บทที่ 156 เพลิงยมโลกผลาญวิญญาณ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 156 เพลิงยมโลกผลาญวิญญาณ

บทที่ 156 เพลิงยมโลกผลาญวิญญาณ

อาณาบริเวณอันกว้างใหญ่และลานหน้าวัง มีศิษย์พระราชวังข่ายดารามากมายและผู้อาวุโสราวสิบกว่าคนสวมผ้าคลุมหรูหราที่ประดับตราสัญลักษณ์ดวงดาวเปล่งรัศมีแรงกล้า ในบรรดาคนทั้งหมดมีคนผู้หนึ่งที่ดูเด่นเป็นสง่าคือบุรุษวัยกลางคนสวมผ้าคลุมสีทองพร้อมด้วยมงกุฎดวงดาว เขาผู้นี้หาใช่อื่นไกลแต่เป็นประมุขของพระราชวังข่ายดารา…เถี่ยอวิ๋นจื่อ

เวลานั้นทุกคนได้ยินคำพูดของไป๋หว่านฉิงซึ่งอัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังเข้ากระดูกดำกันถ้วนทั่ว คนฝ่ายพระราชวังข่ายดาราต่างมีสีหน้าตึงเครียด และแสดงอาการโกรธเคืองอย่างรุนแรงพร้อมกับตะโกนสาปแช่งเสียงอื้ออึง

“มันจะมากเกินไปแล้ว! พวกเราพระราชวังข่ายดารามีผู้บ่มเพาะถึงแปดหมื่นสี่พันคน คิดหรือว่าคนของข้าจะกลัวพวกเจ้าที่มีกันแค่สามคนน่ะ”

“พวกเจ้ารนหาที่ตายเอง! แค่พูดว่าพวกเจ้าสามคนจะมาทำลายพระราชวังข่ายดาราของข้าให้พินาศอย่างนั้นหรือ ฟังแล้วอยากหัวร่อให้ฟ้าถล่ม!”

“เหอะ! พวกเจ้าแอบดอดเข้ามาในพระราชวังข่ายดาราของข้าเอง ไม่มีทางหนีพ้นชะตากรรมทุกข์ทรมานไปได้หรอกรู้ไว้เสียด้วย ยังมีหน้ามาบอกว่าจะทำลายพระราชวังข่ายดาราให้พินาศ คนโง่เขลาปราศจากความเกรงกลัวอย่างพวกเจ้า สมควรตายแล้ว!”

“หุบปาก!” เถี่ยอวิ๋นจื่อผู้เป็นประมุขพระราชวังข่ายดาราตวาดโพล่งเสียงดังสนั่น ยามนี้เขาโกรธจนหน้าเขียว จากการประเมินด้วยสายตาของเขายามนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าพลังของพวกไป๋หว่านฉิงแกร่งกล้าเพียงใด ที่แน่ ๆ เมื่อไป๋หว่านฉิงเอ่ยพูดคำเหล่านั้นออกมา มันทำให้เขาถึงกับสบถออกมาในใจทันที ยิ่งเมื่อได้ยินพวกศิษย์เอะอะโวยวายเหมือนคนบ้าเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาต้องการฟาดสักฉาดสองฉาดให้มันตายไปเลย

ทันทีที่เถี่ยอวิ๋นจื่อระเบิดเสียงพูด เสียงเอะอะโวยวายทั้งหมดพลันเงียบกริบทันที เงียบเสียจนเกือบจะได้ยินเสียงเข็มหล่น บรรยากาศโดยรอบสงบและอึดอัดขึ้นมาทันที

ศิษย์ทุกคนจับตามองประมุขพระราชวังข่ายดาราของพวกเขาด้วยสีหน้ากังวลและสงสัย และดูเหมือนพวกเขาจะฉงนใจอย่างยิ่งด้วยว่าเหตุใดเถี่ยอวิ๋นจื่อจึงทำท่าเหมือนจะส่งเสริมฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังยับยั้งความฮึกเหิมของฝ่ายเดียวกัน แต่การบ่มเพาะพลังของพวกเขาไม่อาจสำเหนียกถึงพลังบ่มเพาะที่แท้จริงของชายชราที่อยู่ข้างกายไป๋หว่านฉิงได้เลย ดังคำกล่าวที่ว่า ‘คนโง่จึงไร้ซึ่งความกลัว’

