ตอนที่ 117 เกี๊ยวต้อนรับแขก

“หวยเหรินไม่ได้สนใจพวกเขาหรอกค่ะ” พี่สาวห้าจ้าวพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังเหมือนกับก่อนหน้านี้ ตรงที่ให้ค่าใช้จ่ายเดือนละสิบหยวน”

“ให้ตั้งสิบหยวนก็ถือว่าเยอะแล้ว” คุณแม่จ้าวกล่าว

หนึ่งเดือนสิบหยวน หนึ่งปีก็เท่ากับ 120 หยวน น้อยตรงไหนกัน? ลูกชายคนอื่น ๆ ก็อาจจะไม่ได้ให้เงินเดือนเหมือนกับลูกเขยฉินหวยเหรินคนนี้ด้วยซ้ำ!

พี่สาวห้าจ้าวไม่ได้สนใจเรื่องนี้ “สิบหยวนก็สิบหยวนค่ะ ขอให้ฝ่ายนั้นเงียบได้ก็พอ แต่คิดจะเอามากกว่านี้คงไม่มีให้แล้ว”

คุณแม่จ้าวเห็นว่าบ้านสามีของลูกสาวไม่ได้เอาเปรียบหล่อน จึงไม่ได้พูดอะไร

“แม่คะ ในบรรดาลูกชายและลูกสะใภ้ของแม่ ใครกตัญญูที่สุดเหรอ?” พี่สาวห้าจ้าวแย้มยิ้มพลางเอ่ยถาม

คุณแม่จ้าวกลอกตาใส่ลูกสาวด้วยรอยยิ้ม “ก็กตัญญูทุกคนนั่นแหละ!”

พี่สาวห้าจ้าวขำพรืด “แม่พอเถอะ กับคนอื่นไม่เป็นไรหรอก แต่กับฉันแล้วแม่ยังไม่พูดความจริงอีกเหรอ?”

คุณแม่จ้าวยิ้ม ก่อนจะกล่าวว่า “คนที่กตัญญูมากที่สุดก็ต้องเป็นน้องหกของแกกับฉูฉู่อยู่แล้ว”

“งั้นหลังจากนี้แม่กับพ่อก็จะย้ายไปอยู่กับครอบครัวเหวินเทาหรือเปล่าคะ?” พี่สาวห้าจ้าวกล่าว

คุณแม่จ้าวกล่าว “ก็ต้องดูแล้วล่ะว่าเรื่องหลังจากนี้จะนานแค่ไหน”

พี่สาวห้าจ้าวรู้ดี จึงกระซิบ “ฉันคาดว่าปีนี้เหวินเทาน่าจะสร้างบ้านใหม่ได้แล้วล่ะค่ะ”

“สร้างบ้านใหม่มันง่ายขนาดนั้นซะที่ไหนกันล่ะ ต้องใช้เงินตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ แม่ได้ยินน้องชายแกพูดกับพวกเลขา บอกว่าจนถึงตอนนี้แม้แต่เงินทุนที่ซื้อจักรยานไปก็ยังไม่ได้คืนกลับมาเลย” คุณแม่จ้าวกล่าว

พี่สาวห้าจ้าวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนั้นหลอกคนได้เป็นอย่างดีเลยจริง ๆ ถ้าเขาไม่ได้เงิน ใครจะได้เงินอีกล่ะคะ? ฉันเดาว่าข้ามปีนี้เขาคงได้กำไรไม่น้อยกว่าจำนวนนี้ค่ะ” จากนั้นหล่อนก็ชูนิ้วเป็นเลขสามขึ้นมาหนึ่งครั้ง

“สามสิบ?” คุณแม่จ้าวเลิกคิ้ว

“ใช่ที่ไหนกันล่ะคะ อย่างน้อย ๆ ก็สามร้อย!” พี่สาวห้าจ้าวกล่าวค้อน

คุณแม่จ้าวแอบรู้สึกเหนือความคาดหมาย ทำเพียงแค่ยิ้มออกมา ลูกชายได้เงินนางเองก็ดีใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากมาย ได้เงินมาก็ดีแล้ว

