ประตูบานหนึ่งของเรือนถูกผลักไปอีกด้าน ส่วนบานที่ชนจนพังนั้น พ่อบ้านเฉาก็โยนทิ้งออกไปด้านนอกแล้ว พ่อบ้านเฉากับพรรคพวกจ้องมองหน้าประตูด้วยสีหน้ามาดร้าย ก่อนจะหันไปมองนายใหญ่เฉิงที่เดินเข้ามาภายในเรือนด้วยท่าทางไร้กังวลเหมือนลมโชยโบกพัดสายน้ำไหลเย็น

นายใหญ่เฉิงที่เดินผ่านเหล่าคนตระกูลโจวที่จับจ้องตนด้วยสายตาโหดเหี้ยม แถมในมือยังถือกระบองอีกต่างหาก ในใจก็พลันรู้สึกเหมือนเยือนถิ่นศัตรูอย่างเดียวดาย แม้ว่าเขาจะไม่เคยออกรบ แต่ยามที่อ่านหนังสือก็เคยอ่านเจอความรู้สึกทำนองนี้มาก่อน ทว่าทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงถุยออกมา

นี่มันบ้านของเขา! ถิ่นศัตรูอะไรกัน! บ้านของเขาเขาก็ต้องใหญ่สุดสิ!

นายใหญ่เฉิงยืนอยู่กลางลายบ้านมองไปยังหญิงสาวที่นั่งลงบนระเบียงทางเดินแล้ว

ปั้นฉินส่งผ้าเช็ดหน้าให้ เฉิงเจียวเหนียงวางธนูไว้อีกด้านแล้วรับมาเช็ดเหงื่อ

นายใหญ่เฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวไปนั่งบนระเบียง

หน้าตางดงาม วาจาเป็นเลิศ ฉลาดพูด ฝีมือธนูดี ไม่ว่าข้อไหนก็เพียงพอให้คนสนใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานอยู่กินกันเลย

“เจ้า หายแล้วจริงๆ หรือ” เขาเอ่ยถามพลางมองสตรีตรงหน้า

“ถามถึงข้า หรือถามถึงท่านเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม

นายใหญ่เฉิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นางยังไม่หายหรือ

“ถามข้าล่ะก็ ข้าย่อมรู้แก่ใจดีว่าตัวเองหายแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยบอก “ส่วนท่านจะรู้หรือไม่ นั่นข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”

ประโยคนี้กล่าวได้คลุมเครือนัก เหมือนจะฟังเข้าใจ ทว่ามีความนัยแฝงไว้อยู่… นางน่าจะหายแล้วแต่สติยังไม่ครบถ้วนกระมัง…

นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้วลูบเครา

“ตระกูลโจวรักษาเจ้าหายแล้วหรือ” เขาเอ่ยถาม

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไร นางหยิบธนูขึ้นมา ทันใดนั้นบรรดาบ่าวรับใช้ที่อยู่นอกเรือนก็โกลาหลกันขึ้นมา… แม้ว่าจะไร้หัวธนู แต่ถ้าหากนายใหญ่ถูกคลุมหัวรุมตีล่ะก็คงไม่ดีแน่

“ท่านจะไล่ข้าออกไปหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม

“เรียกว่าไล่เจ้าออกไปได้อย่างไร” นายใหญ่เฉิงเอ่ย กระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง “แค่เปลี่ยนที่อยู่ใหม่เท่านั้น”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าส่งเสียงอ๋อออกมา

“แต่ว่า ยามนี้ข้ายังไม่อยากเปลี่ยนที่อยู่ใหม่” นางบอก

นายใหญ่เฉิงเริ่มพูดอะไรไม่ออก

อะไรที่เรียกว่านางไม่อยาก นางไม่อยากทำอะไรก็ไม่ทำอย่างนั้นหรือ

บ้านนี้ใครเป็นใหญ่กันแน่

“บ้านนี้มีท่านเป็นใหญ่” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง ใช้ผ้าเช็ดสายธนู เอ่ยเสียงพึมพำว่า “แต่ว่า ยามนี้ข้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่”

พูดเช่นนี้สู้ไม่พูดเสียยังจะดีกว่า!