เถี่ยอวิ๋นจื่อไม่ได้สนใจว่าศิษย์เหล่านี้จะคิดอย่างไร เขาสูดลมหายใจและหันไปมองไป๋หว่านฉิง จากนั้นจึงประสานมือแสดงคารวะต่อฝ่ายหลังมาแต่ไกล ขณะที่เขาทำท่าจะอ้าปากพูดนั้นเอง เสียงหัวเราะของใครสักคนก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

เป็นเสียงหัวเราะของชายหนุ่มผมแดงที่อยู่ข้างกายไป๋หว่านฉิงนั่นเอง ใบหน้าคมคายมีเสน่ห์และผมสีแดงดั่งเปลวไฟ ยามนี้เขาแหงนหน้าเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นสนั่นไปทั่วท้องฟ้า กลิ่นอายแห่งความโอหังพุ่งวาบออกมาจากร่างกาย

“น้าเล็ก ท่านจะพูดอะไรกับมดปลวกพวกนี้อีกเล่า ในเมื่อพวกมันกล้าจับตัวน้องซีซีของข้าเพื่อจะให้นางไปเป็นศิษย์ ฉะนั้นพวกมันทั้งหมดสมควรตาย!” ผู้พูดพลันเหลือบไปมองผูุ้บ่มเพาะของนิกายพระราชวังข่ายดาราด้วยความดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะบอกพวกเจ้าทุกคนก็ได้ว่าวันนี้คนทั้งโลกก็ไม่มีใครช่วยพวกเจ้าได้ ปล่อยตัวน้องสาวข้าเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะยอมให้พวกเจ้าตายอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกคนได้ลิ้มรสความรู้สึกเวลาที่วิญญาณของพวกเจ้าถูกเผาผลาญทรมานด้วยเพลิงยมโลก!”

โอหัง!

จองหอง!

กลิ่นกายที่แผ่ออกมาจากร่างกายและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามของชายหนุ่มผมแดงเพลิงดูราวกับอสูรในร่างคน ทำให้เซี่ยจ้าน…นายน้อยแห่งตระกูลเซี่ยยอมเชื่อฟังแต่โดยดี

“สามหาว! มากไปแล้ว! จะฆ่าพวกเราทุกคนอย่างนั้นหรือ ข้าว่าสมองของเจ้าคงจะเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ!” ศิษย์ของพระราชวังข่ายดาราที่ทนไม่ไหวต่อไป สบถโต้ตอบอย่างเดือดดาล

“สมองข้าเพี้ยนอย่างนั้นหรือ…รนหาที่ตาย!” ชายหนุ่มผมแดงหรี่ตาลง ขณะนั้นภาพเงาของแกนทองคำหยินหยางได้แผ่รัศมีเรืองรองสดใสออกมาเหนือศีรษะ ขนาดของมันใหญ่พอ ๆ กับศีรษะมนุษย์ ส่วนบนมีเทพอสูร ระลอกคลื่นถาโถม ภูเขาลูกใหญ่ ก้อนเมฆดำทะมึน อัคคี วารีและยังมีมังกร พยัคฆ์ กระเรียนเหินทะยาน พายุ…ปรากฏการณ์ประหลาดราวกับสิ่งมีชีวิตอันโอ่อ่าและยิ่งใหญ่

เปรี้ยงงงง!

