บทที่ 312 แอนติควิตี้และเทพเจ้าแห่งดาบ

Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]

บทที่ 312 แอนติควิตี้และเทพเจ้าแห่งดาบ
บทที่ 312 แอนติควิตี้และเทพเจ้าแห่งดาบ

เซียวเฟิงเดินทางไปยังเมืองเฮ่ยฉีต่อด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขานำหินอวกาศที่ได้มาทั้งหมดมอบให้แก่อาจารย์ตี้ ซึ่งในตอนนั้น อาจารย์ตี้อู่หยาเองก็มาถึงที่นี่แล้วด้วยเช่นกัน เมื่ออีกฝ่ายเห็นเซียวเฟิงก็เข้ามาทักทายแล้วกลับไปสนใจงานที่ต้องทำในครั้งนี้

อาจารย์ตี้ประเมินเวลาไว้ว่า มันน่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงจะทำสำเร็จ และเช่นเดิมเซียวเฟิงสามารถกลับที่นี่ได้อีกครั้งในหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า

ด้วยเหตุนี้เซียวเฟิงจึงไม่ได้รบกวนทั้งสองมากนัก เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกลับไปยังเมืองจักรวรรดิและปรี่ไปยังสนามประลองโดยตรง

เวลาหนึ่งชั่วโมงนั้น มากพอที่จะให้เขาสามารถประลองกับคนอื่นฆ่าเวลาได้ ยิ่งแต้มชัยชนะมากขึ้นเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็สามารถแลกแต้มสกิลมาใช้อัปเกรดสกิลได้เร็วขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เซียวเฟิงสนใจเป็นอย่างมาก

สนามประลองในตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นที่สนใจในของรางวัลของการประลอง หรือจะเป็นผู้เล่นที่คลั่งไคล้ในการฆ่าผู้เล่นด้วยกันเอง ทุกคนต่างก็มารวมกันอยู่ที่นี่

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศกำลังครืกครื้น เซียวเฟิงก็ไม่รอช้ากดหาคู่ประลองทันที เพราะตอนนี้แต้มชัยชนะของเซียวเฟิงนั้นเป็นศูนย์ ดังนั้นการจับหาคู่แข่งจึงง่ายมากสำหรับเขา เพียงไม่ถึงสิบวินาที ระบบก็จับเขาและคู่ต่อสู้ เทเลพอร์ตมายังสนามประลองแล้ว

[สนามประลองหมายเลข 59, เทพเจ้าเบอร์เซิร์กเกอร์ – รันนิ่งพอร์ค ปะทะ สังฆราชศักดิ์สิทธิ์ – แด๊ด กรุณาเตรียมตัวให้พร้อม การประลองกำลังเริ่มต้นในอีก 10 วินาที!]

ภายในสนามประลอง ผู้เล่นที่มีอุปกรณ์ในระดับดีถูกเทเลพอร์ตมาอยู่ตรงข้ามกับเซียวเฟิง ดูทรงแล้วเขาน่าจะเป็นเบอร์เซิร์กเกอร์ที่ชื่อว่า รันนิ่งพอร์ค ในขณะที่ผู้เล่นคนนั้นกำลังบิดซ้ายบิดขวาเพื่อวอร์มอัปร่างกายนั้นเอง เขาก็ต้องผงะเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบ

“แด๊ดเหรอ? เดี๋ยวนะ…ชื่อนี้มัน…”

รันนิ่งพอร์คมองไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งเป็นเซียวเฟิง สีหน้าของเขาแข็งทื่อไปในทันที

“เวรเอ้ย! นั่นเจ้าแห่งฮีลเลอร์นี่! เป็นนายจริง ๆ ด้วย!”

ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนจำเขาได้ตั้งแต่รอบแรกเช่นนี้ แต่ถึงยังไงมันก็ไม่สามารถซ่อนชื่อตัวละครในสนามประลองได้อยู่แล้ว เพราะงั้นคงทำได้แค่ทำตัวให้ชิน

“พร้อมหรือยัง? การประลองจะเริ่มแล้วนะ”

เซียวเฟิงส่ายหน้าและกล่าวเตือนอีกฝ่ายหลังเห็นว่าเวลานับถอยหลังเหลืออีกสามวินาที

“ไม่ ๆๆๆ ฉันยอมแพ้! ฉันเห็นความแข็งแกร่งของเจ้าแห่งฮีลเลอร์ตั้งแต่อีเวนต์ล่าสมบัติแล้ว! แค่นั้นมันก็ทำให้ฉันไม่มีความมั่นใจที่จะประลองกับนายแล้ว!”

