บทที่ 157 เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 157 เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

บทที่ 157 เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ!

แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างออกไปถึงยี่สิบห้าลี้ แต่เฉินซีก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งกำลังกดทับลงมาหาเขา จนทำให้แขนขาและกระดูกต่างก็หนักอึ้งและหายใจอย่างยากลำบาก

“ทรงพลังยิ่งนัก! อย่างน้อยคนผู้นี้ต้องมีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก และเขาได้พิชิตทัณฑ์สวรรค์แห่งมิติแล้ว มิฉะนั้นการหยั่งรู้มหาเต๋าแห่งมิติในระดับที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้จะเป็นเรื่องยากยิ่ง!” สายตาที่เร่าร้อนของเป่ยเหิง เผยให้เห็นถึงความปรารถนาอันไร้ขอบเขต

เฉินซีเองก็ได้รู้มาว่า ในบรรดาทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าแบบ ทัณฑ์สวรรค์ที่หก ‘ทัณฑ์สวรรค์แห่งมิติ’ ที่ฟาดหน่ำลงมาด้วยสายฟ้าแห่งมิติ แฝงไปด้วยอานุภาพของการฉีกกระชากและบดขยี้มิติอย่างไร้ขอบเขต จึงทำให้มันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

แต่ตราบใดที่สามารถพิชิตมันได้อย่างปลอดภัย ความเชี่ยวชาญในเจตจำนงเต๋าแห่งมิติของผู้บ่มเพาะจะบรรลุไปสู่ระดับใหม่ เมื่อเข้าใจเจตจำนงเต๋าแห่งมิติได้อย่างถ่องแท้ คนผู้นั้นก็จะสามารถฉีกมิติได้ตามใจปรารถนา และสามารถย่นมิติเพื่อเคลื่อนย้ายไปได้ถึงสองพันห้าร้อยลี้ในพริบตา

เห็นได้ชัดว่า ชายชราที่อยู่ไกลออกไปซึ่งสามารถยืนหยัดอย่างภาคภูมิในมิติที่ผันผวนและสร้างหายนะราวกับวิบัติฟ้าดินได้ย่อมพิชิตทัณฑ์สวรรค์แห่งมิติและหยั่งถึงต่อมหาเต๋าแห่งมิติอย่างลึกซึ้งแล้ว

‘เมื่อชายชราคนนี้ลงมือ พระราชวังข่ายดาราจะต้องเผชิญกับจุดจบแน่แท้…’ เฉินซีแอบทอดถอนหายใจ ถ้าเขามีความแข็งแกร่งเช่นนี้ เขาคงทำลายล้างตระกูลซูไปนับครั้งไม่ถ้วน และไม่ต้องทนมาจนถึงตอนนี้

“ฮึ่ม! ทำกันเกินไปแล้ว! ต่อให้เป็นเซียนปฐพี แต่เมื่อเจ้ากล้ารุกรานพระราชวังข่ายดาราของข้า ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนจะต้องฝังร่างอยู่ที่นี่ตลอดไป!” ในขณะนั้นเอง เกิดเสียงตะโกนที่ดังราวกับฟ้าร้องเหนือพระราชวังอันไกลโพ้น จากนั้นชายชราในชุดคลุมหรูหราที่มีตราสัญลักษณ์สีทอง ใบหน้าที่มีรอยย่นและเบ้าตาลึกราวกับหลุมดำ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาถือไม้ตะพดหยกที่ส่องแสงสีเงินสว่างไสวขณะที่มันเปล่งแสงเย็นยะเยือกนับไม่ถ้วน

ด้วยท่าทางในมือของเขา ลำแสงสาดออกมาโครมครามก่อนจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าที่แต่เดิมเป็นสีฟ้าสดใสก็ตกสู่ความมืดมิดในทันที ซึ่งเผยให้เห็นดวงดาวที่มีขนาดเท่ากำปั้นที่พร่างพราวระยิบระยับจำนวนนับไม่ถ้วน

โอม~

คลื่นเสียงที่เสียดหูของกระแสลมที่เสียดสีกันอย่างรุนแรง ดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้าเหนือภูเขาดาวตกในทันที และที่แฝงมากับเสียงนี้คือลำแสงที่เจิดจรัสทั้ง 107 สาย ที่พุ่งออกจากมายอดเขาทั้ง 107 ลูกอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าที่มืดสนิทและปะทะเข้ากับดวงดาวอันนับไม่ถ้วน