เมื่อภาพเงาเลือนรางของแกนทองคำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทันใดนั้นพื้นที่รอบกายชายผมแดงก็เริ่มไหวสั่น ฉับพลันมวลอากาศน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งขึ้น ส่งผลให้ก้อนเมฆและกลุ่มหมอกในรัศมีหนึ่งพันลี้กระจายหายวับไปในอากาศ ต่อมาจึงได้บังเกิดเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขึ้นมา

น่าครั่นคร้ามแค่ไหน! แกนทองคำเพียงหนึ่งกลับประจุเต๋ารู้แจ้งถึงสิบเก้าอัน! คนที่จับตามองมาแต่ไกล เฉินซีหรี่ตาลง ในใจไหววูบด้วยความตกตะลึงอย่างมาก

เมื่อผู้บ่มเพาะก้าวสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ในตัวของผู้บ่มเพาะจะเกิดการผสานระหว่างจิตวิญญาณกับปราณแท้เข้าด้วยกัน ผู้บ่มเพาะหลายคนที่ถ่องแท้ในเต๋ารู้แจ้งจะปรากฏแกนทองคำให้เห็น และยิ่งถ่องแท้ในเต๋ารู้แจ้งมากขึ้นเท่าไร พลังของแกนทองคำก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น หากผู้นั้นก้าวต่อไปอีกขั้นจนเข้าใจในเขตแดนเต๋า พลังของแกนทองคำก็จะเพิ่มขึ้นได้สองถึงสามเท่า!

เฉินซีเคยได้เห็นแกนทองคำของซูเหลิ่งมาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะนั้นซูเหลิ่งเพิ่งถ่องแท้ในเต๋ารู้แจ้งเพียงหนึ่งเดียวชื่อว่า ‘มรรคายมโลก’ และเมื่อมรรคายมโลกผสานอยู่ภายในแกนทองคำของเขา จึงเกิดเป็นพลังลมหม่นมัวดูเป็นสีเทาทว่ามิใช่สีเทา

หากชายคนนี้เข้าใจในเขตแดนเต๋าเมื่อใด ความน่าเกรงขามของเขาจะมีมากกว่าเขตแดนเต๋ากร่อนโลหิตของหลัวซิ่วเป็นสิบเท่าเลยด้วยซ้ำ…บัดนี้เฉินซีได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งอันอ่อนด้อยของตนเอง

ครั้งหนึ่งจี้อวี๋เคยบอกกับเขาว่า อย่าคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะเพียงคนเดียว เพราะในโลกนี้มีอัจฉริยะมากมายเกินกว่าที่ตัวเขาจะจินตนาการ และคนที่มีพรสวรรค์ที่ดีกว่าเขามีอีกมากมายนับไม่ถ้วนเปรียบได้ดั่งเม็ดทรายก้นแม่น้ำ

ความแข็งแกร่งของชายผมแดงเพลิงถือเป็นข้อพิสูจน์คำพูดเหล่านี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ฟิ้วววว!

ทันทีที่เค้าโครงแกนทองคำมาปรากฏ คนผมแดงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และยามใดที่เท้าก้าวออกไปจะมีดอกบัวสีแดงฉานปานโลหิตผุดขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเสมอ จนกระทั่งเขาเดินไปปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์พระราชวังข่ายดาราปากกล้าคนนั้น เขาพลันเงื้อฝ่ามือขึ้นก่อนจะฟาดเปรี้ยงลงไป บดขยี้ศิษย์คนตรงหน้าจนแหลกละเอียดในพริบตา หลังจากนั้นกลุ่มควันสีดำจึงพวยพุ่งขึ้นและชายหนุ่มผมแดงก็เอื้อมมือออกไปคว้าร่างโปร่งแสง ร่างนั้นพยายามดิ้นรนสุดชีวิต แน่นอนว่าร่างโปร่งแสงนั้นคือวิญญาณของศิษย์ปากกล้าคนนั้นนั่นเอง

