บรรดาแม่นมล้มลุกคลุกคลาน ร้องไห้ตะโกนจนเรือนฮูหยินใหญ่เฉิงวุ่นวายไปหมด
“ฆ่าคนหรือ”
นายใหญ่เฉิงฟังที่แม่นมเล่าก็ตกใจ
“เจ้าล้อเล่นอันใดกัน!”
แม่นมด้านหน้าผมเผ้าหลุดลุ่ย นางเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี
“นายใหญ่ จริงๆ นะเจ้าคะ ยิงธนูใส่หัวข้า…” นางยกมือขึ้นชี้ศีรษะตัวเอง ร้องห่มร้องไห้เอ่ยว่า “หากมิใช่เพราะพลาดเป้าล่ะก็ ยามนี้บ่าวคงตายไปแล้ว…”
ฮูหยินใหญ่ได้ยินเข้าก็ปิดหน้าเดินออกมา เพราะตบตีกับฮูหยินรอง ถูกเล็บยาวๆ ข่วนหน้าจนขึ้นเป็นริ้ว จึงไม่อยากออกมาพบใคร
“มิใช่คนสติไม่สมประกอบ แต่กลายเป็นคนบ้าไปแล้วหรือนี่ หรือจะเป็นคนบ้าที่มีวรยุทธ” นางเอ่ยอย่างตกใจ “นางเอาธนูมาจากไหน”
“จะที่ไหนได้อีกล่ะ ตระกูลโจวให้มาน่ะสิ ตระกูลโจวมีดาบ มีด กระบอง ธนูอยู่มากตั้งมาย อย่างอื่นมีเสียที่ไหน” นายใหญ่เฉิงเอ่ย
“ตระกูลโจวต้องการจะทำอันใดกันแน่ ยืมมือคนบ้ามาฆ่าเราหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย “รีบพาคนไปจับมัดไว้เร็วเข้า!”
นายใหญ่เฉิงกลับไม่พูดอะไร ท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าว่า…” เขาเอ่ยขึ้น ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกฮูหยินใหญ่ขัดขึ้น
“ท่านอย่าเพิ่งว่าอะไรเลย รีบไปเอาอาวุธร้ายแรงกลับมาก่อน หากถูกนางเอาไปใช้ฆ่าคนจริงๆ ทีนี้จะทำอย่างไร!” ฮูหยินใหญ่เฉิงพูดอย่างร้อนใจ ตะโกนเรียกคนให้รีบไปโดยไม่สนใจนายใหญ่เฉิง
ปั้นฉินละสายตากลับจากนอกประตู
“นายหญิง นายหญิง ครั้งนี้มากันสิบคนแหน่ะเจ้าค่ะ!” นางเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายท่าทางตื่นเต้น
เฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน นางยิ้มบาง ยกธนูคล้องไหล่
“บ้านนี้คับแคบนัก ขนาดเป้าฟางยังยิงมิได้ วันนี้จะได้ขยับมือขยับเท้าเสียหน่อยแล้ว” นางเอ่ย
บ่าวรับใช้นอกประตูเดินเข้ามาใกล้ เพิ่งจะข้ามเข้ามาได้ครึ่งทางก็ชะเง้อมองเข้าไปด้านใน ทันใดนั้นก็เห็นแม่นางน้อยออกมายืนด้านนอก ทุกคนจึงหยุดฝีเท้าลง
“แม่นาง แม่นาง พวกเราได้รับคำสั่งมาจากนายใหญ่ แม่นาง ท่านรีบวางธนูลงก่อนเถิด นั่นไม่ใช่ของเล่นนะขอรับ” บ่าวรับใช้ที่อยู่หน้าสุดเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง
“พวกเจ้าเข้ามาใกล้อีกหน่อย” นางบอก
เข้ามาใกล้อีกหน่อยรึ
บ่าวรับใช้มองหน้ากันด้วยความงุนงง แต่ก็เชื่อคำก้าวเข้าไปหา
“พอแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก
พอแล้วอะไรหรือ
บรรดาบ่าวรับใช้หยุดฝีเท้าลงในทันเ
เสียง ฟิ้ว ดังขึ้น บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ริมขวาสุดร้องอุทานออกมา เขากุมศีรษะก้มตัวนั่งย่อตัวลงด้านหลังมีลูกธนูเสียบหมวกตกลงบนพื้น
ยังไม่ทันได้สติดี เสียง ฟิ้ว ก็ดังขึ้นอีกครั้ง หมวกของบ่าวที่อยู่ติดกันก็เลิกตกลง
เสียงร้องดังขึ้น ภายในพริบตาเดียวเหล่าบ่าวรับใช้ต่างโกลาหลกันขึ้น
กล้ายิงธนูจริง! กล้ายิงคนจริงๆ! ดีที่ยิงไม่แม่น มิฉะนั้นล่ะก็…
“แม่นาง แม่นาง หยุดได้แล้ว!” บ่าวที่อยู่หน้าสุดตะโกนบอก เขาย่างเท้ากำลังจะเดินเข้ามา แต่ก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เพราะธนูในมือของหญิงที่ยืนอยู่ข้างประตูกำลังเล็งมาที่เขา
หญิงนางนั้นสวมชุดสีคราม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบาง
“ถึงตาเจ้าแล้ว” นางเอ่ย “เจ้ายืนอยู่ใกล้ไปหน่อย เช่นนั้นก็ยิง…หัวไหล่แล้วกัน”
พูดจบก็ได้ยินเสียง ฟิ้ว ดังขึ้น บ่าวรับใช้เห็นแสงอาทิตย์ประกายวาบตรงหน้า หัวไหล่พลันเจ็บแปลบ ขณะเดียวกันแรงมหาศาลก็เข้าปะทะจนเขาเซล้มลง
ยิงคนตายจริงๆ แล้ว!
ทันใดนั้นบ่าวที่อยู่ด้านหลังก็พากันตะโกนหวีดร้องแตกกระเจิงกันไปคนทิศละทาง
ทว่าพวกเขาวิ่งออกไปไม่ไกลมากนัก ก็ได้ยินเสียงจอแจที่ดังขึ้นตามหลัง มีคนนับสิบถือกระบองตรงเข้ามาทางนี้
ดียิ่งนัก มีคนมาช่วยแล้ว!
พวกบ่าวที่หนีกระเจิงพากันดีใจ ทว่าดีใจได้ไม่ทันไรก็เห็นคนถือกระบอกพวกนั้นไล่ทุบพวกเขา
นายใหญ่เฉิงที่อยู่ห่างออกไป สีหน้าพลันเปลี่ยน
“นะ…นี่มันคนจากที่ใดกัน” นายใหญ่เฉิงตะโกนขึ้น
มีคนโหดร้ายมากมายเช่นนี้ในบ้านตั้งแต่เมื่อใด!
บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ต่างมารวมตัวกันอยู่ข้างกายเขา เห็นบรรดาบ่าวที่ถูกทุบตีสองสามหนก็ล้มลงไปกองกับพื้นร้องคร่ำครวญอย่างอเนจอนาถ พอเห็นเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นดุร้ายดั่งเสือโหยที่ลงจากเขามา สีหน้าก็ซีดเผือด
“เป็นคนของตระกูลโจวขอรับ” พวกเขาพากันตะโกนบอก
คนของตระกูลโจว! นายใหญ่เฉิงสีหน้าบึ้งตึง ทำท่าจะเดินเข้าไป
บ่าวที่อยู่ข้างกายต่างรีบห้ามเอาไว้
“นายใหญ่ ธนูไร้ตา อย่าได้เข้าไปขอรับ” พวกเขาพากันเอ่ยห้าม
“ผิดแล้ว ข้าดูแล้วธนูของนางเหมือนกับมีดวงตาอย่างไรอย่างนั้น” นายใหญ่เฉิงส่ายหน้าบอก พลางสาวเท้าเข้าไป
มีดวงตาหรือ นั่นยิ่งมิควรไปเข้าไปใหญ่เลยมิใช่หรือ
บ่าวเหล่านั้นต่างตามกันเข้าไปด้วย
