เฉิงเจียวเหนียงมิได้นั่งอยู่นานเหมือนกับที่พ่อบ้านเฉาคาดคิดไว้ อันที่จริงนางนั่งอยู่เพียงแค่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นแล้ว

“ดูท่าแล้วแม่นางน้อยผู้นี้คงถูกเฉิงผิงหลอกเอาเงินไปไม่น้อยทีเดียว…”

“…คนที่ถูกเฉิงผิงหลอกเอาเงินไปได้ ก็คงต้องเป็นคนโง่เท่านั้นแล้ว สมองคงไม่ปราดเปรื่องพอเป็นกระมัง…”

พอเห็นแม่นางน้อยเบียดเสียดออกมาจากฝูงชนที่ล้อมไว้ คนทางนี้จึงต่างพากันถอนใจยกใหญ่

ขณะกำลังเข้าประตูเรือนมานั้น บรรดาแม่นมก็กำลังวิ่งมาทางนี้พอดีจนเกือบจะชนเข้ากับเฉิงเจียวเหนียง

“เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือ” ปั้นฉินเอ่ยถามพลางมองไปยังแม่นมที่วิ่งเข้ามาคำนับอย่างรีบร้อน พอเงยหน้ามองออกไปก็เห็นพวกแม่นมต่างรีบร้อนกันมาแต่ไกล บรรยากาศภายในบ้านพลันตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เฉิงเจียวเหนียงไม่หยุดฝีเท้าแม้แต่ก้าวเดียว ราวกับไม่เห็นพวกนาง

ใช่แล้ว ทุกๆ เรื่องของพวกเขาล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนายหญิง ปั้นฉินยิ้มพลางสาวเท้าตามไป

“นายหญิงเจ้าคะ มื้อเย็นจะรับอะไรดีเจ้าคะ ข้าว่าปลาที่พวกนางส่งมาให้ยังสดใหม่อยู่ เช่นนั้นข้าต้มปลาให้ดีหรือไม่”

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ฮูหยินหวังที่เพิ่งจะข่มใจให้สงบจนหลับลงไปได้เพียงค่อนคืนก็ถูกคนจากตระกูลเฉิงทำให้ตกอกตกใจตื่น

“เกิดเหตุอันใดขึ้นกับเหล่าฮูหยินรึ” ฮูหยินหวังตะโกนถามเสียงหลง สีหน้าที่เพิ่งจะดีขึ้นกลับเปลี่ยนเป็นซีดเผือดอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมรีบบอก “ฮูหยินให้ข้ามาบอกว่าระยะนี้คงจะดูแลเรื่องออกหนังสือหมั้นมิได้…”

แม่นมเพิ่งจะเอ่ยจบ ฮูหยินหวังก็รีบโบกมือส่งเสียงปรามให้นางเงียบ

แม่นมตกใจรีบปิดปากฉับอย่างทำอะไรไม่ถูก

ฮูหยินหวังมองไปรอบๆ พอยืนยันแน่ชัดแล้วว่าคนที่ได้ยินเข้าคือพวกที่ไว้ใจได้จึงถอนใจออกมา

“ข้ารู้แล้ว” นางจัดท่านั่งพลางฝืนยิ้มให้แม่นม ก่อนจะเอ่ยด้วยความฉงนเล็กน้อย “เช่นนั้น เหล่าฮูหยินป่วยเป็นอะไรหรือ ร้ายแรงหรือไม่”

แม่นมได้ยินนางถามถึงเรื่องนี้สีหน้าก็กระอักกระอ่วนขึ้นมา

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แค่ไม่ทันระวังสำลักลูกพุทราเข้า” นางเอ่ยบอก

สำลักหรือ

แม้ว่าเหล่าฮูหยินอายุอานามจะมากแล้ว แต่ร่างกายยังแข็งแรงดีมาโดยตลอด เหตุใดจึงสำลักลูกพุทราเข้าได้ หรือร่างกายจะไม่ไหวเอาเสียแล้ว

“สำลักได้อย่างไร” ฮูหยินหวังถามด้วยความตกใจ

สีหน้าของแม่นมกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิม จนไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นมา

“คะ… คือไม่ทันระวังอย่างไรเล่าเจ้าคะ” นางตอบ

จะบอกไปมิได้เด็ดขาดว่าเป็นเพราะได้ยินฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองทะเลาะกันจึงโมโห…

ฮูหยินทั้งสองตบตีกันต่อหน้านายใหญ่ทั้งสอง ตระกูลเฉิงกี่ยุคกี่สมัยก็ไม่เคยเกิดเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้มาก่อน เมื่อวานนายใหญ่ออกคำสั่งห้ามเสียหลายข้อว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะขายแม่นมที่รู้เรื่องนี้ออกไปให้หมด

ฮูหยินหวังเห็นแม่นมนางนี้หน้านิ่วคิ้วขมวด ทั้งยังเอ่ยอ้อมแอ้มๆ ก็รู้ในทันที่ว่าเป็นเรื่องที่พูดออกไปไม่ได้อย่างแน่นอน

หรือว่าเหล่าฮูหยินเฉิงจะป่วยหนัก ไม่แน่ว่าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว

หากเหล่าฮูหยินเฉิงไม่ไหวแล้วล่ะก็ ต้องมีการจัดงานศพขึ้น ตระกูลเฉิงก็จะมิอาจจัดงานแต่งขึ้นได้ภายในหนึ่งปีน่ะสิ!

“ดียิ่งนัก!”

ฮูหยินหวังความคิดเร็วรี่ พูดออกไปโดยพลัน

ดียิ่งนักอย่างนั้นรึ

ครานี้แม่นมตระกูลเฉิงเงยหน้าขึ้น นางมองฮูหยินหวังด้วยสีหน้าตกตะลึง

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่กี่วันก่อนยังดีๆ อยู่แท้ๆ” ฮูหยินหวังรีบปิดบังความกระอักกระอ่วน “ข้าไปเยี่ยมเสียหน่อยดีกว่า”

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” แม่นมรีบบอก “ฮูหยินบอกว่าอีกสองวันก็หายแล้ว ขอฮูหยินหวังเตรียมเรื่องที่ตกลงกันไว้ให้พร้อม ถึงยามนั้นเราก็จะจัดการทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยภายในสามวันห้าวัน”

ฮูหยินหวังนั่งลงที่เดิมด้วยความตะลึงตะลาน

“เหล่าฮูหยินของเจ้า ร่างกายไม่เป็นอะไรกันแน่ เช่นนั้น เลื่อนงานแต่งออกไปก่อนดีหรือไม่” นางเอ่ย

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” แม่นมส่ายหน้า “ก่อนจะมานี่ ฮูหยินข้าได้กำชับไว้เป็นพิเศษ เพราะเกรงว่าท่านจะคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงให้ข้ามาบอกว่า เหล่าฮูหยินร่างกายแข็งแรงดี เหมือนเดิมทุกอย่างเจ้าค่ะ”

ฮูหยินหวังร้องอ๋อ สีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

หากว่าเหล่าฮูหยินของตระกูลเฉิงเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะดีไม่น้อย…

เรื่องหมั้นหมายก็เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ต้องรีบแต่งงาน เลื่อนออกไปอีกสักครึ่งปี ป่านนั้นชายสิบเจ็ดคงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท จากนั้นก็เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวได้อย่างเบิกบานใจแล้ว

“ท่านแม่ ท่านแม่!”

เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มดังเข้ามาในเรือน

ฮูหยินหวังพลันได้สติ เห็นแม่นมตระกูลเฉิงตรงหน้าก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะโบกมือลนลาน

“เร็วเข้า เจ้ารีบไปซ่อนตัวเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยเร่ง

แม่นมตระกูลเฉิงได้ยินก็งุนงง ซ่อนตัวหรือ

ไม่เคยพบเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน…

ให้นางกลับไปหรือ

ขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้นก็ไม่ทันเสียแล้ว ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่สวมชุดคลุมผ้าไหม ศีรษะรวบด้วยรัดเกล้าหยก หน้าตาสดชื่นเบิกบานก้าวเดินเข้ามา

“อย่าได้พูดอะไรทั้งนั้น” ฮูหยินหวังเอ่ยเตือนแม่นมตระกูลเฉิง นางเงยหน้ามองท่านชายหวังสิบเจ็ดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ชายสิบเจ็ด เสื้อผ้าชุดนี้ของลูกงามนัก”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดเงยหน้าโบกไม้โบกมือด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ผิดแล้วท่านแม่” เขาเอ่ย “ลูกชายท่านต่างหากที่งาม”