ผู้เล่นรันนิ่งพอร์ครีบโบกมือ และกระโดดออกจากสนามเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้หลังจากที่เวลานับถอยหลังหมดลง

หลังจากได้ยินเสียงของระบบแจ้งมาว่าเขาได้รับแต้มชัยชนะ 1 แต้ม เซียวเฟิงก็พูดอะไรไม่ออก เขาทำได้เพียงกดจับหาคู่ใหม่อีกครั้งเพื่อประลองต่อ

“เชี่ย! นั่นเจ้าแห่งฮีลเลอร์นี่! ขอลายเซ็นหน่อยสิ!”

“ว้าว โว้ย! นั่นใช่เจ้าแห่งฮีลเลอร์จริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย? ฉันเป็นแฟนคลับนายเลยนะ!”

“เอ๊ะ? ทำไมชื่อตัวละครถึงคุ้นตาจังนะ? อ๊า! นายมันเจ้าแห่งฮีลเลอร์นี่!”

“คลาสสังฆราชศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ? นั่นมันเจ้าแห่งฮีลเลอร์ไม่ใช่หรือไงน่ะ? โอเค ฉันยอมแพ้”

แม้ว่าเขาจะได้คู่ต่อสู้มามากกว่าสิบครั้งแล้ว แต่เซียวเฟิงก็ยังไม่มีโอกาสได้ต่อสู้จริง ๆ เสียที

เขาพูดอะไรไม่ออกเลย ผู้เล่นที่เปลี่ยนคลาสที่ 2 และมายังเมืองจักรวรรดิได้ในตอนนี้ต่างก็ล้วนเป็นผู้เล่นระดับสูงของเขตฮัวเซียกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเหล่านี้ยังเป็นผู้เล่นระดับสูงของกิลด์ต่าง ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าพวกเขาแข็งแกร่งกันขนาดไหน แถมหลาย ๆ คนในบรรดาผู้เล่นเหล่านี้ก็ยังเป็นคนที่เคยเข้าร่วมอีเวนต์ล่าสมบัติรวมเซิร์ฟเวอร์อีก ดังนั้นแล้วพวกเขาย่อมต้องรู้จักเซียวเฟิงดีเป็นเรื่องธรรมดา

หรือต่อให้พวกเขาจะจำเซียวเฟิงไม่ได้ แต่ด้วยชื่อคลาสที่คุ้นหูอย่าง สังฆราชศักดิ์สิทธิ์ ที่ระบบประกาศช่วงที่แนะนำตัวคู่ต่อสู้ มันก็ทำให้พวกเขาหวนนึกขึ้นได้อยู่ดี เหล่าผู้เล่นทั่วไปนั้นส่วนมากจะไม่ได้สนใจอันดับต่าง ๆ นัก เพราะมองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว ซึ่งผิดกับผู้เล่นระดับท็อปพวกนี้ พวกเขาแทบจะวนเวียนอยู่กับอันดับพวกนี้ตลอดเวลา ซึ่งมันทำให้พวกเขาเห็นคลาสของผู้เป็นอันดับ 1 อยู่ตลอด

ดังนั้นแล้วจึงไม่ต้องสงสัยสิบกว่ารอบที่ผ่านมานั้น เซียวเฟิงโดนจำได้โดยผู้เล่นอื่นทั้งหมด และพวกเขาทั้งหมดนั้นก็ขอยอมแพ้ตั้งแต่การนับถอยหลังสิ้นสุดลงด้วย

หนึ่งในข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างผู้เล่นระดับสูงกับผู้เล่นทั่ว ๆ ไป นั่นคือ ความรอบรู้ พวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของเจ้าแห่งฮีลเลอร์รวมไปถึงชุดเซ็ตอาร์ติแฟกต์ที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่ สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกผู้เล่นระดับสูงตัดสินใจได้ไม่ยากว่าจะทำยังไงให้ประหยัดเวลาที่สุดแล้วไปหาคู่ต่อสู้คนอื่นแทน อย่างน้อย ๆ ก็มีโอกาสชนะมากกว่า