เพียงครู่หนึ่งพี่สาวใหญ่จ้าวก็เดินเข้ามา พูดด้วยรอยยิ้ม “เธอกำลังกระซิบอะไรกับแม่อยู่เหรอ”

“แม่เร่งให้ฉันมีลูกน่ะสิ” พี่สาวห้าจ้าวพูดอย่างจนปัญญา

พี่สาวใหญ่จ้าวกลับเห็นด้วย “ที่แม่เร่งก็ถูกนะ ตอนนี้โหรวโหรวเองก็โตขนาดนั้นแล้ว เธอก็รีบ ๆ ท้องเถอะ”

พี่สาวห้าจ้าวส่ายหน้าพลางกล่าว “ฉันยังมีงานต้องทำนะ”

“งานของเธอได้เงินเดือนละเท่าไรกันเชียว? ออกจากงานไปเถอะ” พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว ก่อนหน้านี้ยังทำการขายได้ แต่ตอนนี้คงไม่ได้แล้ว งานนี้ทำได้เพียงลาออกไม่สามารถกลับมาทำต่อได้

คุณแม่จ้าวกล่าว “กลับไปคุยกับหวยเหรินดี ๆ นะ ส่วนงานรอให้ท้องแกใหญ่ขึ้นมาก่อน ถึงเวลานั้นค่อยลาออกก็ยังไม่สาย”

สามแม่ลูกคุยกันครู่หนึ่ง ก็เดินออกมา

“วันนี้พวกเรากินเกี๊ยวกันนะ แม่จะไปทำไส้เกี๊ยวก่อน”คุณแม่จ้าวกล่าว

พี่สาวใหญ่จ้าวกล่าว “แม่ คนเยอะแบบนี้จะกินเกี๊ยวอะไรกันคะ ผัดกับข้าวสักสองสามอย่างก็ได้แล้ว”

พี่สาวห้าจ้าวก็กล่าว “นั่นสิ แม่ คนเยอะเกินไปแล้ว เมื่อไหร่จะห่อเสร็จ?”

“จะกินยังลำบาก แม่ก็ไม่ได้ให้พวกเธอมาห่อสักหน่อย ขึ้นไปนั่งบนเตียงเถอะ” คุณแม่จ้าวกล่าว

เกี๊ยวเป็นการปฏิบัติสูงสุดในการต้อนรับแขก นี่เป็นสิ่งที่คุณแม่จ้าวคิด

พี่สะใภ้สี่จ้าวเดินตามออกมาแสดงความกตัญญู กล่าวว่า “คุณแม่ เดี๋ยวฉันช่วยห่อค่ะ”

คุณแม่จ้าวมีหรือที่จะไม่รู้ความคิดนั้นของหล่อน “อากาศหนาวขนาดนี้ ยืนอยู่บนพื้นได้หนาวแข็งแน่ กลับไปนอนที่ห้องเถอะ อีกเดี๋ยวเรียกเจ้าสี่ให้ยกไปให้เธอถ้วยหนึ่ง รีบกลับไปเถอะ อากาศหนาวเกินไปแล้ว”

พี่สะใภ้สี่จ้าวรู้ดีว่าแม่สามีรักษาคำพูดเสมอมา บอกว่าจะยกไปให้ก็ยกไปให้ จึงรู้สึกมีความสุขในทันที

พี่สะใภ้สี่จ้าวกลับไปที่ห้องทักทายพี่สาวใหญ่จ้าว พี่สาวห้าจ้าวและพี่เขยเสร็จจากนั้นก็กลับห้องไป เย่ฉูฉู่เองก็ถูกพี่สาวสามีเรียกให้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง เนื่องจากไม่ใช่คนแปลกหน้า จึงไม่จำเป็นต้องให้คนตั้งครรภ์มานั่งเป็นเพื่อน