“เจ้ามันปากกล้ารนหาที่ตายแท้ ๆ เอาล่ะ ต่อไปเจ้าจะได้ลิ้มรสความรู้สึกที่ถูกเพลิงยมโลกเผาวิญญาณ ข้าจะทำให้เจ้าไม่อาจอยู่และไม่อาจตาย จากนั้นเจ้าก็จะหมดอาลัยตายอยากจมอยู่กับความทนทุกข์ทรมาน!” จบคำพูด ร่างของชายผมแดงเพลิงก็หายวับราวกับภูตผีกลับไปปรากฏที่ข้างกายของไป๋หว่านฉิง ขณะที่เส้นแสงดำทะมึนพร้อมด้วยลูกคลื่นเปลวเพลิงพุ่งวาบออกจากแกนทองคำที่อยู่เบื้องบนคนผู้นั้นทันที มันเข้าปกคลุมดวงวิญญาณเพื่อชำระล้างก่อนเผาผลาญดวงวิญญาณของศิษย์พระราชวังข่ายดาราผู้เคราะห์ร้าย

การเคลื่อนไหวของชายผมแดงเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มลงมือเคลื่อนไหวจนกระทั่งถึงตอนที่ใช้ทักษะวิชาเพลิงยมโลกผลาญวิญญาณกินเวลาเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น อย่าว่าแต่บรรดาศิษย์ของพระราชวังข่ายดาราที่ไม่ทันตั้งตัว แม้แต่เถี่ยอวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสทุกคนของพระราชวังข่ายดาราก็ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือได้ทัน

“อ๊ากกก!!” เสียงกรีดร้องโหยหวนอันน่าสังเวชดังขึ้นกลางแสงแปลบปลาบของเพลิงยมโลกดำทะมึน ดวงวิญญาณโปร่งแสงนั้นกำลังพยายามกระเสือกกระสนดิ้นรน ลำตัวโค้งงอและหลบเลี่ยงด้วยการบิดตัว ภาพที่โหดเหี้ยมอำมหิตนี้ทำให้ผู้คนที่มองดูแต่ไกลถึงกับขนหัวลุกและเสียวสันหลังวาบ

“ฮ่า ๆๆ เสียงร้องของเจ้าช่างไพเราะเพราะพริ้งจริง ๆ!” ชายผมแดงเพลิงหลับตาลง ปากพึมพำราวกับคนที่กำลังละเมอ ใบหน้าบ่งบอกถึงความร้ายกาจทว่ามีเสน่ห์แสดงออกถึงความรื่นรมย์อย่างหาใดเปรียบ

“บัดซบ! มันจับศิษย์พี่ใหญ่โจวอวี๋ไว้ พวกเรารีบไปฆ่ามันเร็ว!”

“ถูกต้อง พลังของมันแค่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น พวกเราลงมือจู่โจมไปพร้อมกัน ฆ่ามันเสียและพาดวงวิญญาณของศิษย์พี่ใหญ่โจวอวี๋กลับมา!”

“ฆ่ามัน!”

เมื่อเห็นโศกนาฏกรรมประจักษ์แก่สายตา นัยน์ตาของศิษย์พระราชวังข่ายดาราต่างก็แดงก่ำด้วยความสลดใจขณะที่เปล่งเสียงตะโกนอย่างโกรธแค้น ก่อนที่คนทั้งกลุ่มจะจู่โจมไปด้วยกัน ทว่ากลับถูกเถี่ยอวิ๋นจื่อผูุ้เป็นประมุขนิกายออกมายับยั้งอย่างหนักแน่นอีกครั้ง

ใบหน้าของเถี่ยอวิ๋นจื่อในยามนี้ก็หม่นหมองสุดขีด เส้นเลือดที่ขมับปูดโปนออกมาอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวแทบจะระงับไฟแห่งโทสะในใจเอาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน และเขาก็ไม่ได้อยากสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้น จากนั้นก็รวมพลังผู้อาวุโสและศิษย์พระราชวังข่ายดาราทุกคนใช้ชีวิตเป็นเดิมพันต่อสู้กับคนทั้งสามให้ตายกันไปข้างหนึ่งด้วยซ้ำ

ข้าควรทำอย่างไร?

ทำไมท่านอาจารย์ลุงไฉ่เส้าถึงไม่ตั้งค่ายกลพิฆาตเสียที?