“ไม่ พวกเราจะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่เจ้าค่ะ” จู่ๆ ปั้นฉินก็คิดอะไรขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยขึ้น

หญิงนางนี้…

นายใหญ่เฉิงมองนาง สาวใช้นางนี้จู่ๆ ก็เอ่ยแทรกความเห็นที่ต่างจากเฉิงเจียวเหนียง แต่สีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงกลับไร้ซึ่งความไม่พอใจ

ฮูหยินใหญ่เฉิงบอกว่าสาวใช้นางนี้เป็นคนที่ตระกูลโจวอบรมสั่งสอนมาอย่างดี สิ่งที่เฉิงเจียวเหนียงพูดและกระทำทั้งหมดล้วนแต่มีสาวใช้นางนี้เป็นผู้บงการ หรือจะจริงอย่างที่วันกันนะ

“บ้านหลังนี้หนาวเย็น พวกเราต้องเปลี่ยนเป็นที่ที่หันหน้าเข้าทิศตะวันออก” ปั้นฉินเอ่ย

“แล้วก็ติดถนนด้วย จะได้สะดวกแก่การเข้าออก” พ่อบ้านเฉาเอ่ยตามขึ้นมา “แยกออกเป็นเรือนหลังเดี่ยวเลยยิ่งดี แล้วก็ต้องสะดวกในการทำงานของพวกเราด้วย”

สะดวกในการทำงานของพวกเจ้ารึ สะดวกพวกเจ้ามาก่อเรื่องชกต่อยได้ตามใจน่ะสิไม่ว่า

นายใหญ่เฉิงมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ในเมื่อเจ้าหายแล้ว ซ้ำยังเห็นลำดับบรรพชนแล้วด้วย คงจะรู้แล้วกระมังว่าตัวเองเป็นใคร” เขามองเฉิงเจียวเหนียงพลางเอ่ยถาม

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“แล้วเจ้าเชื่อฟังใคร” นายใหญ่เฉิงถามเสียงขรึม

เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้มออกมา

“แน่นอนว่าข้าย่อมเชื่อฟังตัวข้าเอง” นางยิ้มบอกพลางยกมือห้ามไม่ให้นายใหญ่เฉิงพูด “ท่านวางใจได้ ถึงเวลาที่ข้าต้องไป ข้าก็จะไปแน่นอน”

พูดจบก็ส่งยิ้มบาง ก่อนจะมองนายใหญ่เฉิง

“อีกอย่าง ข้าก็มิได้อยู่ที่นี่อย่างเปล่าประโยชน์”

ประโยคนี้ฟังแล้วแปลกพิกล นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้วมองสตรีเบื้องหน้า

“เจ้า คือเฉิงเจียวเหนียงจริงๆ หรือ” เขาโพล่งถามขึ้น

เฉิงเจียวเหนียงเผยรอยยิ้มเข้มขึ้น

“ท่าน เป็นเจ้าของบ้านนี้จริงๆ หรือ” นางย้อนถาม

ประโยคเหน็บแนมนี้ นายใหญ่เฉิงย่อมฟังเข้าใจ สีหน้าจึงยิ่งไม่น่าดูเข้าไปใหญ่

“อีกไม่นานเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองว่าเป็นข้าหรือไม่” เขาเอ่ยเสียงเข้มพลางหยัดกายขึ้น “ไม่ว่าที่ไหนก็อยู่ได้ วันนี้เจ้าก็ย้ายไปวัดเต๋าเถอะ เดี๋ยวทางนี้เก็บกวาดบ้านใหม่ให้เจ้าเสร็จแล้วก็จะไปรับเจ้ากลับมา”