“แม่ เดี๋ยวฉันช่วยเองค่ะ” พี่สะใภ้รองจ้าวในฐานะที่เป็นลูกสะใภ้ใหญ่ ตอนนี้ตัวหล่อนเองก็ไม่มีอะไรต้องทำ พี่สาวใหญ่และน้องห้ากลับมาบ้าน หล่อนก็ต้องลงมืออยู่แล้ว

โดยเฉพาะหล่อนที่เต็มใจจะสานสัมพันธ์กับพี่น้องทั้งสองคนนี้

หล่อนถลกแขนเสื้อเดินเข้ามาช่วยเหลือ

พี่สะใภ้สามเองก็ถลกแขนเสื้อเข้ามาช่วยเหลือเช่นเดียวกัน

คุณแม่จ้าวก็ไม่ได้ขวาง ทั้งยังตะโกนเรียกจ้าวเหวินเทา “เหวินเทา แกมาสับเนื้อให้แม่ แม่จะไปทำกับข้าวสักหน่อย”

พี่สาวห้าจ้าวได้ยินจึงกล่าว “แม่ กินเกี๊ยวแล้วยังจะกินกับข้าวอะไรอีกคะ ไม่ต้องทำแล้ว”

ฉินหวยเหรินก็รีบกล่าว “แม่ครับ กินเกี๊ยวแล้วไม่ต้องกินกับข้าวแล้วก็ได้ ย่างกระเทียมสักหน่อยก็พอ”

คุณพ่อจ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่งลงเลย ๆ กว่าพวกเธอจะกลับมาได้สักครั้ง ให้แม่พวกเธอทำของอร่อยให้กินเถอะ”

พี่สาวใหญ่จ้าวไม่นั่งเฉย หล่อนลงจากเตียงเตาเข้ามาช่วยเหลือ

แต่ถูกสะใภ้สามจ้าวดันกลับเข้าไปในห้อง “พี่สาวใหญ่ รีบขึ้นไปนั่งบนเตียงเถอะ อีกเดี๋ยวรอห่อเกี๊ยวก็พอแล้ว”

สะใภ้รองจ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นสิ พี่สาวใหญ่ พี่กลับมากินข้าวที่บ้านทั้งที ยังต้องให้พี่ยื่นมือช่วยอีกเหรอ? พี่กับน้องห้านั่งรออยู่บนเตียงนั่นแหละ อีกเดี๋ยวค่อยห่อเกี๊ยวด้วยกัน”

พี่สาวห้าจ้าวยิ้ม “พี่สาวใหญ่ ขึ้นมาเถอะ พวกเราได้กลับมากินข้าวที่บ้านก็ดีแล้ว”

พี่สาวใหญ่จ้าวไม่ได้ยืนกรานที่จะทำ หล่อนขึ้นไปนั่งคุยบนเตียงต่อ

สะใภ้รองจ้าวทำงานอย่างรวดเร็ว นำผักดองสิบกว่าหัวออกมาล้างจนสะอาด ก่อนจะหั่นแล้วจัดใส่จาน

สะใภ้สามจ้าวเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หล่อนนำเนื้อหมูที่คุณแม่จ้าวหยิบออกมา มาหั่นเป็นแผ่น จากนั้นหั่นเป็นเส้น แล้วหั่นเป็นลูกเต๋าเพื่อทำเป็นไส้ให้จ้าวเหวินเทาสับ จากนั้นก็คลุกเคล้าเป็นอันเรียบร้อย

ไส้เกี๊ยวหมูที่ดีที่สุดคือการใช้มีดสับ สับออกมาเป็นเนื้อละเอียดประเภทนั้น เวลารับประทานถึงจะอร่อย

จ้าวเหวินเทาเห็นคุณแม่จ้าวหยิบผักกาดขาวเข้ามาสองสามหัว จึงเรียกพี่สี่จ้าวมาสับไส้เกี๊ยว ส่วนตัวเองกลับไปหาผักใบเขียวที่บ้าน

เย่ฉูฉู่นั่งอยู่บนเตียงเตาทำชุดเล็ก ๆ ให้ลูก เมื่อเห็นเขาเข้ามาจึงกล่าว “แป๊บเดียวเสร็จแล้วเหรอคะ?”