ทันใดนั้น ฟ้าดินทั้งหมดก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

ค่ำคืนได้มาเยือน มันจู่โจมพวกเขาด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ราวกับว่าพวกเขาได้เข้าสู่โลกอันไร้ขอบเขตของทางช้างเผือก ภูเขาดาวตกถูกปกคลุมด้วยแสงดาวที่สง่างาม เยือกเย็น เงียบสงัด และเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ

จู่ ๆ พระราชวังข่ายดาราและยอดเขาหมื่นดาราจักรก็ได้หายไป หรือแม้กระทั่งเถี่ยอวิ๋นจื่อ เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสก็หายไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก ราวกับระเหยไปในอากาศ

“หืม? ที่แท้มันคือค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดารา ชายชราที่อยู่ด้านข้างของไป๋หว่านฉิง ที่ถูกเรียกว่าท่านลุงเถิงมีสีหน้าเย็นชา และสายตาที่เขาจ้องมองไปยังทุกสิ่งเผยให้เห็นร่องรอยความตึงเครียด

ดวงตาของเขาที่มองลงไปทุกอย่างเผยให้เห็นถึงความจริงจัง

“ท่านลุงเถิง ค่ายกลนี้ทรงพลังมากเลยหรือ?” สายตาของไป๋หว่านฉิงกวาดไปโดยรอบ ทันใดนั้น นางตระหนักได้ว่า ตอนนี้กลุ่มของนางยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ว่างเปล่า และมีประกายแสงของดวงดาวหมุนรอบตัวพวกเขา ขณะที่มันปล่อยกลิ่นอายที่เป็นอันตรายถึงตายออกมา จนทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกหวาดวิตก

“ท่านน้าเล็ก อย่าได้กังวลไป ถึงแม้ค่ายกลนี้จะทรงพลังจนสามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีได้ แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดต่อผู้อาวุโสไป๋เถิง หลังจากที่ค่ายกลพังทลาย ข้าจะสะกัดวิญญาณของไอ้สารเลวพวกนี้ออกมาอย่างแน่นอน ทั้งที่เป็นดั่งมดปลวกกลับยังกล้าที่จะท้าทายเรา พวกมันช่างจองหองและไม่ประมาณตนยิ่งนัก” ไป๋กังที่มีผมสีแดงเข้มเหมือนเปลวเพลิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม และดูเหมือนว่าเขาจะมั่นใจในตัวชายชราที่อยู่เคียงข้างเป็นอย่างมาก

“หึ ๆๆ ทั้งที่เจ้ากำลังจะตาย แต่ยังกล้าโอ้อวดอย่างไร้ยางอายอีกหรือ? ข้าจะให้พวกเจ้าทุกคนได้ลิ้มรสพลังของอัสนีดาราพิฆาตที่จะฟาดลงมาพร้อมกันในเร็ว ๆ นี้ ครั้งนี้พวกเจ้าทุกคนไม่อาจหนีไปได้ โดยเฉพาะไอ้แก่นั่น ข้าจะจับมันกลั่นและจองจำมันให้อยู่ภายใต้ภูเขาดาวตกกลายเป็นสุนัขเฝ้าบ้านของพระราชวังข่ายดาราของข้าตลอดไป!” เสียงของเถี่ยอวิ๋นจื่อดังก้องไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน และเสียงของเขาก็เผยให้เห็นถึงความขุ่นเคืองอย่างไม่รู้จบ เจือด้วยความดื้อรั้นและหยิ่งยโส

ปัง!

ไป๋เถิงขมวดคิ้วขณะที่มือของเขาคว้าพื้นที่ข้างหน้าอย่างดุเดือด ทำให้เกิดรอยแยกขนาดมหึมาฉีกออกในทันทีท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน และร่างที่มองเห็นได้ราง ๆ ได้หายไปที่ด้านข้างของรอยแยกในทันที

“ฮึ่ม! เจ้าช่างหนีได้รวดเร็วดีนี่! แต่เจ้าคิดว่าค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราจะสามารถกักขังข้าได้หรือ?” ไป๋เถิงคำรามอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปโดยรอบ ทันใดนั้น มีไม้ไผ่สีเขียวมรกตที่ยาวสี่ฉื่อปรากฏขึ้นในมือของเขา

