“รอบคอบอย่างนั้นหรือ เจ้าพูดมาตามตรงเถิดว่าอยากจะหาคู่หมั้นใหม่ให้นาง”
“สะใภ้ใหญ่ช่างรู้ดีเสียจริง พวกข้าหมายความเช่นนั้นแล”
พอสิ้นเสียง ก็มีเสียงถ้วยชาร่วงลงพื้นดังขึ้นตามมา
เหล่าแม่นมและสาวใช้ที่อยู่กลางลานบ้านของเรือนฮูหยินใหญ่เฉิงก็พากันวิ่งหนีออกไป ไม่นานก็เหลือเพียงแม่นมข้างกายของเหล่าฮูหยินที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา พวกนางยืนกลั้นหายใจไม่กล้าส่งเสียงแต่อย่างใด
พอเห็นถ้วยชาร่วงลงบนพื้น ทั้งห้องก็เงียบสงัดลงทันที
“อันที่จริงแค่มาทาบทาม ไม่ได้หมายความว่าจะตกลงปลงใจ เรื่องหมั้นหมายก็ถือว่ายังไม่ตกลง” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย ก่อนจะส่งยิ้มให้นายใหญ่เฉิง “ท่านพี่ ท่านเองก็อยากให้เจียวเหนียงของเราแต่งงานกับคนดีๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“คุยกันถึงเรื่องสินสอดแล้ว เหตุใดถึงยังไม่เรียกว่าตกลงอีก มีคนที่ดีกว่าเจ้าก็จะกลับคำอย่างนั้นหรือ มีอย่างที่ไหนกัน” นายใหญ่เฉิงเอ่ยพลางมองไปที่นายรองเฉิง สีหน้าไม่พอใจนัก “ชายรอง เจ้าหมายความว่าอย่างนั้นหรือ”
นายรองเฉิงก้มหน้าหลบตา
“เรื่องแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรเสียก็ต้องรอบคอบ…” เขาเอ่ย
ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบ นายใหญ่เฉิงก็ตบโต๊ะดังปัง เขาเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด โต๊ะไม้ย้อมสีดำพลิกคว่ำลงกับพื้นจนเกิดเสียงโครมคราม
คนในห้องสะดุ้งตกใจจนตัวสั่นเครือ
“พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น รับปากแล้วย่อมต้องทำให้ได้ เช่นนั้นแล้วจะต่างอะไรกับคนชั่วช้า!” นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้วตะโกนลั่น “เฉิงต้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่!”
ตั้งแต่เล็กจนโตนี่เป็นครั้งแรกที่นายรองเฉิงเห็นพี่ใหญ่กริ้วโกรธถึงเพียงนี้ นายรองเฉิงหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้ สิ่งแรกที่เขาคิดจะทำคือลุกขึ้นคำนับยอมรับผิด ทว่ากลับถูกฮูหยินรองรั้งเอาไว้เสียก่อน
“พี่ใหญ่ ชายรองย่อมรู้ดีว่าตนเองทำอะไรอยู่” นางเอ่ยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “นี่ไม่ใช่เรื่องของคนนอก นี่คือเรื่องในตระกูล เขาทำเพื่อลูกสาวของเขา… เพื่อลูกสาวของเขา… นี่ไม่ใช่สิ่งคนเราควรกระทำหรอกหรือ”
นายรองเฉิงนั่งหลังเหยียดตรง ก่อนจะโค้งตัวคำนับ
“ใช่ขอรับ พี่ใหญ่ เพื่อเจียวเหนียง ข้าถึงต้องทำเช่นนี้” เขาเอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา
“ทำเพื่อลูกสาวของเจ้าอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยก่อนจะหัวเราะออกมา ราวกับได้ยินเรื่องเล่าตลกขบขัน ทว่ากลับปกปิดความขุ่นเคืองที่มีไว้ไม่ได้ “หากทำเพื่อลูกสาวจริงๆ เหตุใดถึงรอมาจนถึงป่านนี้ เพราะเหตุใดน่ะหรือ เจ้ารู้อยู่แก่ใจดี คนอื่นก็รู้อยู่แก่ใจเหมือนกัน”
“สะใภ้ใหญ่ ท่านหมายความว่าอย่างไร โปรดอธิบายให้ชัดแจ้งด้วย” ฮูหยินรองเฉิงน้ำตาไหลพราก ก่อนจะสะอื้นเอ่ยต่อว่า “ข้าเป็นแค่แม่เลี้ยงจะพูดอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ!”
