ฮูหยินหวังเห็นลูกชายออกไปแล้วก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเร่งแม่นมให้รีบเตรียมการเรื่องการแต่งงานอย่างน่าชื่นตาบาน

พอแม่นมตระกูลเฉิงกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาบ่ายเข้าไปแล้ว ภายในเรือนของฮูหยินใหญ่เงียบสนิท

“อยู่ที่เรือนเหล่าฮูหยินกันหมด” แม่นมที่เฝ้าประตูชี้พลางเอ่ยบอกเสียงเบา

แม่นมไม่ทันจะได้พักก็รีบมาที่เรือนเหล่าฮูหยินเฉิงทันที ภายในเรือนเหล่าฮูหยินเฉิงก็เงียบเชียบเช่นเดียวกัน มีบรรดาบ่าวไพร่ยืนกันเต็มเรือนไปหมด

“คุกเข่ากันอยู่น่ะ” แม่นมที่อยู่หน้าประตูดึงนางไว้พลางกระซิบ ส่งสัญญาณบอกนางว่าอย่าเพิ่งเข้าไป

แม่นมพยักหน้า นางหยุดฝีเท้ายืนอยู่ในเรือน ได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นภายในห้อง

“ทะเลาะกันหรือ เหตุใดพวกเจ้าไม่ถือมีดกันคนละเล่มแทงกันไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยเล่า”

เหล่าฮูหยินเฉิงเอนกายพิงพนักอิงสามขาอยู่บนตั่ง มองลูกชายกับลูกสะใภ้ที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า

“แบบนั้นไม่สะใจกว่าหรือ หมัดไม่กี่หมัดจะไปสนุกอันใด”

สามีภรรยาสองคู่คุกเข่าโขกหัวกับพื้นสะอึกสะอื้นพากันร้องขอให้ลงโทษ

“พวกเจ้าอยากตายกันก็ไปตายกันเอง อย่ามาตายต่อหน้าข้า ข้ายังอยากอยู่ต่อไปอีกนาน ไม่อยากโมโหพวกเจ้าจนตาย” เหล่าฮูหยินเฉิงยิ้มเย็น

นายใหญ่เฉิงคลานเข่าเข้ามาหาไม่กี่ก้าวแล้วโขกหัวกับพื้น

“ท่านแม่ขอรับ ท่านแม่ ท่านอย่าโกรธเคืองไปเลย พวกลูกผิดไปแล้ว สุขภาพท่านสำคัญนะขอรับ” เขาสะอื้นบอก “รีบนอนลงเถิดขอรับ”

นายใหญ่รองเฉิงก็โขกหัวสะอึกสะอื้นเช่นกัน

“พวกเจ้าสองคนพี่น้องต่างถูกตระกูลโจวเพียงคนเดียวปั่นหัวอยู่ในกำมือ พอนางบอกว่าจะโยนทิ้งแล้ว พวกเจ้าก็หันมากัดกัน ดวงตาแดงก่ำอย่างกับหมาหิวโซ ชื่อเสียงตระกูลเฉิงของข้าตั้งกี่ยุคกี่สมัยถูกพวกเจ้าทำขายหน้าไม่มีชิ้นดีแล้ว!” เหล่าฮูหยินเฉิงตบโต๊ะหวาดลั่น

ถูกท่านแม่ด่าว่าเป็นหมาเช่นนี้ ดูท่าแล้วเหล่าฮูหยินเฉิงจะเดือดดาลแล้วจริงๆ

นายใหญ่ทั้งสองของตระกูลเฉิงรับคำ ฮูหยินใหญ่เฉิงกับฮูหยินรองเฉิงคุกเข่าน้ำตานองหน้า

“แต่งงานรึ นางบ้านั่นจะไปแต่งงานอะไรได้!” เหล่าฮูหยินเฉิงตวาด “สินเดิมของแม่นางก็เอาไว้ที่ตระกูลเฉิงนี่จะเป็นไรไป! ข้าจะดูว่าใครมันจะกล้าบอกว่าทำไม่ถูก! ดูซิว่าตระกูลโจวจะมาแย่งเอาไปอย่างไร! คนบ้าคนเดียว พวกเราเลี้ยงนางมาก็ดีเท่าใดแล้ว ไม่ให้นางแต่งงาน จะมีผู้ใดมาตำหนิได้ ให้นางแต่งงานน่ะสิที่จะเรียกให้คนมาตำหนิเอา! พวกเจ้ายังโง่ไม่พอกันอีกหรือ นึกไม่ถึงว่าจะมีความคิดโง่ๆ เช่นให้นางแต่งงานออกเรือน! เรื่องของตระกูลเรา เราอยากจะทำเช่นไรก็ได้ ใครเขาจะมายุ่งได้!”