ถ้าหากมีใครสักคนยอมที่จะประลองกับเซียวเฟิง ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นไอ้งั่งที่มั่นใจในตนเองสูง หรือจะเป็นศัตรูเก่าที่แค้นเซียวเฟิงมาก่อน ยังไงมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาเวลาไปทิ้งอย่างเสียเปล่า

เฉกเช่นคู่ต่อสู้ของเซียวเฟิงในตอนนี้

[สนามประลองหมายเลข 172 เทพเจ้าแห่งดาบ – มู่หรงหยุน ปะทะ สังฆราชศักดิ์สิทธิ์ – แด๊ด กรุณาเตรียมตัวให้พร้อม การประลองจะเริ่มขึ้นในอีก 10 วินาที!]

ตอนนี้เซียวเฟิงไม่มีอะไรให้ทำแล้วนอกจากอ่านกระทู้ในฟอรั่มไปเรื่อย นั่นเพราะคู่ต่อสู้ของเขาที่ผ่าน ๆ มานั้นต่างก็เป็นฝ่ายชิงยอมแพ้ไปก่อนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

“เอ๊ะ?”

ทว่าตอนนั้นเอง เซียวเฟิงก็รู้สึกได้ถึงกระแสลมที่แข็งแกร่งซึ่งพัดหวนมาจากคู่ต่อสู้ของเขา เขามองตรงไปยังด้านหน้าด้วยความตกใจแล้วก็พบว่าคู่ต่อสู้ของเขาคนนี้ยังไม่ได้ยอมแพ้เหมือนคนก่อน ๆ แถมยังเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีเขาก่อนด้วย!

บล็อก!

เซียวเฟิงยกคทาแห่งปราชญ์ขึ้นรับการท่าฟาดฟันของมู่หรงหยุนอย่างรวดเร็ว และเมื่อพบว่ามู่หรงหยุนยังคงพยายามโจมตีต่อ เขาก็แสดงความใจร้อนออกมาเล็กน้อยและกระทืบเท้าพร้อมกับสั่งใช้สกิลพื้นที่ขนาดใหญ่…

มังกรย่ำบาทา!

อย่างไรก็ตาม มู่หรงหยุนเหมือนจะรู้อยู่แล้ว เขาหายไปราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงหน้า จากนั้นแสงคมดาบมากมายราวกับแสงดาวหางก็มุ่งตรงเข้าใส่เซียวเฟิงจากทุกทิศทาง

“หือ? นี่คือสกิลของคลาสที่ 2 เหรอเนี่ย?”

เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ทุก ๆ คลาสนั้นจะได้รับสกิลเพิ่มหลังจากเปลี่ยนคลาสขั้นที่ 2 ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ไม่คาดคิดเลยว่าสกิลคลาสขั้นที่ 2 ของนักดาบนั้นจะสวยงามถึงเพียงนี้ ยามเมื่อดาบเปล่งแสงสว่าง การโจมตีก็ต่อเนื่องมากขึ้น ไม่เพียงแต่เขาจะฝังศัตรูให้จมอยู่ในคลื่นลำแสงดาบเท่านั้น แต่ตัวของผู้ใช้สกิลเองก็ยังเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นอีกหลายระดับจนศัตรูมีโอกาสหลบได้ยาก นอกจากนี้แล้วระยะการโจมตียังไกลและกว้างมากอีกด้วย และการที่มันเป็นสกิลของการเปลี่ยนคลาสขั้นที่ 2 แน่นอนว่าพลังโจมตีของมันเองก็จะต้องสูงขึ้นมากด้วยเช่นกัน

ดังนั้นนี่จึงถือเป็นสกิลที่อรรถประโยชน์มาก ๆ เฉกเช่นสถานการณ์ตอนนี้ มู่หรงหยุนใช้มันเพื่อหลบการโจมตีของเซียวเฟิงที่กระจายไปรอบทิศทาง เขารู้ดีว่าหากเขาพลาดโดนคลื่นกระแทกพวกนั้นไปแม้แต่ครั้งเดียว มันก็สามารถทำให้เขาตายได้ง่าย ๆ เลย ดังนั้นจึงหวังว่าคลื่นลำแสงดาบเหล่านี้จะสามารถโจมตีโดนเซียวเฟิงได้บ้างขณะที่เขากำลังหลบไปเรื่อยเช่นนี้