“หยุดเดี๋ยวนี้!” นายใหญ่เฉิงเดินเข้าไปพลางตะโกนบอก
ไม่ใช่ว่าพ่อบ้านเฉาและพรรคพวกเชื่อฟังที่เขาพูด แต่เป็นเพราะคนที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขานั้นต่างถูกตีจนล้มระเนระนาดกันหมดแล้ว พ่อบ้านเฉากับพรรคพวกเก็บกระบองโดยไม่สนใจคำพูดของนายใหญ่เฉิง แล้วพากันไปล้อมหน้าประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียงเพื่อเตรียมพร้อม หันกระบองในมือเล็งไปยังนายใหญ่เฉิงและพรรคพวก
นายใหญ่เฉิงคลายสงสัยในทันที เพียงแค่เขาก้าวไปด้านหน้า คนพวกนี้ก็พร้อมลงมือกับเขาแน่นอน
“กระทำการอุกอาจในบ้านข้า พวกเจ้าช่างบังอาจนัก!” เขาขมวดคิ้วตะคอกด้วยสีหน้าถมึงทึง
พ่อบ้านเฉาหัวเราะขึ้น
“นายใหญ่ นี่มิใช่ครั้งแรกที่ท่านได้เห็นเสียหน่อย” เขายิ้มบอก
นายใหญ่เฉิงหน้าเขียวในทันใด
ใช่ นี่มิใช่ครั้งแรก ครั้งแรกคือตอนที่แม่ของนางบ้านั่นตาย คนของตระกูลโจวที่มาก็มากกว่าตอนนี้เสียอีก อาวุธที่ถืออยู่ในมือก็น่ากลัวเสียยิ่งกว่ากระบองเป็นไหนๆ ท่าทางที่ทุบตีก็โหดร้ายกว่ายามนี้นัก…
ตระกูลโจว!
นายใหญ่เฉิงกัดฟัน ตระกูลโจวนี่แหละที่ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงของพวกเขาเสื่อมเสีย นึกไม่ถึงว่าสามีภรรยาบ้านรองคู่นั้นยังคิดอยากจะไปสนิทสนมกับตระกูลโจวและเชื่อฟังทำตามแผนการของพวกมัน!
ข้ามศพเขาไปก่อนเถิด!
“ข้าจะตายแล้ว ข้าจะตายแล้ว…”
บ่าวรับใช้นอนกอดหัวไหล่กลิ้งไปมาอยู่บนพื้น เสียงร้องคร่ำครวญดังขัดจังหวะความแค้นเคืองในใจของนายใหญ่เฉิงไป
นายใหญ่เฉิงหยุดอยู่ข้างพวกเขา ก้มหน้าลงมอง นั่นคือบ่าวที่ถูกเฉิงเจียวเหนียงยิงธนูใส่หัวไหล่ พอเห็นดังนั้นก็เดือดดาลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ตายอะไรกัน! เลือดยังไม่ไหลออกมาสักหยด” เขายกเท้าเตะบ่าวรับใช้ผู้นั้น “หลบไปนู่นไป”
บ่าวรับใช้ถูกเตะเข้าก็ยิ่งร้องคร่ำครวญ ทั้งยังตกใจไม่น้อย เขาดึงมือออกจากหัวไหล่มาดู จากนั้นก็นิ่งอึ้งไป ฝ่ามือเขาไม่มีเลือดอยู่สักหยด
“ที่แท้ก็ยิงไม่โดน!” เขาอุทานออกมาแล้วกระโดดโลดเต้น
นายใหญ่เฉิงถีบเขาอีกรอบ บ่าวนายนั้นล้มลงไปนั่งกับพื้น
“ไม่ใช่ยิงไม่โดน” นายใหญ่เฉิงหยิบลูกธนูขึ้นมาจากพื้น นี่ควรจะเรียกว่ากิ่งไม้มากกว่าลูกธนู หัวธนูเหล็กถูกหักไปสามท่อน ซ้ำยังพันด้วยผ้าเอาไว้อีกชั้น
ตอนที่นายใหญ่เฉิงยังเล็กก็เคยเล่นธนูมาก่อน รู้ดีว่านี่คือลูกดอกที่ใช้เล่นปาลงโถ หรือไม่ก็ลูกดอกสำหรับมือฝึกหัด ไม่นับว่าเป็นอาวุธสังหาร
หญิงนางนี้!