ไม้ไผ่สีเขียวมรกตนี้โค้งงอดั่งอสรพิษหรือมังกร มีอักขระที่ลึกล้ำนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากมัน ก่อตัวเป็นดอกบัวสีเขียวขจีจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังบานสะพรั่ง บนดอกบัวทุกดอก ต่างก็มีนักพรตเต๋าที่สวมหมวกนักปราชญ์และชุดคลุมโบราณนั่งตัวตรงอยู่ กิริยาของพวกเขาแตกต่างกันไป บ้างก็หลับตาและครุ่นคิด บ้างก็สวดมนต์ หรือบางคนก็ถือกระบี่ร่ายรำไปในอากาศ… ดอกบัวสีเขียวขจีเหล่านี้ดูเหมือน ได้ก่อโลกใบเล็กทั้งใบขึ้นมาจริง ๆ และลำแสงใสกระจ่างก็พวยพุ่งออกมาจากมัน ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดท่ามกลางท้องฟ้า!

“วิเศษนัก! เมื่อสมบัติอมตะของผู้อาวุโสไป๋เถิง ‘ไผ่เงาบัวเขียวขจี’ ถูกชักออกมา จะมีผู้ใดสามารถต้านทานได้อีก” ไป๋กังปรบมือขณะที่เขากล่าวชมเชย และดวงตาของเขาฉายความชื่นชมอันร้อนแรงอย่างไร้ขอบเขต

ไป๋หว่านฉิงก็มีท่าทางผ่อนคลายลงเช่นกัน

“สมบัติอมตะ! นั่นคือสมบัติอมตะอย่างแท้จริง! ภายในสมบัติอมตะมีโลกเป็นของตัวมันเองซึ่งเต็มไปด้วยอำนาจวิเศษมากมาย การได้ครอบครองสมบัติเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คน ๆ หนึ่งสามารถอาละวาดอย่างไร้ข้อจำกัดในโลกใบนี้!” ที่จุดซ่อนซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป หัวใจของเป่ยเหิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในขณะที่เขาอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

เฉินซีเองก็ตกอยู่ในภวังค์เช่นเดียวกัน ‘หากข้าสามารถซ่อมแซมเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ ข้าสงสัยนักว่าน้าไป๋ได้หาผู้ช่วยคนนี้มาจากไหน เขาครอบครองสมบัติอมตะแท้จริงซึ่งมันยากเกินกว่าจะเชื่อได้…’

ในขณะนี้ สายฟ้าจำนวนมากที่ควบแน่นจากพลังดาราจักรก็ได้ฟาดลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน พวกมันดูคล้ายอสรพิษสีเงินที่เต้นรำอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางท้องฟ้าและถาโถมลงมาดั่งน้ำตกสีเงินจากฟากฟ้า

ทันใดนั้น ท้องฟ้าเหนือภูเขาดาวตกก็เต็มไปด้วยประกายสายฟ้า ทำให้ฟ้าดินถูกปกคลุมไปด้วยไอเย็นที่น่าสะพรึงกลัวในทันที

ปัง! ปัง! ปัง!

สายฟ้าจำนวนมหาศาลฟาดลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งดูเหมือนว่าท้องฟ้ากำลังพังทลาย มิติแตกเป็นเสี่ยง ๆ ภูเขากลายเป็นเถ้าธุลี และแผ่นดินก็แยกออกจากกันราวกับภูเขาไฟระเบิด ปรากฏการณ์เหล่านี้ราวกับจุดจบของโลกได้มาถึง พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในอัสนีดาราพิฆาตนั้นน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด

ฟิ้ว!

เป่ยเหิงเหวี่ยงมือของเขาอย่างสบาย ๆ กระจกทองเหลืองที่แกะสลักด้วยลวดลายหนาแน่นก็บินออกจากมือของเขา และลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาขณะมันหมุนวน เมื่อพื้นผิวของกระจกสะท้อนแสง ม่านแสงสีทองก็ได้แผ่พุ่งออกมาปกคลุมเฉินซีและเป่ยเหิงไว้ภายใน ซึ่งมันดูเหมือนเปลือกไข่ที่หนาแน่นพร้อมกับกลิ่นอายของสมบัติที่อบอวลอยู่โดยรอบ