มู่หรงหยุนช่ำชองการใช้สกิลนี้เป็นอย่างมาก เขาสามารถสร้างคลื่นดาบได้เรื่อย ๆ ราวกับไม่มีจำกัด รวมถึงคลื่นดาบแต่ละครั้งที่ถูกสร้างขึ้นมาเองก็พุ่งเข้าไปยังจุดตายของเซียวเฟิงอย่างแม่นยำด้วย เพราะผลจากการสังเกตการต่อสู้ครั้งก่อน เขาไม่มีทางที่จะทลายพลังป้องกันของเซียวเฟิงได้อย่างแน่นอนหากไม่เกิดการโจมตีแบบคริติคอลขึ้นมา

เซียวเฟิงไม่สามารถเลือกอย่างอื่นได้นอกจากถอยกลับมานิดหน่อยเหมือนกับเดินอยู่บนอากาศ จากนั้นชายหนุ่มก็ถือคทาแห่งปราชญ์ด้วยมือข้างเดียวและหันมันเข้ารับการโจมตีจากลำแสงดาบรอบทิศทาง

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!…

ลำแสงดาบที่พุ่งเข้ามานั้นถูกกันไว้ด้วยคทาแห่งปราชญ์ทั้งหมด เซียวเฟิงที่อยู่ตรงกลางการโจมตีนั้นเหมือนกำลังอยู่ท่ามกลางพายุ โดยที่ไร้ซึ่งบาดแผลใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะถึงแม้ชายหนุ่มจะเหมือนควงคทาง่าย ๆ แต่มันก็สามารถป้องกันการโจมตีของคลื่นดาบได้อย่างง่ายดาย

บล็อก!

บล็อก!

บล็อก!

บล็อก!]

เมื่อบรรดาข้อความแสดงผลลัพธ์การโจมตีปรากฏขึ้น มันก็ทำเอามู่หรงหยุนถึงกับช็อกไปเลย เขามองเซียวเฟิงด้วยแววตาที่ไม่อยากจะเชื่อราวกับไม่สามารถยอมรับผลการประลองได้

เซียวเฟิงไม่ได้ปล่อยโอกาสให้เสียเปล่าแต่อย่างใด หลังจากที่สั่งใช้งานคมเขี้ยวมังกรแล้ว เขาก็เริ่มสั่งใช้งานการโจมตีระยะไกลต่อ หอกแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างขึ้นและเขวี้ยงใส่อีกฝ่ายในทันที ถึงแม้ว่าหอกแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์นี้จะสร้างความเสียหายแก่บอสได้น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเลเวล 3 ของสกิลนี้ก็สามารถสร้างความเสียหายแก่ผู้เล่นได้มากถึง 150 หน่วย บวกกับพลังเวทของเซียวเฟิงอีก 15% ซึ่งพอแปลงค่าแล้วก็จะได้พลังโจมตีเพิ่มมาอีกร้อยกว่า ๆ รวม ๆ แล้วก็จะได้เป็นพลังโจมตีของหอกแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สูงเกือบถึงสามร้อยหน่วย ทว่าหากติดคริติคอลละก็ ความเสียหายที่เกิดกับศัตรูจะมากกว่าสี่ร้อยหน่วยเสียอีก ดังนั้นมันจึงสามารถฆ่าผู้เล่นได้ทันที ต่อให้ผู้เล่นนั้นจะเป็นนักดาบก็ตาม

แม้ว่าจะชนะแล้ว แต่คลาสขั้นที่ 2 ของมู่หรงหยุนนั้นก็ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกหวาดระแวงอยู่เหมือนกัน เขาครุ่นคิดว่าซีเหมินชุยเสวียเองก็จะมีสกิลนี้ด้วยหรือเปล่า ยิ่งโดยเฉพาะกับคนคนนั้นน่ะ ถ้าหากเริ่มการโจมตีทั้งหมดใส่เซียวเฟิงแล้วละก็ มันจะต้องเป็นอะไรที่ไม่สามารถหลบได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน

ยังไงเสียซีเหมินชุยเสวียก็แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนพวกนี้อยู่แล้ว หากจะทำให้ตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของอีกฝ่ายเลยเช่นเดียวกับเมื่อครู่นี้ เห็นทีเขาคงจะต้องงัดเอาโล่มังกรมาใช้

กระนั้นแล้วอีกใจหนึ่งเซียวเฟิงก็รู้สึกว่าซีเหมินชุยเสวียไม่น่าจะมีสกิลแบบนั้น เพราะคลาสขั้นที่ 2 ของนักดาบที่มู่หรงหยุนเลือกคือ เทพเจ้าแห่งดาบ แต่ถ้าดูจากอันดับแล้ว คลาสขั้นที่ 2 ของซีเหมินชุยเสวียนั้นคือ ปรมาจารย์ดาบ แม้จะเป็นคลาสของนักดาบเหมือนกัน หากแต่ก็ไม่ใช่คลาสเดียวกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปได้คลาสนี้มาได้อย่างไร บางทีปรมาจารย์ดาบนี่เองก็น่าจะเป็นคลาสลับด้วย

เวลาน่าจะใกล้ครบชั่วโมงแล้ว เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงไม่ได้อยู่ในสนามประลองต่อ หลังจากที่เขาหาตัว NPC ที่รับแลกแต้มชัยชนะเจอแล้ว และแลกแต้มสกิลมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุงหน้ากลับไปเมืองเฮ่ยฉีในทันที ระหว่างนั้นเขาก็เปิดอันดับเลเวลดูไปพลาง ๆ ด้วย เซียวเฟิงไม่ได้เข้ามาดูในนี้มานานแล้ว เพราะงั้นเขาจึงสงสัยว่าตอนนี้เหล่าผู้เล่นระดับเทพทั้งหลายในเขตฮัวเซียนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

อันดับผู้นำเขตฮัวเซีย

อันดับ 1 : xxx – เลเวล : 36 – คลาส : สังฆราชศักดิ์สิทธิ์ – สังกัด : เมืองแห่งความโศกเศร้า

อันดับ 2 : ซีเหมินชุยเสวีย – เลเวล : 34 – คลาส : ปรมาจารย์ดาบ – สังกัด : แอนติควิตี้

อันดับ 3 : คิงด้อม – เลเวล : 33 – คลาส : ผู้ชนะ – สังกัด : ไดนัสตี้

อันดับ 4 : นักธนูอายุ 17 ปีที่อยากจะนอนกับนักบวช – เลเวล : 33 – คลาส : ปรมาจารย์แห่งศร – สังกัด : ไดนัสตี้

อันดับ 5 : ไนท์ คูนเนอร์ – เลเวล : 33 – คลาส : นักฆ่า – สังกัด : มิดซัมเมอร์

อันดับ 6 : xxx – เลเวล : 32 – คลาส : เทพเจ้าแห่งดาบ – สังกัด : แอนติควิตี้

อันดับ 7 : xxx – เลเวล : 32 – คลาส : เทพเจ้าแห่งดาบ – สังกัด : แอนติควิตี้

อันดับ 8 : xxx – เลเวล : 32 – คลาส : เทพเจ้าแห่งดาบ – สังกัด : แอนติควิตี้

อันดับ 9 : xxx – เลเวล : 32 – คลาส : เทพเจ้าแห่งดาบ – สังกัด : แอนติควิตี้

อันดับ 10 : xxx – เลเวล : 32 – คลาส : เทพเจ้าแห่งดาบ – สังกัด : แอนติควิตี้

อย่างที่คิด มันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนอันดับผู้นำจริง ๆ ด้วย!

แม้ว่ามันจะยังไม่มีใครที่จะสามารถสั่นคลอนอันดับ 1 ได้ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นอันดับตั้งแต่ 2 ลงมาก็ทำให้เซียวเฟิงประหลาดใจมากอยู่เหมือนกัน มีคนจากไดนัสตี้ควบตำแหน่ง 3 และ 4 ส่วนซือเย่จิ๋งรั้งอันดับที่ 5 ไว้ โดยที่เธอเป็นคนของมิดซัมเมอร์เพียงคนเดียวที่ติดอันดับด้วย อันดับ 2 ที่ตกเป็นของซีเหมินชุยเสวียนั้นไม่น่าแปลกใจเท่า 5 อันดับสุดท้ายเป็นคนของกิลด์แอนติควิตี้หมดเลย!