ฮูหยินหวังหัวเราะออกมายกใหญ่ กวักมือเรียกเขาให้มานั่งพลางเอ่ยถามว่ากินข้าวมาหรือยัง กินไปเยอะหรือไม่

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกำลังจะเอ่ยตอบ กลับเห็นแม่นมตระกูลเฉิงที่อยู่ภายในห้องโถงเข้า

“เจ้าเป็นคนของบ้านท่านป้าหรือ” เขาเอ่ยถาม สีหน้าซีดเผือด สะดุ้งโหยง “เจ้ามาทำอะไร หญิงนางนั้นให้เจ้ามาใช่หรือไม่ นางต้องการจะทำอะไร”

ทุกคนภายในห้องต่างตกอกตกใจกันยกใหญ่ ฮูหยินหวังรีบยื่นมือไปดึงเขาเอาไว้

“ไม่ใช่ลูก ป้าของเจ้าให้นางมาเยี่ยมเจ้า” นางรีบเอ่ยยาวเหยียดพลางส่งสายตาให้แม่นมนางนั้น “ท่านป้าเจ้าได้ยินว่าเจ้าตกใจจนล้มป่วย จึงนึกเป็นห่วง ไม่เกี่ยวอะไรกับหญิงนางนั้น ไม่เกี่ยวกันเลยลูก”

แม้ว่าแม่นมจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังรีบค้อมตัวคำนับตามที่ฮูหยินหวังสั่ง

“เจ้าค่ะ ท่านชายหวังสิบเจ็ด ฮูหยินเป็นห่วงท่านมาก จึงให้ข้ามาดู” นางเอ่ยบอก

“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าเห็นแล้วก็รีบกลับไปบอกฮูหยินของเจ้าเสียเถิด” ฮูหยินหวังโบกมือเอ่ย

แม่นมไม่กล้าอยู่ต่ออีก จึงคำนับเอ่ยรับคำแล้วออกไป

“ห้ามให้คนตระกูลเฉิงมาหาอีก! ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น…”

แม่นมที่เดินมาถึงลานบ้านยังคงได้ยินเสียงตะโกนของท่านชายหวังสิบเจ็ดดังขึ้นไล่หลังมา

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

แม่นมหันไปมองฮูหยินหวังและเสียงเอะอะในห้องโถงด้วยความสงสัย

ท่านชายหวังสิบเจ็ดตระกูลหวังสนิทสนมกับฮูหยินใหญ่เฉิงมาโดยตลอด ฮูหยินใหญ่เฉิงก็สนิทสนมกับเขามากเป็นพิเศษ แต่ยามนี้กลับพูดออกมาเช่นนั้น หากฮูหยินใหญ่เฉิงได้ยินเข้าคงผิดหวังน่าดู

แม่นมส่ายหน้าด้วยใจห่อเหี่ยว

ฮูหยินหวังไม่สนใจแม่นมตระกูลเฉิงที่แอบเจ็บปวดอยู่เงียบๆ กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ท่านชายหวังสิบเจ็ดนั่งลงได้นั้นไม่ง่ายเลย นางเห็นท่าทางกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาของลูกชายเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกและซึมเซาภายในพริบตา ก็เจ็บปวดใจเหลือแสน

“ชายสิบเจ็ด ชายสิบเจ็ด เจ้าออกไปเที่ยวเล่นดีหรือไม่” นางเอ่ยถาม “ออกไปผ่อนคลาย”

นี่เป็นความคิดที่ดียิ่ง!

ประโยคนี้จบลง สองแม่ลูกต่างดวงตาเป็นประกาย

จริงด้วย ออกไปผ่อนคลาย อีกเดือนทั้งเดือนนี้จะได้แอบเตรียมการเรื่องการแต่งงาน ไม่ให้ลูกชายจับได้ ฮูหยินหวังคิดในใจ

จริงด้วย ออกไปผ่อนคลาย จะได้ไม่ต้องพบเจอหญิงนางนั้นมาเทียวไล้เทียวขื่อให้น่ารำคาญ ท่านชายหวังสิบเจ็ดคิดพลางพยักหน้า

ด้วยเหตุนี้เอง สองแม่ลูกจึงต่างเบิกบานสำราญใจ ไม่รอให้ถึงเที่ยง ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็พาบรรดาสาวใช้คนโปรดขึ้นรถม้าออกไปอย่างสุขสำราญ