ขืนปล่อยให้เป็นอยู่ต่อไปเช่นนี้ พระราชวังข่ายดาราจะเป็นอันตราย!

เถี่ยอวิ๋นจื่อรู้ตัวก่อนแล้วว่าแม้พวกเขาทุกคนจะดาหน้ากันออกไป แต่ก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้กับชายชราของฝ่ายไป๋หว่านฉิงได้เลย ฉะนั้นก่อนหน้าเขาได้ตัดสินใจอนุญาตให้ไฉ่เส้าซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาตั้งค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่มีของพระราชวังข่ายดารา!

อันว่าค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดารานั้นเป็นค่ายกลคุ้มนิกายที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณของพระราชวังข่ายดารา เว้นเสียแต่จะเกิดกรณีที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย จะไม่มีการเปิดใช้งานพร่ำเพรื่อ ด้วยในการเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่แต่ละครั้งจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากมหาศาล ซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าพันปีกว่าพระราชวังข่ายดาราจะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาจากการสูญเสียทรัพยากรเพื่อการเปิดใช้งานมันสักครั้ง

แต่ก็คุ้มค่าเพราะมูลค่าที่ต้องจ่ายนั้นหนักหนาเอาการ ค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดารานั้นมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวมาก เมื่อเปิดใช้งานเต็มกำลัง ค่ายกลนี้สามารถเชื่อมโยงพลังร้ายกาจของมวลหมู่ดวงดาวบนท้องฟ้า กลั่นออกมาเป็นคลื่นอัสนีดาราพิฆาตที่รุนแรงเพื่อห้ำหั่นปีศาจและทำลายเหล่าเทพ ต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี หากตกอยู่ท่ามกลางค่ายกลที่ว่านี้แล้ว ก็จะถูกทำลายสิ้นจนไม่เหลือร่องรอย!

ชายผมแดงเพลิงแบมือและยื่นไปข้างหน้าก่อนจะทำท่าเหมือนกำลังขยี้บางอย่าง ทันใดนั้นดวงวิญญาณของศิษย์ที่ชื่อโจวอวี๋ก็ถูกบีบจนสลายไปในอากาศ จากนั้นคนต้นเหตุก็เงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังเถี่ยอวิ๋นจื่อ “ข้าจะนับถึงสาม ถ้าเจ้ายังไม่ปล่อยซีซีมาก็อย่าหาว่าพวกเราไร้ความปรานี!”

“หนึ่ง!”

“สอง!”

“เดี๋ยวก่อน! ผู้อาวุโสเจียงชิง ปล่อยนาง!” เถี่ยอวิ๋นจื่อหันกลับไปทางสตรีวัยกลางคนที่ขณะนี้นางมีสีหน้าหมองคล้ำ สองข้างแก้มผอมตอบ เสียงที่พูดกับนางเย็นชาขณะเดียวกันก็เร่งเร้าไปพร้อมกัน “เร็ว! ปล่อยนางไปก่อนและค่อยตามทีหลัง ท่านอาจารย์ลุงไฉ่เส้าตั้งค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราแล้ว พวกเจ้ายังต้องกลัวว่าจะฆ่าพวกมันสามคนไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

“ฮึ่ม!” เจียงชิงเค้นสียงคำรามลอดไรฟัน แต่ถึงกระนั้นนางรู้ดีว่าสถานการณ์กำลังคับขัน จึงสะบัดแขนเสื้อขวับ ฉับพลันเด็กหญิงตัวเล็กอายุราวแปดถึงเก้าขวบ ผมถักเปียได้ปรากฏตัวเบื้องหน้าเจียงชิงทันที

เพียงได้เห็นแวบเดียว เฉินซีจดจำได้ทันทีว่าเด็กหญิงตัวน้อยนี้คือซีซี เคราะห์ดีที่เด็กน้อยดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด จะมีก็เพียงสีหน้าหมองเศร้าและอิดโรยเล็กน้อย ปราศจากชีวิตชีวาและไม่ซุกซนดังเดิม