ฮูหยินใหญ่เฉิงกับฮูหยินรองเฉิงพากันรับคำ

“แต่ว่า ท่านแม่ เจียวเหนียงมิได้บ้าแล้ว…” ฮูหยินรองลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นบอก

ยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกเหล่าฮูหยินเฉิงถลึงตาอย่างดุดันปรามนางไว้

“ท่านแม่ ท่านแม่อย่าได้โกรธเกรี้ยว พวกเราสำนึกผิดแล้ว เรื่องนี้เอาตามที่ท่านแม่ว่ามาทุกอย่าง” เขารีบพูดขึ้น

“ไล่นางออกไป ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เร็ว!” เหล่าฮูหยินเฉิงตะหวาดพลางชี้นิ้วไปด้านนอก “ข้าบอกตั้งนานแล้วว่าตัวซวยนี่มันคือดาวหายนะของตระกูลเฉิง นางทำร้ายพ่อข้าจนตาย ทำร้ายแม่ของตัวเองจนตาย ยามนี้จะมาทำร้ายข้าให้ตายแล้ว เผลอๆ จะทำร้ายเจ้า และพวกเจ้าด้วย ไม่มีผู้ใดหนีรอดไปได้!”

ในตอนกลางวันของกลางฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บ ฮูหยินใหญ่ที่ร่างกายผ่ายผอมพูดประโยคนี้ออกมาด้วยท่าทางโหดเหี้ยม ทำเอาทุกคนที่อยู่ในห้องเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ขอรับ ขอรับ ลูกจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” นายใหญ่เฉิงก้มหัวบอก

เขาป้อนยาให้เหล่าฮูหยินเฉิงด้วยตัวเอง พอเห็นนางเอนกายลงนอน เขาและคนอื่นๆ จึงได้ออกมา

ฮูหยินใหญ่กับฮูหยินรองเดินออกจากเรือนมาก็รีบผละออกจากกัน ต่างคนต่างไม่มองหน้ากันสักนิด

“เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านแม่บอก” นายใหญ่เฉิงหันมาบอกกับนายใหญ่รอง

นายใหญ่รองสีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าฟังท่านแม่” เขาบอก

ฟังท่านแม่ ไม่ใช่ฟังพี่ใหญ่อย่างที่ชอบพูดในสมัยก่อนอีกแล้ว

นายใหญ่เฉิงแค่นหัวเราะอยู่ในใจพลางมองนายใหญ่รอง

นายใหญ่รองหลบสายตา คำนับให้อย่างขอไปที ก่อนจะจากไปพร้อมฮูหยินรอง นายใหญ่เฉิงมองพวกเขาค่อยๆ เดินไกลออกไปเรื่อยๆ จนเดินเลี้ยวลับตาไป

นายใหญ่เฉิงยิ้มเย็น ขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย เขาโตกว่านายใหญ่รอง มีเพียงพวกเขาสองคนที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน เขาเรียนไม่เก่งตั้งแต่เด็กจึงรับกิจการของครอบครัวต่อ ตั้งอกตั้งใจส่งนายรองให้เล่าเรียน นายรองก็เคารพเชื่อฟังเขาดั่งบิดามาโดยตลอด

‘พี่ใหญ่ ข้าเชื่อฟังท่าน’

‘พี่ใหญ่ ท่านว่าอย่างไรก็ทำอย่างนั้น’

น้องชายที่คอยติดตามเขาด้วยความเคารพ เชื่อฟังคำเขามาตลอด แต่ยามนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว

เขายืนตัวตรง ก่อนจะมองตัวเองหัวจรดเท้าด้วยความสงสัย เขาเริ่มไม่พูดว่าข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่อีกแล้วเช่นกัน

นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะเลี่ยงเมื่อคนเราเติบใหญ่ใช่หรือไม่

ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอน หากไม่มีปัจจัยภายนอก พวกเขาสองพี่น้องไม่มีทางเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้ นึกย้อนไปเมื่อสองปีก่อน พวกเขายังรักใคร่กลมเกลียว พี่เมตตา น้องเคารพ ปรองดองกันอยู่เลย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตั้งแต่ที่เด็กบ้านั่นกลับมา!

