ตอนที่ 118 จิตสำนึกของจ้าวเหวินเทา

กับข้าวหนึ่งโต๊ะใหญ่ถูกทุกคนนำออกมาแล้ว พวกเด็ก ๆ ก็หิวกันแล้ว จึงวิ่งเข้ามาพร้อมส่งเสียงโอดครวญ แย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์

“คุณยาย ผมหิวแล้ว!”

“แม่หนูหิวแล้ว!”

“จะได้กินข้าวแล้วล่ะ!” คุณแม่จ้าวขานหนึ่งเสียง จากนั้นก็จัดโต๊ะอาหารไว้บนโต๊ะตั้งพื้นที่ห้องตะวันตก กับข้าวแต่ละอย่างถูกคีบออกมานิดหน่อย จากนั้นก็ตักเกี๊ยวให้พวกเขารับประทาน

พี่เขยใหญ่นำกล่องน้ำส้มอัดลมที่เขานำมาออกมาแบ่งให้ พวกเด็ก ๆ ดีใจมาก นี่คือน้ำอัดลมเชียวนะ อร่อยมากเลยล่ะ!

ส่วนบนเตียงเตาในห้องตะวันออก เหล่าผู้ชายก็นั่งด้วยกัน กับข้าวและเกี๊ยวถูกนำมาเสิร์ฟแล้ว และมีเหล้าให้ดื่มด้วย

ด้านล่างเตียงเป็นโต๊ะของพวกผู้หญิงให้นั่งรับประทานเกี๊ยวด้วยกัน ส่วนเหล้าก็ดื่มตามใจชอบ

ตอนที่รับประทานอาหารกันอยู่เย่ฉูฉู่ก็เดินออกมา พี่สี่จ้าวเองก็รู้สึกไม่ดีที่จะนำไปให้ภรรยาถึงในห้อง เขาจึงเรียกให้ภรรยาออกมา

พี่สะใภ้สี่จ้าวเดิมทีไม่ยินดีที่จะออกมา แต่เมื่อนึกถึงอาหารมากมายขนาดนั้น ก็คิดว่าสามีของหล่อนคงไม่มีทางตักอาหารทุกอย่างมาให้ ถ้าไม่มาก็คงเสียเปรียบแย่เลย

“ทุกคนรีบกินเถอะ ท้องฟ้ามืดแล้ว!” คุณแม่จ้าวเรียก

“มา พี่เขยทั้งสอง ผมจะรินให้เต็มแก้วไปเลย” จ้าวเหวินเทารินเหล้าให้พี่เขยใหญ่และพี่เขยห้า

บนโต๊ะตั้งพื้น เย่ฉูฉู่เองก็รินเหล้าให้พี่สาวสามีทั้งสอง อากาศหนาวแบบนี้ดื่มเหล้าสักหน่อยร่างกายจะได้อบอุ่น

“กินกับข้าวและเกี๊ยวลงไปสักหน่อยแล้วค่อยดื่มเหล้านะ ไม่งั้นคงรู้สึกไม่สบายท้อง” คุณแม่จ้าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

คุณพ่อจ้าวพูดกับลูกสาวทั้งสอง “ดื่มเหล้าช่วยให้อบอุ่น พวกแกก็ดื่มสักหน่อยให้ร่างกายอบอุ่นนะ”

“ค่ะ” พี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวยิ้ม

สะใภ้รองจ้าวก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณพ่อเป็นห่วงลูกสาวจังเลยนะคะ”

ทุกคนเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

แต่ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้จริง ๆ คุณพ่อจ้าวดีกับลูกสาวทั้งสองมากกว่าลูกชาย นอกจากจ้าวเหวินเทาเจ้าลูกคนสุดท้องแล้ว เทียบกับพี่รองจ้าว พี่สามจ้าวและพี่สี่จ้าว พี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวก็ได้รับการดูแลไม่ได้น้อยไปกว่าครึ่งเลย

ทุกคนหัวเราะกันครู่หนึ่ง ก็รับประทานอาหาร

พวกผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านบนพูดคุยถึงเกษตรกรรมและธุรกิจ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านล่างก็คุยเรื่องสัพเพเหระ