“อาจารย์ มีอะไรจะใช้ศิษย์เจ้าคะ” ซีซีเงยหน้าถาม เด็กน้อยมีท่าทางเกรงกลัวสตรีวัยกลางคนที่อยู่ต่อหน้าเป็นอันมาก

“ซีซี!” ขณะนั้นไป๋หว่านฉิงจ้องมองเด็กน้อยซีซีมาจากระยะไกล น้ำตาพลันไหลรินออกมาดวงตาทั้งสองของนางทันทีพลางส่งเสียงเรียกอย่างเศร้าสร้อย

ซีซีสะดุ้งเฮือกตัวแข็งทื่อหันไปทางเสียงเรียกอย่างช้า ๆ เมื่อเด็กน้อยมองเห็นไป๋หว่านฉิงพลันความประหลาดใจผสานยินดีฉายวูบออกจากดวงตาคู่นั้น จากนั้นสีหน้าแสดงออกถึงความหวาดกลัวและเริ่มโอดครวญสะอื้นไห้ “ท่านแม่ หนีไป…เร็ว! มิฉะนั้นท่านจะถูกฆ่า! อาจารย์จะฆ่าท่านแม่! หนีไป!”

“เด็กโง่ ในเวลาแบบนี้ยังจะเป็นห่วงแม่อีก…” เมื่อนางเห็นดังนี้ ในอกของไป๋หว่านฉิงอัดอั้นไปด้วยความเศร้าระคนโกรธเคือง นางจินตนาการไม่ออกเสียเลยว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาความอยุติธรรมและทุกข์ทรมานที่ลูกสาวของนางได้รับมีมากเพียงใดจนถึงขนาดที่เด็กน้อยซีซีแสดงสีหน้าท่าทางหวาดกลัวออกมาถึงเพียงนี้

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นชายชราซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดข้างกายไป๋หว่านฉิง พลันยื่นมือออกไปข้างหน้าและทำท่าฉวยคว้าไว้ ฉับพลันนั้นเองชั้นอากาศก็ไหวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนที่จะค่อยแตกออกทีละชั้น ๆ ฝ่ามือขนาดมหึมาไร้รูปร่างปรากฏขึ้นบนอากาศห่างออกไปราวหกลี้ จากนั้นก็คว้าตัวซีซีกลับมาทันที

ความว่องไวราวกับทักษะเคลื่อนย้ายได้รวดเร็วนัก ทำให้เถี่ยอวิ๋นจื่อและเจียงชิงไม่ทันตั้งรับอย่างทันท่วงที รู้แต่เพียงว่าหากชายชราปริศนาเคลื่อนไหวตั้งแต่แรก คงสังหารผู้คนของพระราชวังข่ายดาราจนหมดสิ้นไปนานแล้ว!

บางทีอาจเป็นเพราะมีเด็กน้อยซีซีอยู่ในเงื้อมมือของพระราชวังข่ายดารา เขาจึงไม่เคลื่อนไหวตั้งแต่แรกก็เป็นได้

“ฮือออ!” บัดนี้เด็กน้อยซีซีกลับคืนสู่อ้อมกอดของไป๋หว่านฉิงผู้เป็นมารดาแล้ว และดูเหมือนนางจะไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นความจริงจึงเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาดังลั่น

“ไม่ต้องร้อง…หยุดร้องได้แล้ว แม่มารับเจ้ากลับบ้านแล้ว” น้ำตาของไป๋หว่านฉิงรินไหลไม่ขาดสายเช่นกัน ครู่ต่อมานางก็ผลักฝ่ามือออกทำให้ซีซีหลับสนิทลงทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมองทุกคนฝ่ายพระราชวังข่ายดารา สีหน้าเย็นชายิ่งนัก

บัดซบแล้วอย่างไร!