อันดับผู้นำนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงผู้เล่นที่อยู่เหนือผู้เล่นคนอื่น ๆ อีกหลายร้อยล้านคนทั่วทั้งเขตฮัวเซีย ดังนั้นนี่จึงแสดงให้เห็น ถึงความแข็งแกร่งของสมาชิกกิลด์แอนติควิตี้ที่มีผู้ติดอันดับรวมกันอยู่ถึงหกคนเลยทีเดียว!

แข็งแกร่งอะไรกันขนาดนี้นะ!

พาลาดินแห่งการรักษาและหานเฟิงที่เคยติดอันดับก่อนหน้านี้ ปัจจุบันหลุดไปแล้ว ถ้าหากเขตฮัวเซียไม่มีเซียวเฟิงอยู่ละก็ ป่านนี้แอนติควิตี้คงจะมีสมาชิกติดอันดับเพิ่มอีกคนหนึ่งก็ได้

การเปลี่ยนแปลงนี้มันยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้เซียวเฟิงรู้สึกจริงจังขึ้นมาได้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วและครุ่นคิดถึงเป้าหมายของแอนติควิตี้อย่างถี่ถ้วน

บางทีตอนนี้ทั่วทั้งเขตฮัวเซียก็อาจจะกำลังตรวจสอบเรื่องราวของแอนติควิตี้อยู่ก็ได้ เพราะตั้งแต่ที่พวกเขาปรากฏตัวต่อสาธารณะแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ไม่หยุดพัฒนาตาเองเลย

แต่ไม่ว่าการตรวจสอบจะใช้วิธีการแยบยลขนาดไหน สิ่งที่ได้กลับมาก็คือความว่างเปล่า ไม่มีใครรู้ถึงที่มาของคนเหล่านี้ ขนาดของกิลด์ที่แท้จริง รวมไปถึงที่ตั้งแคมป์กิลด์ด้วย สิ่งที่รู้ก็มีเพียงที่นี่มีผู้เล่นระดับปรมาจารย์รวมกันอยู่มากมายไปหมด แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่า มีความลับอีกมากซ่อนอยู่เบื้องหลังกิลด์นี้

ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ถึงรายละเอียดของแอนติควิตี้

ฮัวเซียมีประวัติศาสตร์มายาวนาน และหลาย ๆ ตระกูลก็ไม่ได้มีอยู่เพียงในประวัติศาสตร์ บางตระกูลก็อยู่คู่มากับประวัติศาสตร์ยุคเริ่มต้นเมื่อราว ๆ ร้อยพันปีก่อนแล้วจนกระทั่งถึงปัจจุบัน พวกเราเรียกตระกูลเหล่านี้ว่า ตระกูลผู้สืบทอด

ท่ามกลางพวกเขาเหล่าไม่ว่าจะเป็นตระกูลซีเหมิน ตระกูลซางกวน ตระกูลมู่หรง ตระกูลเจียง และอื่น ๆ พวกเขาต่างก็เป็นตระกูลที่มีอารยธรรมสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน มรดกทางอารยธรรมที่แต่ละตระกูลสร้างนั้นกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ข้ามผ่านกาลเวลามา ยกตัวอย่างเช่น วิชาดาบ เป็นต้น

แอนติควิตี้นั้นมีความสัมพันธ์กับตระกูลผู้สืบทอดเหล่านี้เป็นอย่างมาก สมาชิกกิลด์ของพวกเขานั้นแทบทุกคนเป็นเด็กที่มาจากตระกูลที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้คนตระกูลผู้สืบทอดเหล่านี้ต่างก็ถูกเลี้ยงดูให้อยู่ห่างจากสังคม ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้สายเลือดของพวกเขาสืบต่อกันไปได้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกระแสการขึ้นหรือลงของโลกในแต่ละยุคเพื่อรอเวลาที่วันหนึ่ง ตระกูลของตนจะได้กลับมารวบทุกอย่างเอาไว้ในเงื้อมมือของตนเองเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว

เซียวเฟิงยังไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงเข้ามายังโลกของเกม ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นแท้ ๆ จุดประสงค์ของพวกเขา คืออะไรกันแน่?