“กระจกดาราปฐพีที่ห้าของข้านี้เป็นกึ่งสมบัติอมตะ น้องเฉินจงอยู่ภายในและอย่าได้ขยับเขยื้อน อัสนีดาราพิฆาตนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก และอานุภาพของมันก็ไม่ด้อยไปกว่าสายฟ้าที่ฟาดลงมาเมื่อครั้งที่ข้าพิชิตระลอกแรกของทัณฑ์สวรรค์ ข้าจะหมุนเวียนปราณเซียนของข้าด้วยกำลังทั้งหมด และมันควรจะสามารถปกป้องพวกเราทั้งคู่ไม่ให้ต้องล้มตาย แต่ก็เป็นการยากที่จะหลบหนี เว้นแต่เราจะรอให้ค่ายกลขนาดใหญ่นี้หยุดลง” สีหน้าของเป่ยเหิงค่อนข้างตึงเครียดขณะที่เขาสั่งการอย่างรวดเร็ว

“ครั้งนี้ข้าทำให้พี่ใหญ่เป่ยต้องตกที่นั่งลำบากแล้ว และข้าจะจดจำหนี้นี้ไปตราบนานเท่านาน ภายภาคหน้าหากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการให้น้องชายคนนี้ทำเพื่อท่าน หากมันจำเป็นข้าจะไม่ลังเลที่จะสละชีวิตแม้แต่น้อย” เฉินซีกล่าวด้วยความรู้สึกละอาย

“น้องเฉิน เจ้ากำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่? ถ้ายังกล่าวเช่นนี้อีกต่อไป ข้าจะทิ้งเจ้าไว้และไม่สนใจเจ้าอีกต่อไป” เป่ยเหิงจ้องเขม็งและแสร้งเป็นโกรธเกรี้ยว แต่ในใจของเขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ ก็คือคำพูดเช่นนี้ที่มาจากเฉินซี

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ตูมมมมม!

อัสนีดาราพิฆาตฟาดลงมากระแทกกระจกดาราปฐพีที่ห้า และระเบิดอย่างรุนแรงจนทำให้ม่านแสงสีทองที่ปกคลุมคนทั้งสองสั่นสะเทือน แม้ว่ามีม่านแสงกั้นอยู่ระหว่างพวกเขา แต่เฉินซีก็ยังรู้สึกได้ว่า ผิวหนังของเขามีความรู้สึกเหน็บชาและสั่นสะเทือนอยู่เบา ๆ

“หืม?” ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกได้ว่าอำนาจของสายฟ้าที่ถูกลดทอนลงมากแล้วกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ผิวหนังของเขา และปราณจ้าววิญญาณที่แฝงอยู่ในเลือดเนื้อ และผิวหนังของเขา ก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันใด

‘อัสนีดาราพิฆาตนี่… แก่นแท้ของมันคือพลังดาราจักรใช่หรือไม่? มันคือปราณเดียวกับที่วิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพของข้าต้องการดูดกลืนไม่ใช่หรือ?’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ ขณะที่ความคิดอันบ้าบิ่นได้พรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเขา และทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้น มันก็ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป

เมื่ออัสนีดาราพิฆาตฟาดลงมาอีกครั้ง เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะยื่นมือออกไปแตะตรงม่านแสงสีทอง

ปัง!

ร่างกายของเฉินซีสั่นสะท้าน ขณะที่เขารู้สึกถึงพลังดาราจักรที่รุนแรงพุ่งเข้าสู่เลือดเนื้อของเขา ราวกับสัตว์ร้ายที่หลุดจากพันธนาการ และกระโจนเข้าใส่อย่างรุนแรง ฉีกเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และผิวหนังของเขาจนแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ

เฉินซีรีบโคจรวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ ซึ่งแน่นอนว่าพลังดาราจักรที่เกรี้ยวกราดดูเหมือนจะถูกยับยั้ง ขณะที่พวกมันสยบให้เชื่องเหมือนกับลูกแกะ ก่อนที่จะซึมซับลงไปในเลือดเนื้อของเขา และเปลี่ยนเป็นกระแสของปราณจ้าววิญญาณที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทันใดนั้น เฉินซีก็สัมผัสได้ว่าปราณจ้าววิญญาณ ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย!