เมื่อเห็นดังนั้นจึงทำให้หัวใจของเถี่ยอวิ๋นจื่อกระตุกอย่างแรง เดิมทีเขาหวังที่จะใช้ชีวิตของเด็กน้อยซีซีเป็นประกันเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้สักระยะหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดเลยว่าชายชราแปลกหน้าจะเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก เสียจนตนไม่สามารถตอบโต้ได้ทัน ซึ่งเกินกว่าที่คิดไว้มากนัก

ในเวลาเดียวกัน ความหนาวเหน็บจนเข้าระดูกดำพลันพุ่งวาบจับขั้วหัวใจ ประหนึ่งตกลงสู่หล่มลึกที่ก้นหลุมเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ‘หากตาแก่นั่นจู่โจมตั้งแต่แรกข้าไม่ตายเสียนานแล้วอย่างนั้นหรือ?’

อย่าว่าแต่เถี่ยอวิ๋นจื่อเลย เวลานี้หัวใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมถึงเฉินซีและเป่ยเหิงที่เขม้นมองอยู่ในจุดที่กำลังซ่อนตัว ต่างก็ไหววูบไปด้วยความหวาดกลัวทันทีที่ได้เห็นการจู่โจมของชายชรา

ความรวดเร็วในการจู่โจมเกินขอบเขตที่พวกเขาตระหนักรู้ได้เสียแล้ว!

จะมีก็เพียงเป่ยเหิงคนเดียวที่พอจะรู้อย่างราง ๆ ว่าชายชราผู้นี้มีร่องรอยของการเข้าใจถ่องแท้ในมหาเต๋าแห่งมิติ เป็นเหตุให้สามารถจู่โจมในลักษณะฉีกอากาศได้ตามปรารถนา อีกทั้งความรวดเร็วก็มากกว่าทักษะเคลื่อนย้ายมิติถึงสองเท่า

“ไป๋กัง ท่านลุงเถิง จัดการ! ฆ่าคนพวกนี้ให้หมด!” ไป๋หว่านฉิงเค้นเสียงพูดที่แฝงเจตนาสังหารและเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง

“น้าเล็ก ไม่ต้องห่วง วันนี้พวกมันจะไม่มีใครหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!” ชายผมแดงเพลิงที่ถูกเอ่ยนามว่าไป๋กังหัวเราะเสียงเหี้ยม ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ของเขาเผยเจตนาสังหารอำมหิตอย่างไม่มีปกปิด

“นายหญิง จบเรื่องวันนี้แล้วท่านต้องตามข้ากลับทันที มิฉะนั้น…” ชายชรากล่าวยังไม่จบประโยคดี ไป๋หว่านฉิงพลันตัดบททันที “อย่าห่วง ข้าพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้นแน่นอน!”

“ดี” ชายชราพยักหน้าหงึก จากนั้นดวงตาของเขาที่ตามปกติแคบราวกับกรีดเป็นเส้นตรงกลับเบิกกว้างทันที แสงเย็นพลันวาบประหนึ่งสายฟ้าสองสายพุ่งอย่างรุนแรงออกมาทันที ขณะที่ทั่วร่างของชายชราปรากฏรังสีสว่างที่อาจทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงสีสันไปอย่างน่าสะพรึงกลัววาบออกมาพร้อมกับเสียงที่ดังเปรี้ยงปร้าง ทันใดนั้นทั่วบริเวณในระยะร้อยยี่สิบจั้งรอบตัวก็มีสภาพดั่งท้องสมุทร ด้วยกระแสคลื่นม้วนตัวระลอกแล้วระลอกเล่า ฉีกมิติออกประหนึ่งลูกคลื่นแตกกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า

ชายชราแปลกหน้าที่เอาแต่นิ่งเงียบมานานบัดนี้กลับกลายเป็นคนละคน ท่าทางทรงอำนาจขณะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ผู้คนที่อยู่ที่นั่นไม่อาจยับยั้งเศษเสี้ยวความรู้สึกรันทดสิ้นหวังและอับจนหนทางที่เกิดขึ้นในหัวใจได้ ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่านง้ำค้ำฟ้า เหลือวิสัยจะไม่ไหวหวั่น เหลือวิสัยจะฟันฝ่า!