นางเอ่ยพลางกระตุกแขนเสื้อนายรองเฉิง
“ชายรอง ข้าจะไม่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานของเจียวเหนียงอีกต่อไป ข้าเป็นคนนอกตั้งแต่แรก จะมีสิทธิ์พูดอะไรได้”
“เหตุใดเจ้าจะไม่มีสิทธิ์ เจ้าเป็นแม่เลี้ยง ก็ถือว่าเป็นแม่คนหนึ่ง” นายรองเฉิงนั่งหลังตรงเอ่ย “พี่ใหญ่ ข้าอยากจะให้เจียวเหนียงแต่งงานกันคนดีๆ ข้าทำผิดหรืออย่างไร”
“ชายรอง อยากให้เจียวเหนียงได้แต่งงานกับคนดีๆ หมายความว่าอย่างไร เจ้าจะบอกว่าคนจากตระกูลหวังของข้าไม่ดีอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงตะโกนหน้าเขียว
“หากเทียบกับตระกูลฉินแห่งซู่โจวแล้ว ก็คงเทียบกันไม่ติด” ฮูหยินรองเฉิงส่งเสียงเย้ยหยัน ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง! ที่แท้เมื่อวานออกจากบ้านไปไม่ใช่เพื่อซื้อผ้า แต่ออกไปเพื่อขายลูกสาวต่างหาก!
ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นยิ้มให้ฮูหยินรองเฉิง
“แม้ตระกูลหวังของข้าจะเทียบกับตระกูลฉินไม่ได้ แต่จะมากลั่นแกล้งกันเช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน” นางเอ่ย “เรื่องหมั้นหมายตกลงกันแล้ว ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าตระกูลฉินจะยอมเสียชื่อเสียง ยอมเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าทำลายงานแต่ของผู้อื่นได้หรือไม่!”
นายใหญ่เฉิงสีหน้าคร่ำเครียด เขามองไปทางฮูหยินรองเฉิงก่อนหันไปมองนายรองเฉิง
“พวกเจ้าเห็นแค่คำว่าตระกูลฉินสองคำก็สติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ พวกเจ้าก็รู้ว่าตระกูลฉินนั้นสูงส่งเพียงใด ตระกูลสูงส่งเช่นนั้นน่ะหรือจะอยากดองเป็นแผ่นเดียวกันกับตระกูลเรา เจ้าไม่คิดหรือว่ามีอะไรแอบแฝง” เขาตะโกนลั่น “แค่ได้ยินคำนินทาว่าร้ายจากภรรยาเจ้าไม่กี่คำ ก็ตื่นตระหนก เสียสติทำเรื่องไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเช่นนี้เชียวหรือ”
นายรองเฉิงสีหน้าดูลังเลอยู่ไม่น้อย
นั่นสินะ มีบางอย่างที่แปลกชอบกลจริงๆ
“พี่ใหญ่ก็คิดเช่นนั้น…” เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นในทันใด ทว่าไม่ทันได้พูดจบ ฮูหยินรองเฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมา นางยกมือขึ้นกุมหน้าแล้วล้มตัวลงไปนอนกับพื้น
“ข้าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าคือภรรยาที่ว่าร้ายนินทาผู้อื่นอย่างนั้นหรือ ชายรอง ฆ่าข้าเสียเถิด ฆ่าข้าเสียเถิด” นางร้องไห้ฟูมฟาย ยกมือขึ้นกุมหน้าอก
ตระกูลเฉิงทั้งสามเพิ่งเคยเห็นคนร้องไห้ดีดดิ้นกับพื้นเช่นนี้เป็นครั้งแรก ก็พลันตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
“เจ้า เจ้าทำอะไรของเจ้า” ฮูหยินใหญ่เฉิงร้องตะโกน
“หน้าไม่อาย! หน้าไม่อาย!” นายใหญ่เฉิงหน้าเขียว สะบัดแขนเสื้อตวาดลั่น “มาจากตระกูลบัณฑิตแท้ๆ เจ้าดูสิว่าเจ้าอะไรอยู่!”
