู้ติดตามที่ทรงพลังเยี่ยงนี้มาด้วย ค่อนข้างตึงมือ แต่คำสั่งก็ต้องมาก่อน

เยี่ยงนั้นก็จัดการเขาก่อน !

ในยามที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะลงมือ เยี่ยนเสี่ยวโหลวก็บินถลาเข้ามาราวกับนกนางแอ่น และบังเอิญก้าวผ่านใจกลางของคนสองกลุ่มที่แข็งแกร่งนั่น กระบี่ยกขึ้น ดาบสั้นแทงออก คันธนูกำลังน้าวสาย อีกทั้งยังมีก็มีมีดสั้นที่ทอประกายวิบวับใต้แสงจันทร์

“ระวัง !”

ฟู่เสี่ยวกวนและทุกคนต่างร้องลั่น ทั้งสองฝ่ายลงมือฉับพลันภายใต้เสียงตะโกนนี้ ซูซูคิ้วขมวด และดึงเส้นสายของฉินสองเสียง “เจิ้ง…”

เสียงฉินที่ดังขึ้นสองเสียง ทำให้กระบี่ที่ไร้ลักษณ์ถลาไปในชั่วพริบตา “เช้ง เช้ง” เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นสองครั้ง จนดาบและกระบี่ที่กำลังจะโดนร่างเยี่ยนเสี่ยวโหลวได้กระเด็นออกไปด้วยสองเสียงนั้น ในขณะเดียวกัน ด้ายในมือของซูโหรวก็ได้บินออกไป พันเข้าที่เอวของเยี่ยนเสี่ยวโหลวและออกแรงกระชาก เยี่ยนเสี่ยวโหลวบินเข้ามา ร่วงหล่นลงข้างกายฟู่เสี่ยวกวน เหงื่อเย็นอาบไปทั่วทั้งร่าง

หลังจากนั้นในชั่วขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับการต่อสู้ บัณฑิตที่ยืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนกลับจ้องมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนและแสยะยิ้มเล็กน้อย

“ระวัง ! ” ในยามที่รอยยิ้มน้อยๆ นั้นตกกระทบกับดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลว นางดึงฟู่เสี่ยวกวนแล้วสะบัดตัวเขาไปด้านหลังของนาง บัณฑิตผู้นั้นมิได้เป็นวรยุทธ์ แต่มีดสั้นในมือของเขากลับแหลมคมยิ่งนัก

บัณฑิตผู้นั้นได้แทงมีดสั้นออกไป เขาคาดว่าคนผู้นี้ต้องเป็นฟู่เสี่ยวกวนอย่างแน่นอน !

มีดสั้นได้แทงเข้าไปในร่าง เขารู้สึกถึงแรงขัดขืน จนกระทั่งเขาได้กลิ่นเลือด หลังจากนั้นเลือดก็ได้ไหลอาบมีดสั้นจนไหลมาถึงมือของเขา ในตอนที่เขากำลังจะแทงให้ลึกขึ้น ทันใดนั้นกลับรู้สึกเย็นไปทั่วลำคอ ศีรษะของเขาได้หลุดลอยออกจากลำตัว และได้เห็นแสงจันทร์อย่างพอดิบพอดี

“เสี่ยวโหลว…เสี่ยวโหลว !”

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจอย่างยิ่ง แต่เยี่ยนเสี่ยวโหลวกลับยกยิ้ม

เขากำลังอุ้มนาง ในอ้อมกอดของเขาอบอุ่นเป็นอย่างมาก นางชื่นชอบยิ่งนัก และรู้สึกอยากให้ช่วงเวลานี้ เป็นนิจนิรันดร์ !

“ให้ข้าตรวจดูก่อนเถิด”

ซูโหรวมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด รับเยี่ยนเสี่ยวโหลวมาและได้บินตรงไปยังหอหลานถิง จากนั้นจึงขึ้นไปบนชั้นสาม

“ข้าคงต้องขอยืมสถานที่แห่งนี้ ข้าต้องช่วยนาง ขอให้นักปราชญ์ทุกท่านหลีกไปด้วย !”

ชางกวนเหวินซิ่วและคนอื่น ๆ ลงไปด้านล่างตึกโดยว่าง่าย “แม่นางสบายใจได้ ข้าและคนอื่น ๆ จะเฝ้าอยู่ที่ประตู จะมิมีผู้ใดสามารถขึ้นมาบนชั้นสามได้ ! ”

“ข้าต้องมีชีวิตรอด !” ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองนักฆ่าทั้งเจ็ดด้วยสายตาดุร้าย หลังจากนั้นก็หันไปมองฉินเหวินเจ๋อ

สีหน้าของเขาช่างน่ากลัว จนฉินเหวินเจ๋ออดที่จะถอยเท้าไปไม่ได้ ชางกวนเหมี่ยวคิ้วขมวด และกล่าวว่า “เรื่องนี้ มิเกี่ยวข้องกับเหวินเจ๋อ”

“เขาคือใคร ?”