นายใหญ่เฉิงกำหมัดแน่น

“ใครก็ได้ วันนี้ส่งนางไปวัดเต๋าซะ” เขาเอ่ยบอก

เสียงฝีเท้าอึกทึกดังขึ้นนอกประตู เพราะยามกลางวันมิได้ลงกลอนประตูไว้ จึงถูกคนผลักให้เปิดออก

ปั้นฉินที่นั่งรีดผ้าอยู่บนระเบียงเงยหน้าขึ้น เห็นแม่นมสี่ห้าคนเดินเข้ามา

สบตากันคราหนึ่ง พวกแม่นมก็หยุดฝีเท้าลง

“พวกเจ้ามาได้เวลาพอดีเลย” ปั้นฉินเอ่ยขึ้นก่อน “ข้ากำลังจะไปตามคนอยู่พอดี อยู่ที่นี่ไม่ค่อยดีนัก ช่วยหาที่ใหม่ให้นายหญิงข้าอยู่ที”

แม่นมที่นำหน้ามาเผลอหัวเราะออกมา

“นั่นน่ะสิ พอดีเลย พวกเราก็เพิ่งจะได้รับคำสั่งจากนายใหญ่ ให้ส่งแม่นางไปอยู่ที่อยู่ใหม่” นางบอก

ปั้นฉินเห็นนางยิ้มพิลึกชอบกล จึงขมวดคิ้ววางเตารีดเหล็กลง

“เปลี่ยนเป็นที่ใดหรือ” นางเอ่ยถาม

“ที่เดิมน่ะสิ วัดเสวียนเมี่ยว” แม่นมหัวเราะบอก

วัดเสวียนเมี่ยวหรือ

“พวกเจ้าจะไล่นายหญิงออกไปหรือ” ปั้นฉินถามด้วยความตกใจ

“เรียกว่าไล่ได้อย่างไร” แม่นมยิ้มบอก “เชิญต่างหาก”

ปั้นฉินยืนขึ้น

“เอาล่ะสาวน้อย เก็บข้าวเก็บของเสีย พวกเราจะไปแล้ว” แม่นมยิ้มบอก พอโบกมือ แม่นมคนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามา

“พวกเจ้า…” ปั้นฉินตะคอก นางยืนขวางหน้าประตู แต่มีคนผลักนางจากด้านหลังเสียก่อน

“พวกเจ้าจะไล่ข้าหรือ”

เสียงของเฉิงเจียวเหนียวดังขึ้นข้างหู

ปั้นฉินรีบหลบให้ เห็นเฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นพลางดึงเชือกคล้องแขนขึ้น ในมือถือธนู ปลายจมูกมีหยดเหงื่อซึม

แม้ว่าที่นี่จะไม่มีสถานที่ไว้ให้นายหญิงยิงธนู แต่กิจวัตรประจำวันของนางกลับมิได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ว่าเป็นการง้างธนูเปล่าอยู่ภายในห้องเท่านั้น

ทว่ายามนี้ธนูในมือนางกลับมิใช่ธนูเปล่า

แม่นมที่อยู่ด้านนอกชะงักฝีเท้าลง มองท่าทางแปลกประหลาดของแม่นางผู้นี้ด้วยความตกใจเล็กน้อย

“ไม่ใช่ไล่เจ้าค่ะ เป็นการเชิญแม่นางให้ออกไปหลบซ่อนก่อน” แม่นมที่นำหน้าสุดเอ่ยบอก “ที่นั่นก็เป็นที่เดิมที่แม่นางเคยอยู่มาแล้ว น่าจะคุ้นเคยอยู่มาก”

นางพูดพลางอมยิ้มเดินเข้ามา ทว่าเพิ่งจะยกเท้าขึ้นก็เห็นหญิงตรงหน้าเล็งธนูมาทางตน เสียงศรธนูพุ่งแหวกอากาศดัง ฟิ้ว เหมือนบนหัวถูกของหนักกระแทกเข้ามา รุนแรงเสียจนนางต้องถอยหลังไป มวยผมแผ่สยายในชั่วพริบตา

เกิดอะไรขึ้น

เหล่าแม่นมต่างตกตะลึง ทันใดนั้นหญิงที่อยู่หน้าสุดก็กรีดร้องขึ้น

“ฆ่าคนแล้ว!”

ภายในเรือนวุ่นวายขึ้นมาในทันที เสียงร้องไห้ร้องตะโกนดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะพวกนางตื่นตระหนกจึงพากันเบียดเสียดแย่งกันออกประตู จนประตูล้มลงไปครึ่งบาน อีกครึ่งส่วนที่เหลือแกว่งไปมาอยู่อย่างนั้น ศรธนูดอกหนึ่งที่ปักอยู่พลางสั่นไปมา

“นี่ไม่ได้เรียกว่าฆ่าคน” เฉิงเจียวเหนียงลดธนูในมือลง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “นี่เรียกว่ายิงธนู”