ฤดูหนาวจะมีช่วงกลางวันที่สั้น ตอนที่รับประทานอาหารเสร็จก็เกือบจะมืดแล้ว

ครอบครัวของพี่สาวใหญ่จ้าวและพี่สาวห้าจ้าวอยู่ค้างหนึ่งคืน และกลับไปในวันรุ่งขึ้นของอีกวันซึ่งเป็นวันที่สาม

ครั้นพวกเขากลับไปแล้ว น้องชายและพวกหลาน ๆ ทางบ้านคุณแม่จ้าวก็มาสวัสดีปีใหม่

จากนั้นญาติ ๆ อย่างป้าเจ็ดและป้าแปดก็ทยอยกันมา ในเวลาเดียวกันพวกพี่สะใภ้รองจ้าวและพี่สะใภ้สามจ้าวก็กลับไปสวัสดีปีใหม่ที่บ้านเกิดตัวเองด้วย

พี่รองจ้าวและพี่ชายคนอื่น ๆ เป็นตัวแทนของพ่อกับแม่ไปค้างแรมที่บ้านญาติต่างหมู่บ้านเพื่อสวัสดีปีใหม่ รวมถึงจ้าวเหวินเทาด้วย

จนถึงวันที่ห้าก็ยังไม่มีเวลาว่าง

แต่ละบ้านต่างก็เป็นเช่นนี้ หากว่าตามคำพูดของคุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวก็คือ ยิ่งไปมาหาสู่กับญาติๆ จะยิ่งสนิทกัน ซึ่งวันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการไปมาหาสู่มากที่สุด

ดังนั้นต่อให้เหนื่อยสักหน่อย ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

โดยเฉพาะในสถานที่อย่างชนบทจำเป็นต้องใช้ความพยายามกับเรื่องนี้ ถ้าถอดใจไม่ไปหา คนอื่นก็จะหาว่าดูถูกพวกเขา

แต่ตอนที่ไปเยี่ยมญาติ จ้าวเหวินเทากลับกลายเป็นคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุด

เพราะเรื่องที่เขาพูดว่า ‘อยากประสบความสำเร็จก็ต้องบ้าก่อน ใช้สมองคิดให้ง่าย ๆ แล้วลุยไปข้างหน้า’ มันได้ฝังเข้าไปอยู่ในใจของคนจริง ๆ

มีคนจำนวนไม่น้อยนำไปพูดให้กลายเป็นเรื่องขบขัน แน่นอนว่ามีผู้อาวุโสบางคนที่กล่าวถึงเรื่องนี้

พวกเขามีประสบการณ์จากยุคการปล่อยดาวเทียมอันยิ่งใหญ่(1)เมื่อก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าย่อมต้องการให้เห็นความสำคัญของการทำงานที่สอดคล้องกับความเป็นจริง

ดังนั้นวันปีใหม่ของจ้าวเหวินเทาในปีนี้จึงเหนื่อยจริง ๆ

ตอนนี้เขาจึงนอนนิ่งเป็นศพอยู่ภายในห้อง ท่าทางไร้ชีวิตอันน่าเวทนานั้นทำให้เย่ฉูฉู่อดขำไม่ได้

“ภรรยาจ๋า สามีของคุณลำบากขนาดนี้ คุณยังเห็นเป็นเรื่องตลกอีก” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

การที่เขาต้องมาร้องไห้แสร้งว่าจนมันเป็นเรื่องง่ายหรืออย่างไร?

เย่ฉูฉู่เข้ามานวดขมับให้เขาด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “ใช่ มีครอบครัวแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉันไม่ได้เห็นเป็นเรื่องตลกนะคะ ฉันก็แค่รู้สึกว่า คุณน่ารักแปลก ๆ”

“สามีของคุณออกจะรูปหล่อแบบนี้ นี่คือวีรบุรุษ นี่คือแสงอาทิตย์ คุณกลับใช้คำว่าน่ารักแค่สองพยางค์เนี่ยนะ?” จ้าวเหวินเทาแค่นเสียงหึออกจากลำคอ

เย่ฉูฉู่มองท่าทางขี้งอนนี้ของเขาก็รู้สึกหาได้ยากจริง ๆ เธอจึงยื่นหน้าไปหอมเขา แต่จ้าวเหวินเทายังต้องการมากกว่านั้น จึงชี้ไปที่ปากของตัวเอง