“บัณฑิตของสำนักศึกษา และเป็นสมาชิกของสมาคมกวีหลานถิงเช่นกัน มีนามว่าจ้าวต้ง มิมีภูมิหลังอันใด”

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ไถ่ถามอีก หลังจากจบเรื่องคงต้องให้หอชิงเฟิงซี่หยู่ตรวจสอบเรื่องราวของจ้าวต้งอย่างถี่ถ้วนอีกครา

ต่งชูหลานมิได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด นางครุ่นคิดเงียบ ๆ อยู่ชั่วอึดใจ และกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าจะไปหอหลานถิง”

นางย่อมต้องไปหอหลานถิงเพื่อดูเยี่ยนเสี่ยวโหลว เยี่ยนเสี่ยวโหลวช่วยชีวิตฟู่เสี่ยวกวนไว้ นางคาดไม่ถึงเวลาในช่วงเวลาเพียงพริบตาเยี่ยนเสี่ยวโหลวจะเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนั้น มิแม้แต่จะนึกคิดว่าตนเองจะเป็นหรือตาย

แม่นางผู้นี้ มาด้วยน้ำใสใจจริง เฮ้อ…! ต่งชูหลานถอนหายใจเงียบ ๆ

ซูซูมิได้ดีดฉินอีก นางมองคนทั้งเจ็ด

ตอนนี้มีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 3 คน อีก 4 คนที่เหลือต่างจับคู่ไปปะทะกับฝ่ายตรงข้าม มองดูแล้วพอฟัดพอเหวี่ยง ปะทะกันจนท้องฟ้ามืด

ทั้งสี่คนประมือกันไปก็ราวกับรู้สึกถึงความแปลกประหลาดขึ้นมา หลังจากนั้นในตอนที่ดาบและกระบี่ประสานกันก็ได้เอ่ยถามกันและกัน ถึงได้ทราบว่าเป้าหมายของทุกคนต่างก็คือฟู่เสี่ยวกวน

บัดซบ ฟ่านเฉิงเฉิงหดหู่เป็นอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดมือ และรวมกันเข้ามาสังหารฟู่เสี่ยวกวน

“วิถีปกปักษ์ !”

ซูซูกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งประโยค สีหน้าเคร่งเครียด สองมือน้าวสาย หลังจากนั้นก็ปล่อยออก “เจิ้ง…” เสียงฉินดังขึ้น พลังของกระบี่ไร้ลักษณ์ก็ได้ทะยานออกไป

ฟ่านเฉิงเฉิงเข้าไปเป็นผู้แรก ดาบยาวในมือร่ายรำ หมุนจนเกิดแสงและเงา หักล้างพลังของกระบี่ไร้ลักษณ์ หลังจากนั้นก็เขาก็ได้ฟาดดาบในมือลง

ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าแท้จริงแล้ววิถีปกปักษ์นี้มีเพื่ออันใด เขายืนอยู่ด้านหน้าซูซู มองดาบที่ฟาดลงมา ทันใดนั้นก็โยนขวดออกไปหนึ่งใบ

ขวดใบนั้นแตกกลางอากาศ ควันลอยพุ่งออกมา ฟู่เสี่ยวกวนโน้มกายคุกเข่า ในใจคิดถึงยาพิษของศิษย์พี่ใหญ่…ต้องยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงจะใช้ได้ผล

“ระวัง !” ฟ่านเฉิงเฉิงทะยานออกไปพร้อมกับดาบ ข้ามผ่านควันนั้น เส้นทางของดาบยาวยังคงมิเปลี่ยนแปลง

ซูซูน้าวสายฉินออกยาว ในชั่วพริบตาที่ฟ่านเฉิงเฉิงจะข้ามผ่าน นางก็ปล่อยสายออก

“เจิ้ง… !”

เสียงฉินดังอ้อยอิ่ง

“เช้ง เช้ง เช้ง… !”

เกิดประกายไฟขึ้นมาชั่วขณะ กระบี่ไร้ลักษณ์แตกสลาย ดาบอ่อนแรง ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่ากำหมัด และออกหมัดไปอย่างรุนแรง คาดมิถึงว่าจะทรงพลังยิ่ง

“ตายเสีย ! ” ฟ่านเฉิงเฉิงคำรามลั่น เขาลืมไปแล้วว่าตอนนี้ในอากาศได้มีพิษไร้ลักษณ์กระจายอยู่ เขาสูดหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากนั้นก็รู้สึกมึนเล็กน้อย ต่อจากนั้นทั่วทั้งร่างก็ไร้แรง แม้แต่ดาบในมือก็ยากที่จะควบคุมเอาไว้ได้

หมัดของฟู่เสี่ยวกวนทะยานมาถึงเสียงดัง “ปึก” หนึ่งหมัดต่อยเข้าที่ลำตัวดาบ ดาบยาวสั่นกระเพื่อม ฟ่านเฉิงเฉิงเปิดช่องว่างให้โจมตี ยังไม่ทันที่เขาจะได้กรีดร้อง หมัดอีกหนึ่งข้างของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ลอยมาเกือบจะถึงหน้าของเขาแล้ว

“ปึง… !”

“โครม… !”

เขาถูกหมัดนี้ของฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปอย่างจัง จนตัวของเขาลอยขึ้นไปสู่อากาศ กระอักเลือดเป็นสายและล้มลงไปกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง

“เจ้า เจ้า เจ้ามันไร้ยางอาย…ชวงหานเยวี่ยหมิง…” จากนั้นเขาก็สลบล้มลงไป

มือสังหารอีก 3 คนเย็นยะเยือกไปทั้งใจ ชวงหานเยวี่ยหมิงมีผลกับผู้ที่มีวรยุทธ์ระดับสูงเท่านั้น กำลังภายในแข็งแกร่งเท่าใดยาพิษก็ร้ายแรงเท่านั้น หลังจากที่วิชาร้อยพิษสูญสิ้นไป ยาพิษชนิดนี้ก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นในยุทธภพอีกเป็นเวลานานกว่าแปดสิบปีแล้ว

หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้รู้วิชาร้อยพิษที่เหลืออยู่กัน ?

ซูซูส่ายหน้า ครุ่นคิดถึงเรื่องในอารามปีนั้น ที่ศิษย์พี่ใหญ่ใช้ของสิ่งนี้จนเกือบจะทำให้ท่านอาจารย์สิ้นชีพ แล้วนับประสาอะไรกับพวกเจ้ากัน ?