ฮูหยินรองเฉิงร้องไห้ดีดดิ้นอยู่บนพื้น
“ข้าถูกตราหน้าว่าเป็นภรรยาที่ว่าร้ายให้ผู้อื่นแล้ว แม้ข้าจะมาจากตระกูลบัณฑิตก็คงไม่สำคัญอีกต่อไป ชายรอง ท่านฆ่าข้าเสียเถิด ฆ่าข้าเสียเถิด ข้าไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” นางร้องไห้ตะโกนลั่น “ข้า ข้าไม่มีหน้าจะกลับไปแล้ว ข้า…”
นางร้องไห้พลางหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเหลียวซ้ายแลขวา
“ข้าตายไปเสียก็ดี ตระกูลเฉิงของพวกท่านจะได้ไม่ต้องมีมลทินมัวหมอง”
ปากร้องตะโกน พอลุกยืนก็มุ่งหน้าวิ่งชนเสาที่ประตู
ฮูหยินใหญ่เฉิงเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปรั้งตัวไว้ ในใจทั้งโกรธทั้งอับอาย
“เป็นบ้าอะไรของเจ้า!” นางตะคอกใส่ ก่อนจะตบเข้าที่บ้องหูของฮูหยินรองเฉิง
เสียงตบบ้องหูดังก้อง ทั้งห้องเงียบสงัดลงในทันใด
ฮูหยินรองเฉิงผมเพ่ายุ่งเหยิงเสื้อผ้าหลุดลุ่ย นางกุมหน้าตัวเองไว้ก่อนจะมองฮูหยินใหญ่เฉิงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ฮูหยินใหญ่เฉิงชะงักไป ก่อนจะหันมองที่มือของตัวเอง
ฝ่ามือที่เคยตบหน้านางมานับครั้งไม่ถ้วนในความฝัน บัดนี้ได้กลายเป็นจริงแล้ว…
“ดู ดูสารรูปเจ้าสิ!” นางได้สติกลับคืนมาก่อนจะตบอีกหนึ่งที
หากทำลายงานแต่งงานของเด็กบ้านั่น ก็เท่ากับทำลายอนาคตของพวกเขาไปด้วย และก็เท่ากับทำลายงานแต่งงานของแม่นางเจ็ดในวันหน้าอีกด้วย หากมีผู้ใดมาขัดขวางงานแต่งงานของแม่นางเจ็ดล่ะก็ นางจะขอสู้สุดชีวิต!
หญิงผู้นี้เสแสร้งแกล้งทำเป็นนายหญิงผู้แสนอ่อนโยนมาโดยตลอด เสวยสุขบนสมบัติที่ควรเป็นของตระกูลนายรอง แถมยังน่าชื่นตาบานมีคนเคารพนับถือมากมาย แต่สิ่งที่นางได้รับมีเพียงเศษเสี้ยวของความเมตตาที่เจียดมาให้ แถมยังต้องแสร้งขอบคุณยินดีจากใจ ไม่เช่นนั้นจะถูกตราหน้าว่าไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ทำตัวไม่เหมาะสม!
นี่หรือชีวิตที่นางจะต้องใช้ไปทั้งชาติ! ต้องถูกกดขี่เช่นนี้ไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ!
ยอมไม่ได้! ยอมไม่ได้!
“แม่นางหวังสิบ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดีอย่างไรถึงมาตบหน้าข้า!”
ฮูหยินรองเฉิงง้างมือตบไปอย่างแรง
ฮูหยินใหญ่เฉิงเบี่ยงตัวหลบ ทว่าเส้นผมกลับถูกคว้าไว้ ปิ่นปักผมร่วงตกลงบนพื้น
เสียงกรีดร้องดังขึ้นในห้อง เหล่าแม่นมและสาวใช้ไม่อาจเมินเฉยได้อีกต่อไป ก่อนจะพากันร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก เรียกให้บ่าวมาแยกสองฮูหยินที่กำลังตบตีกัน
สองชายตระกูลเฉิงตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็นเบื้องหน้า ทุกอย่างล้มกองระเนระนาด โต๊ะถูกเตะจนพลิกคว่ำ ถ้วยชาก็ถูกเหยียบจนแตก เสียงกรีดร้องและเสียงสะอื้นดังก้องไปทั่วห้อง
เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ภายในเรือนของเหล่าฮูหยินเฉิง แม่นางฟู่ที่เดินออกมาจากตัวเรือนทอดสายตามองออกไป ก็เห็นเหล่าแม่นมกระซิบกระซาบกันอยู่ที่หน้าประตู นางกระแอมเสียงดังขึ้นมา เหล่าแม่นมตกใจเมื่อได้ยินก่อนจะแยกย้ายออกจากกัน
“ทำอะไรลับๆ ล่อ” แม่นางฟู่เอ่ยเสียงต่ำหน้าบึ้งตึง
เหล่าแม่นมหันมาสบตากัน สีหน้าร้อนใจ
“แม่นางฟู่” ในที่สุดก็มีคนก้าวขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้น ทว่ากลับไม่กล้าเอ่ยต่อ