เขาเงยหน้ามองไปยังข้างประตู เฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่ตรงนั้นถือธนูพลางอมยิ้ม
“เจ้ากำลังทำอะไร” เขาตะคอกถาม
“ยิงธนูน่ะสิ” เฉิงเจียวเหนียงตอบพลางหยิบลูกธนูจากถุงมาขึ้นคันชัก เล็งไปทางนายใหญ่เฉิง
บ่าวรับใช้รอบข้างพลันลนลานขึ้นมาในทันใด ตะโกนบอกว่าแม่นางจะทำเช่นนั้นมิได้ พลางเยื้อแย่งกันเข้ามาบังนายใหญ่เฉิงไว้ อย่างไรเสียแม่นางผู้นี้ก็ใช้ลูกธนูที่ไร้หัว เจ็บตัวอยู่นิดหน่อยก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด
นายใหญ่เฉิงยื่นมือไปผลักพวกบ่าวออกแล้วมองไปยังเฉิงเจียวเหนียง
“เจียวเหนียง เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เขาบอก
ส่วนฮูหยินใหญ่เฉิงที่กำลังอยู่ไม่สุขภายในห้องโถงก็ได้รับหนังสือเทียบเชิญมาฉบับหนึ่ง
“เจ้าอาวาสซุนหรือ” นางขมวดคิ้วด้วยความตกใจ ทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “น่าประหลาดเสียจริง เหตุใดท่านเซียนหญิงผู้นี้จึงยอมลดตัวมาบ้านเราได้”
วัดเล็กๆ ที่อาศัยการอุปถัมภ์สักการะจากตระกูลนาง ไม่รู้ว่าได้โชคมาจากที่ใดจึงมีชื่อเสียงขึ้นมา พอมีชื่อเสียงแล้วก็ไม่มาที่บ้านอีกเลย
“เจ้าอาวาสซุนบอกว่านางเป็นคนนอกที่ต้องเข้าสู่แดนโลกีย์มาด้วยเหตุสุดวิสัยเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ย
คนนอกพวกนี้ช่างรู้จักสรรหาคำพูดเสียสวยหรู จะพูดอย่างไรพวกนางก็เป็นฝ่ายถูกอยู่ดี
ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นหัวเราะพลางโยนหนังสือเทียบเชิญทิ้งไป
“ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวว่าที่เจ้าอาวาสซุนพูดมาก็ถูกนะเจ้าคะ” แม่นมลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ย “เมื่อก่อนพวกเราล้วนปลอดภัยไร้กังวล ท่านดูยามนี้สิเจ้าคะ หมู่นี้วุ่นวายเสียจน… โชคร้ายอยู่เล็กน้อย เจ้าอาวาสก็มาในเวลานี้ทุกครั้ง…เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นยามสุดวิสัยเหมือนที่นางบอกไว้…”
ฮูหยินใหญ่เฉิงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
นางก็เคยได้ยินมาเช่นกันว่าเหล่านักพรตเต๋าเหล่านั้น สามารถเห็นเคราะห์ร้ายที่คนธรรมดามองไม่เห็นได้ หรือว่าเจ้าอาวาสซุนท่านนี้จะเห็นสิ่งไม่ดีอะไรที่บ้านของนางเข้าจริงๆ
นางครุ่นคิดอย่างใจลอย ยกมือลูบแก้ม สัมผัสถูกแผลจึงได้สติขึ้นมา
ไม่ผิดแน่ ในบ้านต้องมีสิ่งอัปมงคลคอยจ้องทำร้ายอยู่เป็นแน่!