“เปล่า ผมมาหยิบผักใบเขียวนิดหน่อยน่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ครอบครัวพี่สาวใหญ่กับพี่สาวห้าจะกลับมาสักครั้ง ยังไงก็ต้องมีอาหารดี ๆ สักหน่อยสิ” จ้าวเหวินเทากล่าว

“ไปหยิบเถอะค่ะ” เย่ฉูฉู่พยักหน้า ก่อนจะทำชุดของตัวเล็กต่อ

จ้าวเหวินเทาขึ้นมาหอมภรรยาของเขา จากนั้นก็หยิบผักใบเขียวสองสามอย่างจากห้องใต้ดินออกไป

พี่สะใภ้รองจ้าวเห็นเช่นนี้ก็เดินกลับไปหยิบหัวหอมแดงสิบกว่าหัวและฟองเต้าหู้อีกหนึ่งถุง

พี่สะใภ้สามเดินกลับไปหยิบเต้าหู้ออกมาสองสามชิ้น

พี่สามจ้าวเห็นก็ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกพี่สะใภ้สามจ้าวถลึงตาใส่ กล่าวเตือนว่า “มีแขกอยู่นะ คุณอย่าทำให้ต้องขายหน้า”

พี่สามจ้าวจึงอดกลั้นทันที จนกระทั่งพี่สะใภ้สามจ้าวเดินออกไป จึงพึมพำเสียงเบาว่า “เอาไปแค่ชิ้นเดียวก็พอแล้ว หยิบออกไปเยอะขนาดนั้น ยัยผู้หญิงฟุ่มเฟือย”

พี่สี่จ้าวเห็นก็ไปหยิบของเช่นกัน เขาไม่หยิบออกมาไม่ได้หรอก

พี่สะใภ้สี่จ้าวที่อยู่ในห้องเห็นเขากลับมาหยิบของ หล่อนก็ถลึงตาพลางกล่าวในทันที “เมื่อครู่พี่สาวใหญ่กับน้องห้าก็เอาของกลับมาตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องเอาของของพวกเราออกไปด้วย? ครอบครัวพวกนั้นอยากจะหยิบออกไปก็หยิบไปสิ บ้านพวกเรามีของไม่เยอะแล้ว คุณแสร้งทำเป็นไม่เห็นก็สิ้นเรื่อง!”

ท้ายที่สุดพี่สี่จ้าวก็ทำได้เพียงแค่เดินถอนหายใจออกมา เพราะในบ้านของเขาไม่มีอะไรให้หยิบจริง ๆ

ครั้งนี้พี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวนำแป้งขาวกลับมายี่สิบกว่าชั่ง ทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะห่อเกี๊ยวหนึ่งมื้อแล้ว

เพียงแต่คุณแม่จ้าวเป็นคนใช้ชีวิตเป็น นางจึงใช้แป้งบัควีตเป็นหลักท้ายที่สุดก็ใส่แป้งขาวไปเพียงนิดเดียว แบบนี้ก็เรียกว่าเป็นเกี๊ยวแห้งปลอมแล้ว ไส้เป็นไส้หมูผักกาดดอง ย่อมต้องใส่ผักกาดเยอะเนื้อหมูน้อย

ครั้นไส้และแป้งทำที่เสร็จแล้วถูกวางลงบนกระดานนวดแป้งที่อยู่บนเตียงเตา พวกผู้ชายก็ล้างมือและเริ่มห่อเกี๊ยว

ไม่เพียงแต่ผู้ชายตระกูลจ้าวที่ห่อเกี๊ยวทำอาหาร ลูกเขยเองก็เช่นเดียวกัน

ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันนิสัยย่อมแตกต่าง เรื่องนี้นับว่าสมเหตุสมผลมากทีเดียว

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่สาวน้องสาวทั้งสองกลับมาทั้งทีก็ต้องแบ่งของมาช่วยแสดงน้ำใจหน่อยสิ ทำเป็นหวงไปได้พี่สามสะใภ้สี่

ไหหม่า(海馬)