“พูดมา” แม่นางฟู่ขมวดคิ้วถาม
“ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองเหมือนจะทะเลาะกันเจ้าค่ะ…” แม่นมเอ่ยเสียงแผ่วเบา
ทะเลาะกันอย่างนั้นหรือ
แม่นางฟู่ตาเบิกโพลง สีหน้าดูร้อนรนนัก
ล้อกันเล่นหรืออย่างไร
“จริงนะเจ้าคะ ทะเลาะกันรุนแรงเชียว… ท่านว่าควรจะบอกเหล่าฮูหยินดีหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมเอ่ย
แม่นางฟู่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงคนพูดขึ้นจากด้านหลัง
“จะบอกอะไรข้าหรือ”
เหล่าแม่นมเหลียวไปมองในทันที ก็เห็นว่าเป็นเหล่าฮูหยินที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ที่ระเบียงตั้งแต่เมื่อใด ในมือของนางถือชามใบหนึ่งอยู่
นางอายุได้หกสิบกว่าปีแล้ว เส้นผมขาวโพลนไปทั้งหัว สวมชุดสีเขียวแก่ ใบหน้าซูบตอบ สีหน้าเคร่งขรึม นางมองมาที่ทุกคนที่อยู่กลางลานบ้าน พลางยกชามน้ำแกงในมือขึ้นมาซด
แม่นางฟู่และเหล่าแม่นมรีบเดินเข้ามาใกล้
“ไม่มี…” แม่นางฟู่เอ่ยปาก ทว่าพูดได้เพียงคำเดียวก็ถูกเหล่าฮูหยินตัดบท
“พูดมา!” เหล่าฮูหยินขมวดคิ้วตะเบ็งเสียงตะโกนออกมา
“ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองทะเลาะกันเจ้าค่ะ” แม่นางฟู่ตอบออกไปในทันใด
เหล่าฮูหยินตาเบิกโพลง
“ว่า…” นางตวาดลั่น ทว่าเอ่ยได้เพียงคำเดียวก็หยุดลง ชามน้ำแกงในมือหกกระจายลงบนพื้น สองมือยกขึ้นกำลำคอ ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากเอ่ยคำอึกอักไม่ได้ศัพท์ ร่างก็เหมือนจะล้มเซไปข้างหลัง
“เหล่าฮูหยิน!”
“ใครก็ได้รีบมาที ไปตามหมอมา!”
“เหล่าฮูหยิน เหล่าฮูหยิน!”
ลานบ้านโกลาหลขึ้นมาภายในทันใด
ขณะที่เรือนตระกูลเฉิงอันสงบสุขกำลังวุ่นวาย ทว่าฝั่งเฉิงใต้ที่โกลาหลไม่เว้นแต่ละวันกลับเงียบสงัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
พอเห็นแม่นางน้อยนั่งลงที่หน้ากระท่อมมุงจากที่สร้างขึ้นอย่างไร้ความประณีต ผู้เฒ่าคนหนึ่งก็เดินเข้ามาคำนับอย่างนอบน้อม
“แม่นาง ขอโทษด้วยจริงๆ พวกข้ายังหาเขาไม่พบ” เขาเอ่ยสีหน้าดูร้อนรน
“เขายังไม่กลับมาหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
ผู้เฒ่าพยักหน้า
“พวกข้าไปตามหามาทั่วทุกซอกซอยแล้ว…” เขาเอ่ย “ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด ถึงกับไม่มีมีผู้ใดหาพบ”
“แต่ก่อนก็เคยเป็นเช่นนี้ หายไปหลายวัน เดี๋ยวก็กลับมา” มีคนเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง
เฉิงเจียวเหนียงเหลียวไปมอง
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว จอมต้มตุ๋นนั่น… เฉิงผิงแต่ก่อนก็เคยเป็นเช่นนี้จริงๆ พอก่อเรื่องแล้วก็หลบซ่อนตัว ผ่านไปช่วงหนึ่งก็กลับมาอีก” อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“หากเขาไม่กลับมาเล่า” เฉิงเจียวเหนียงถาม “พวกเจ้าบอกว่า เดิมทีเขาไม่ใช่คนตระกูลเฉิงใช่หรือไม่”
“เป็นคนตระกูลเฉิงหรือไม่ อันนี้ก็พูดยากอยู่เหมือนกัน เจ้าเด็กนั่นเพิ่งมาได้ปีกว่า บอกว่าพ่อหรือปู่ของตนเป็นคนตระกูลเฉิงเมืองเจียงโจว เร่ร่อนขอทานหาที่ซุกหัวนอนไปทั่ว แต่จู่ๆ ก็คิดถึงบ้านเก่าขึ้นมา เจ้าเฉิงผิงนั่นจึงมาตามหา เขาบอกกับนายใหญ่เช่นนั้น ไม่รู้ไปพูดอีท่าไหน นายใหญ่ถึงได้เชื่อ จึงให้เขาอยู่ที่นี่” ผู้เฒ่าเอ่ย