“เชิญนางเข้ามาเถิด” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยบอก
แม่นมเอ่ยรับคำ เพียงไม่นานก็เดินนำเซียนหญิงนางหนึ่งเข้ามา
ฮูหยินเฉิงเงยหน้ามองอย่างใจลอยเล็กน้อย ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ นางจำเซียนหญิงที่เดินเข้ามาเบื้องหน้านางนี้ไม่ได้แล้ว
ไม่ว่าจะมองอย่างไรเซียนหญิงท่าทางสง่างาม สวมชุดคลุมที่ซักจนขาวผ่องนางนี้ ไม่เหมือนกับเซียนหญิงที่มีรอยยิ้มถ่อมตัวเพื่อเอาใจในตอนนั้นโดยสิ้นเชิง
หากเป็นคนคนเดียวกันล่ะก็ เช่นนั้นก็คงมีเพียงคำเดียวที่ใช้อธิบายได้นั่นคือถอดรูปแปลงร่าง
ฮูหยินใหญ่เฉิงนั่งหลังตรงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นึกไปถึงข่าวลือที่ได้ยินเกี่ยวกับเซียนหญิงนางนี้ภายในเมือง
ว่ากันว่าคืนนั้นฟ้าผ่าใส่วัดเสวียนเมี่ยวที่อยู่บนเขา ก็คือเจ้าแห่งลัทธิเต๋าตัวจริงได้สำแดงฤทธิ์เข้าแล้ว จากนั้นก็ให้พลังรากปราณแก่เซียนหญิงซุน
บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ มิฉะนั้นแล้วเหตุใดวัดเสวียนเมี่ยวจึงโด่งดังขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืนได้
“คำนับฮูหยิน” เซียนหญิงซุนเข้ามาก็สะบัดฝุ่นออกแล้วคำนับ
ภายในชั่วพริบตาความโกรธแค้นภายในใจฮูหยินใหญ่เฉิงก็พลันมลายหายไป นางรีบคำนับกลับอีกฝ่าย
เจ้าอาวาสซุนนั่งลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินใหญ่เฉิงที่อยู่เบื้องหน้า ไม่สนใจบาดแผลบนใบหน้าของนาง ราวกับรู้เห็นอยู่ก่อนหน้าแล้ว สีหน้ายังคงเรียบเฉยดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
แม่นางผู้นั้นเคยบอกว่า ของที่หายากย่อมมีค่า เช่นเดียวกันกับคำพูดมีน้อยจึงน่าเคารพ แม่นางที่แทบจะไม่พูดไม่จานางนั้นมักจะระมัดระวังยามอยู่ต่อหน้านางเป็นอย่างมาก ทุกประโยคที่นางพูดแต่ละครั้งนางล้วนรู้สึกว่ายอดเยี่ยมหาใดเปรียบ แล้วตัวนางเองก็เลียนแบบท่าทางของแม่นางผู้นั้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่านับวันนางได้เข้าถึงสัจธรรมความเป็นจริงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ความจริงแล้วผู้คนบนโลกใบนี้ไม่ต้องการฟังว่าเจ้าจะพูดอะไร พวกเขามีแต่อยากให้เจ้าฟังที่พวกเขาพูดเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร สิ่งที่พวกเขาได้ฟังล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ยินเท่านั้น
“ฮูหยิน นี่เป็นคัมภีร์ไท่ผิงที่ข้าคัดลอกมาเอง” นางเอ่ยเข้าประเด็น ส่งม้วนกระดาษให้ “ฮูหยินเอาไว้ระงับอาการเสียขวัญเถิด”
ด้วยประโยคนี้เองอารมณ์ของฮูหยินใหญ่ก็พลันพรั่งพรูออกมา
ดูเอาเถิด ถูกสิ่งอัปมงคลเข้าสิงจริงๆ ด้วย เซียนหญิงที่บรรลุธรรมแค่เห็นก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ดังนั้นจึงได้มอบคัมภีร์มาปัดเป่าความชั่วร้ายให้แก่นาง
“ขอบพระคุณท่านเซียนหญิง” นางเอ่ย รีบยื่นมือไปรับไว้ พอม้วนคัมภีร์มาอยู่ในมือแล้วก็รู้สึกว่าจิตใจพลันสงบ ขอบตานางแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดออกมาซับน้ำตาเบาๆ
“ท่านเซียนหญิง ท่านมาได้เวลานัก ข้ากำลังจะไปท่านเชิญอยู่พอดีเชียว” ฮูหยินใหญ่เฉิงปรับอารมณ์แล้วเอ่ยขึ้น
เจ้าอาวาสซุนพยักหน้า
“เชิญฮูหยินว่ามาได้เลย” นางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตาเปี่ยมเมตตา ราวกับเข้าใจความทุกข์ยากของโลกเป็นอย่างดี
ฮูหยินใหญ่เฉิงมองเซียนหญิงที่นั่งคุกเข่าเบื้องหน้าจิตใจก็ยิ่งสงบขึ้น
“เด็กคนนั้นกลับมาอีกแล้ว” นางเอ่ยแล้วถอนหายใจ “ดังนั้นจึงต้องส่งไปวัดเต๋าให้ท่านดูแล”
เจ้าอาวาสซุนพยักหน้า
“ข้าก็มาด้วยเรื่องนี้พอดี” นางอมยิ้มบอกพลางก้มคำนับ “ฮูหยิน ข้าขอพบสหายเก่าผู้นี้ได้หรือไม่”
ได้ยินหรือไม่ มาด้วยเรื่องนี้!