เย่ฉูฉู่จึงยื่นหน้าเข้ามา จ้าวเหวินเทาโอบภรรยาของตัวเองก่อนจะเริ่มจูบ

ภรรยาตัวหอมและนุ่มนิ่มช่างเป็นยาร้ายแรงจริง ๆ จ้าวเหวินเทาใช้เวลาไม่นานก็ปล่อยภรรยา เขาเห็นกระโจมของตัวเองเริ่มทำงานแล้วจึงข่มความคิดของตนไว้

เย่ฉูฉู่เหลือบมองไป เพราะบนเตียงไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้ามากขนาดนั้น ดังนั้นจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระโจมนั้นตั้งชันสูงแล้ว

เธอจึงหัวเราะออกมาในทันที

“ภรรยา คุณคือปีศาจน้อยที่สวรรค์ส่งมาให้จัดการกับจ้าวเหวินเทาคนนี้จริง ๆ” จ้าวเหวินเทากล่าว

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขา “งั้นคุณยังต้องการปีศาจน้อยคนนี้อยู่หรือเปล่าล่ะคะ?”

“ด้วยความเต็มใจเลยล่ะ” จ้าวเหวินเทาถอนหายใจ

เย่ฉูฉู่ยิ้มพลางส่ายหน้า

จ้าวเหวินเทาเริ่มพูดถึงคนเหล่านั้น บุ้ยปากกล่าวว่า “คนภายนอกดูเหมือนกำลังโน้มน้าวผม ราวกับหวังดีกับผม แต่ทั้งหมดนั้นก็เห็นผมเป็นแค่ตัวตลก คิดว่าผมมองไม่ออกงั้นสิ?”

แค่ได้ยินว่าเขากลายเป็นคนติดหนี้ ขาดแคลนเงิน แต่ละคนก็แทบจะหัวเราะออกมา

เย่ฉูฉู่นิ่งสงบกับเรื่องเหล่านี้มาก นี่เป็นเรื่องของจิตใจมนุษย์นะ

“กระต่ายของเราโตมาอวบอ้วนดีจริง ๆ ถ้าให้อาหารมันดี ๆ รอให้เริ่มฤดูใบไม้ผลิ ถึงเวลานั้นคาดว่าคงคลอดลูกกระต่ายออกมาแล้ว มีกระต่ายเอาไปขาย แถมยังทำเงินจากข้างนอกได้ด้วย…” จ้าวเหวินเทากล่าว

เย่ฉูฉู่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้จึงกล่าวว่า “ปีนี้ฉันเองก็ทำเงินได้เหมือนกัน”

จ้าวเหวินเทาย่อมรับช่วงต่อ เขาพยักหน้ากล่าว “ถูกต้อง ยังมีภรรยาด้วย พวกเราสองคนร่วมแรงร่วมใจกัน ยังไงก็สามารถสร้างโลกของเราขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะสร้างบ้านใหม่ ทำธุรกิจขนาดใหญ่ ดูสิว่าคนพวกนั้นจะอิจฉาตาร้อนไหม!”

เย่ฉูฉู่ได้ยินถึงตรงนี้ จึงพูดว่า “ถึงเวลานั้นคนที่อิจฉาตาร้อนคงมีไม่น้อย ฉันได้ยินพี่สาวใหญ่พูดว่าทางฝั่งนั้นปีที่แล้วมีครัวเรือนหมื่นหยวนปรากฎขึ้นมาหนึ่งครอบครัว ได้ลงหนังสือพิมพ์ด้วยนะ แต่ก็มีคนอิจฉาเหมือนกัน ปรากฏว่ามีคนไปที่บ้านคนคนนั้นแล้วโยนแมวตายที่ถูกผ่าท้องเข้าไปในบ้าน ทำเอาคุณยายที่เปิดประตูตื่นขึ้นมาตอนเช้าตกใจจนเข้าโรงพยาบาลเลย”

เย่ฉูฉู่ทราบดีว่าสาเหตุที่พี่สาวใหญ่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอะไร อีกฝ่ายแอบบอกเธอว่าให้นำเรื่องนี้กลับมาบอกจ้าวเหวินเทาที่เป็นน้องชาย หากได้เงินมาก็อย่าทำให้เป็นจุดสนใจ อย่าได้นำไปป่าวประกาศ

จิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากจริง ๆ โดยเฉพาะตอนที่คนอิจฉา ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรออกมา

ดังนั้นต้องแน่ใจว่าเมื่อได้เงินมาจะไม่รั่วไหลออกไป ได้เงินมาแล้วก็อย่าไปบอกให้คนอื่นรู้ ร้องห่มร้องไห้แสร้งว่าจนก็พอแล้ว

การโอ้อวดจะชักนำความร้ายกาจของมนุษย์ ร้องไห้เพราะความจนจะชักนำความปรารถนาดีของมนุษย์ นี่ไม่ใช่การโน้มน้าวแต่เป็นเรื่องจริง

“ฟ้าคลั่งย่อมมีฝน คนคลั่งย่อมมีภัย” เย่ฉูฉู่กระซิบกล่าว

จ้าวเหวินเทายิ้ม เขามองภรรยาของตนเอง “ภรรยาจ๋า ผมรู้ ต่อให้พวกเราได้เงินมาก็ไม่ได้ทำตัวโดดเด่นอยู่แล้ว พวกเราต่างก็เป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายไม่ใช่เหรอ? คนติดดินแบบพวกเรา จะไปทำตัวคึกคะนองได้ยังไงกันล่ะ?”

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เคล้ารอยยิ้ม “ฉันได้ยินว่าก่อนหน้านี้คุณเองก็ชวนทะเลาะเบาะแว้งไปไม่น้อย คึกคะนองมากเลยนะคะ”

จ้าวเหวินเทาคลี่ยิ้ม “ภรรยา นั่นมันเรื่องเมื่อก่อน ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ตอนนี้ผมมีลูกมีเมียแล้ว จะว่าไปตอนนั้นก็คึกคะนองอยู่หรอก คนเราก็ต้องมีความคึกคะนองในช่วงวัยรุ่นกันบ้าง แต่ตอนนี้ผมสำนึกแล้ว ผมนึกถึงลูกเมียตลอด เลยคิดว่าความสงบสุขต้องมาก่อน พวกเราไม่กลัวปัญหาและจะไม่สร้างปัญหาด้วย!”

เย่ฉูฉู่ยิ้ม เธอย่อมพึงพอใจกับจิตสำนึกนี้ของเขา

…………………………………………………………………………………………………………………………

คำพูดนี้มีที่มาจากปี 1958 ในช่วงที่ประเทศจีนกำลังใช้นโยบาย “การก้าวกระโดดครั้งใหญ่ (The Great Leap Forward Movement)” และตรงกับช่วงที่สหภาพโซเวียตประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมสปุตนิก 1 ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลก จึงมีข่าวลือที่เกินความเป็นจริงเกี่ยวกับการพัฒนาการเกษตรของประเทศเกิดขึ้นมากมาย อย่างเช่น 9 มิถุนายน 1958 สำนักข่าว People’s Daily รายงานว่า “พื้นที่เกษตรกรรมนำร่องของเขตสุยผิง มณฑลเหอหนาน ผลิตข้าวสาลีได้ถึง 2,105 ชั่งต่อหมู่ในพื้นที่การผลิต 5 หมู่ นับเป็นดาวเทียมดวงแรกของนโยบายการก้าวกระโดดครั้งใหญ่” ต่อมาในวันที่ 13 สิงหาคม 1958 สำนักข่าวซินหัวได้รายงานว่า “เขตหม่าเฉิง มณฑลหูเป่ย สามารถผลิตข้าวต้นฤดูได้ 36,900 ชั่งต่อหมู่เป็นที่แรกของประเทศ” เลยกลายเป็นที่มาว่าหากกล่าวถึงยุคการปล่อยดาวเทียมอันยิ่งใหญ่ ก็จะหมายถึงยุคที่เต็มไปด้วยข่าวลือข่าวโคมลอยที่เกินความเป็นจริงจนไม่น่าเชื่อถือ

สารจากผู้แปล

พ่อกระต่ายตอนงอนนี่ก็น่ารักเหมือนกันนะคะ

คำว่าทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัยยังใช้ได้อยู่ทุกยุคทุกสมัยจริง ๆ ค่ะ ตราบใดที่ยังมีคนขี้อิจฉาอยู่มาก

ไหหม่า(海馬)