“เขามาจากที่ใดหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
เรื่องที่คนต่างถิ่นมาขอใช้แซ่เดียวกัน คนฝั่งเฉิงใต้ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่ เฉิงผิงมีหัวนอนปลายเท้ามาจากที่ไหนก็ไม่มีผู้ใดสนใจ แต่เพราะเงินรางวัลล่อตาล่อใจเมื่อวานนี้ ผู้เฒ่าจึงไปสืบถามข่าวคราวมาอย่างละเอียด
“ซู่โจว” เขาตอบอย่างไม่ลังเล
เฉิงเจียวเหนียงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ทั้งยังไม่พูดต่อ
นางไม่พูด คนอื่นก็ไม่กล้าพูดเช่นกัน รอบกายต่างเงียบสงัด
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ราวกับผ่านไปเนิ่นแต่ก็เหมือนกับผ่านไปเพียงแค่หนึ่งลมหายใจ เฉิงเจียวเหนียงถึงจะเอ่ยออกมา
ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก ลมหายใจกลับมาไหลลื่นอีกครั้ง
“เช่นนั้น…” ผู้เฒ่าเริ่มถามต่อ
“เช่นนั้นก็ตามหาต่อไป ข้ารอได้” เฉิงเจียวเหนียงพูดต่อจากเขา
พ่อบ้านเฉาได้ยินดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปใกล้แล้วยื่นถุงเงินให้
“นี่คือค่าเหนื่อย” เขาเอ่ย
ให้…ให้เงินอีกแล้วหรือ ผู้เฒ่ามือสั่นไม่กล้ายื่นออกไปรับ
“รับไว้ไม่ได้หรอก รับไว้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยไม่หยุดปาก “รอข้าเจอตัวแล้วแม่นางค่อยให้เงินเถิด”
พ่อบ้านเฉาเหลียวไปมองเฉิงเจียวเหนียง พอเห็นนางไม่เอ่ยสั่งอันใด เขาเองก็ไม่คิดเร่งเร้า เก็บคำที่อยากจะพูดไว้กับตัว
“เช่นนั้นก็ดี ไว้ได้ข่าวแล้วค่อยมาเอาเงินรางวัล” เขาเอ่ย
ผู้เฒ่าเอ่ยขอบคุณไม่หยุดปาก ทว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับไม่ยอมลุกขึ้นเดินจากไป เฉิงเจียวเหนียงยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงดังเดิม
“แม่นาง ดูสิดู…” ผู้เฒ่าลังเลอยู่นานกว่าจะปริปากออกมา
“ข้าอยากนั่งตรงนี้สักพัก” เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองเขา “ไม่รบกวนพวกเจ้าใช่หรือไม่”
ผู้เฒ่ารีบยกมือยกไม้ อย่าว่าแต่นั่งเลย หากนางเต็มใจจะอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นการรบกวนพวกเขาเลยสักนิด
ผู้คนโดยรอบพากันแยกย้ายออกไป พ่อบ้านเฉานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะโบกไม้โบกมือให้ทุกคนกลับไป ท่ามกลางเรือนหลังสูงต่ำอันแสนแออัดนี้ เหลือเพียงเฉียงเจียวเหนียงที่นั่งนิ่งอยู่บนตอไม้
“นายหญิง ไม่เป็นไรใช่ไหม” ในที่สุดก็มีคนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พ่อบ้านเฉามองดูแม่นางน้อยที่นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นหินแกะสลัก ปั้นฉินสวมหมวกคลุมหน้าให้นาง ผ้าคลุมสีทึบผืนใหญ่ยาวลากไปกับพื้นดิน ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า ทว่าร่างกายของแม่นางน้อยผู้นี้กลับดูเหมือนเย็บเฉียบ
นางนั่งอยู่อย่างนั้น ราวกับจะนั่งจนมหาสมุทรเหือดแห้งกลายเป็นหินแล้วแตกสลายไปกับโลกนี้
ไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือ ไม่เป็นอะไรก็บ้าแล้ว!
พ่อบ้านเฉาส่ายหน้า ผู้ใดกันจะหยั่งถึงก้นบึ้งของหัวใจของแม่นางน้อยผู้นี้กัน
นางอยากจะทำอะไร ก็ปล่อยนางทำไปเถิด พ่อบ้านเฉายืนหลังเหยียดตรง สีหน้าเรียบเฉย