เห็นได้ชัดว่านางบ้านั่นเป็นตัวกาลกิณีจริงๆ
ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบพยักหน้า
“ท่านรีบไปเถิด รีบไป ก่อเรื่องจนจะฆ่าคนอยู่แล้ว” นางรีบบอก
สิ้นเสียงนั้น ใบหน้าของเซียนหญิงก็ยังคงเรียบเฉยดังเดิม ราวกับไม่ได้ยินคำว่าฆ่าคน แต่ได้ยินเป็นกินข้าวหรืออะไรเทือกนั้นแทน
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่มาได้ยินว่าเด็กสาวในบ้านเกิดบ้าอยากฆ่าคนล่ะก็ ต่อให้เป็นชายร่างใหญ่ใจกล้าแค่ไหนก็ต้องเผยสีหน้าตกใจออกมาบ้าง หากเป็นหญิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ฮูหยินใหญ่เฉิงจิตใจยิ่งสงบขึ้นกว่าเดิม สมกับคนที่ศาสดาแห่งลัทธิเต๋ามอบพลังลมปราณให้เสียจริง
“ได้ เช่นนั้นข้าจะไปดูเสียหน่อย” เจ้าอาวาสซุนคำนับแล้วลุกขึ้นด้วยท่าทางเรียบเฉย
ฆ่าคน ก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร ใช่ว่าจะไม่เคยฆ่ามาก่อนเสียหน่อย
ฟ้าผ่าวัดเสวียนเมี่ยวครานั้น ยามที่กำลังบูรณะวัดขึ้นมาใหม่นั้นเอง นางที่สงสัยใคร่รู้จึงเขาไปตรวจดูในเรือนนั้นอย่างตั้งใจ ก็เห็นสิ่งของที่ไม่มีในบ้านหลังอื่นเข้า มันคือกระบองเหล็กท่อนหนึ่ง
เจ้าอาวาสซุนนึกไปถึงคัมภีร์ของลัทธิเต๋า เหมือนจะเคยกล่าวถึงวิธีที่จะล่อสายฟ้า เพียงแต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันจะได้ผลจริงๆ
อันที่จริงแล้วได้ผลหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกล้าทำหรือไม่
“เช่นนั้นข้าไม่ไปก็แล้วกัน” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยพลางยกมือขึ้นปิดหน้า
เจ้าอาวาสซุนอมยิ้มคำนับ
“ฮูหยินอยู่ที่นี่เถิด ข้าไปก็พอแล้ว” นางเอ่ยแล้วหันหลังเดินตามแม่นมไป
ฮูหยินใหญ่เฉิงเห็นเจ้าอาวาสซุนจากไปแล้วก็ถอนหายใจออกมา นางรีบกอดคัมภีร์ไว้กับตัวแน่น รู้สึกเหมือนดั่งได้ยกภูเขาออกจากอก ทั้งร่างจึงรู้สึกเบาสบาย
“สมกับที่เป็นเซียนหญิงจริงๆ” นางเอ่ย พลางมองคัมภีร์ในมือ ทั้งยังนึกเสียดายที่ตนไม่ไปพบนางให้ไวกว่านี้ “เร็ว บริจาคค่าธูปให้วัดเสวียนเมี่ยวห้าร้อยก้วน”