‘ตามที่คาดไว้ ข้าสามารถซึมซับมันได้! ยิ่งกว่านั้น ปราณของมันยังเข้มข้นกว่าตอนที่ข้าบ่มเพาะโดยใช้ศิลาวิญญาณดารา!’ เฉินซีรู้สึกยินดีอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็นั่งสมาธิอยู่ที่เบื้องหน้าของม่านแสงสีทองและรอให้อัสนีดาราพิฆาตฟาดลงมาอีกครั้ง

ไป๋หว่านฉิงมีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หกที่ไม่มีผู้ใดเทียบคอยปกป้องนางอยู่ และผู้บ่มเพาะคนนี้ยังมีสมบัติอมตะที่ทรงอานุภาพจนไม่มีผู้ใดเทียบเคียงอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสนใจและกังวลเกี่ยวกับนางใด ๆ เลย

เดิมที เป่ยเหิงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อเห็นเฉินซีเข้าใกล้ม่านแสงสีทอง แต่เมื่อเขาเห็นว่าเฉินซีไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เขาก็รู้สึกโล่งอก และสงสัยอยู่เล็กน้อย.. ‘เจ้าหนูคนนี้ดูเหมือนจะใช้อัสนีดาราพิฆาตเพื่อขัดเกลาร่างกายของเขา!’

เมื่อเขาตระหนักถึงสิ่งนี้ หัวใจของเป่ยเหิงก็เต้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง ท้ายที่สุดแล้ว อัสนีดาราพิฆาตเหล่านี้ถูกควบแน่นจากปราณที่บริสุทธิ์และเกรี้ยวกราดที่สุดของดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า และแม้แต่ระดับการบ่มเพาะของเขาเองก็ยังไม่กล้าสัมผัสกับมันอย่างง่ายดาย แต่เฉินซีกลับเอาปราณที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างไปบ่มเพาะ มันจะไม่ทำให้เขาตกตะลึงได้อย่างไร?

‘เขาสามารถใช้พลังดาราจักรเพื่อขัดเกลาร่างกาย ข้าไม่เคยได้ยินหรือพบเห็นเคล็ดวิชาการแปรสภาพร่างกายเช่นนี้มาก่อน หรือว่าผู้อาวุโสลึกลับคนนั้นจะถ่ายทอดวิชาให้แก่เขา?’ หลังจากลอบคิดในใจด้วยความชื่นชม ภาพของหญิงสาวผู้งดงามที่แท้จริงซึ่งปลอมตัวเป็นชาย ก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเขาอย่างช่วยไม่ได้

‘ใช่แล้ว! แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้อาวุโสลึกลับคนนี้ที่ถ่ายทอดมันให้แก่เขา แต่ก็น่าจะเป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงสุดที่ควบคุมโดยนิกายที่ผู้อาวุโสสังกัดอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครั้งที่พวกเขาได้พบกันที่ทะเลสาบสีฟ้า นางเรียกเฉินซีว่าเป็นศิษย์น้อง…’

เมื่อเขาคิดถึงสิ่งนี้ ความตั้งใจของเป่ยเหิงในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเฉินซีก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ตู้ม! ตู้ม!

อัสนีดาราพิฆาตซัดสาดลงมาราวกับไม่มีหมด ลำแสงของสายฟ้าที่บิดเบี้ยวและสว่างไสวเป็นดั่งอสรพิษสีเงินที่บิดตัวเป็นเกลียว อานุภาพของสายฟ้านั้นน่ากลัวถึงสุดขีด และแฝงไปด้วยกลิ่นอายของการทำลายล้างที่เกรี้ยวกราดจนเสียดแทงกระดูก ซึ่งทำให้ผู้คนต้องหวาดผวาเมื่อได้พบเห็น

อย่างไรก็ตาม อัสนีดาราพิฆาตเหล่านี้ที่ฟาดลงมาอย่างดุเดือด กลับเป็นเหมือนเม็ดยาบ่มเพาะที่โปรยปรายมาจากฟากฟ้าให้แก่เฉินซี วิกฤตนี้เป็นดั่งโอกาสวาสนาที่อาจจะหาไม่พบในรอบร้อยปี

เขาไม่มีความคิดที่จะใส่ใจทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวอีกต่อไป จิตใจทั้งหมดของเฉินซีหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะ และร่างกายของเขาก็เหมือนหลุมลึกที่ไร้ก้นบึงซึ่งดูดซับพลังดาราจักรที่กระจัดกระจายผ่านม่านแสงสีทองอย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะที่ ปราณจ้าววิญญาณของเขาเข้มข้นมากขึ้น และควบแน่นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…