“จริงหรือ” นางมองเขาพลางถาม

นายใหญ่เฉิงคร้านจะเสวนาด้วยแล้วจึงหันหลังจากไป

พ่อบ้านเฉากับผู้ติดตามของตระกูลโจวคนอื่นๆ รวมตัวกัน รอเพียงสายตาจากเฉิงเจียวเหนียงก็พร้อมจะพุ่งไปตีชายผู้นี้ให้ลงไปหมอบกับพื้น

ทว่านายใหญ่โจวออกจากประตูเรือนไปแล้ว เฉิงเจียวเหนียงก็ไม่ได้ส่งสายตามาให้

บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกจึงพากันถอนหายใจ แม้นายใหญ่เฉิงจะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็แอบถอนใจอยู่ในใจเช่นกัน เขาเสียวสันหลังวาบ

ยังดี ยังดี ยังไม่นับว่าบ้าเกินไป ไม่ได้ยิงธนูไล่หลังมา

ดังนั้นจะเรียกได้ว่าหายแล้วก็ไม่ผิด อย่างน้อยก็รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ เอ็นดูผู้น้อย หากเป็นคนบ้าไม่รู้ความคงได้ก่อเรื่องขึ้นแล้ว

นายใหญ่เฉิงหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมอง หญิงสาวในเรือนนางนั้นนั่งก้มหน้าก้มตาเช็ดสายธนูอยู่บนระเบียง

“นายใหญ่เจ้าคะ”

เสียงเรียกของหญิงนางหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้า

นายใหญ่เฉิงหันไปเห็นเป็นเซียนหญิงนางหนึ่งก็ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าเป็นผู้ใด

“ฮูหยินให้ข้ามา” เจ้าอาวาสซุนเอ่ยบอก

มาได้เร็วเกินไปหน่อยกระมัง แต่ก็ช่างมันเถอะ นายใหญ่เฉิงพยักหน้า

“ไปเถิด พานางไปด้วยเถิด” เขาบอก

พานางไปด้วยหรือ

เจ้าอาวาสซุนแอบตกใจไม่น้อย หรือว่าคนพวกนี้จะไล่เทพเซียนที่แท้จริงออกไปอีกแล้ว เช่นนั้นก็ดียิ่ง! นางอยากจะสักการะบูชาทั้งวันทั้งคืนแทบแย่

นางรีบคำนับแล้วเดินเข้าไปด้านใน

“นายใหญ่ขอรับ หากคนพวกนี้ก่อเรื่องขึ้นมา…” บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ กระซิบถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่

“ก่อเรื่องรึ” นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยความโมโหว่า “นี่บ้านใคร บ้านเราเองยังจะกลัวพวกนั้นแค่ไม่กี่คนมาก่อเรื่อง พวกนั้นสิต้องกลัวเรา!”

บ่าวรับใช้รีบเอ่ยรับคำ

นายใหญ่เฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง

“รวบรวมคนให้พร้อมไว้” สุดท้ายเขาก็เอ่ยขึ้น

อันที่จริงในใจนายใหญ่ก็กลัวเช่นกัน…แน่นอนว่าการคาดเดาของบ่าวรับใช้นี้ไม่อาจพูดออกมาได้ จึงรับคำแล้วรีบไปจัดการ

น่าขายหน้านัก! นายใหญ่เฉินถอนใจออกมาแล้วหันไปมองอีกครั้ง สีหน้าเขาตกตะลึงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ภายในเรือนเซียนหญิงนางนั้นกำลังคำนับเด็กนั่นยกใหญ่…

คำนับนางอย่างนั้นรึ

ตอนนางเจอเขาก็เห็นไม่จะคำนับเสียเต็มกระบวนเช่นนี้…

“แม่นาง ท่านกลับมาแล้ว…” เจ้าอาวาสซุนหมอบลงกับพื้น พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสะอื้น

นับดูแล้วรู้จักกับหญิงนางนี้มาก็ไม่ถึงสองเดือนดี แต่ในใจกลับสนิทคุ้นเคยเหมือนดั่งเป็นญาติกันมาทั้งชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

วัดเสวียนเมี่ยวยามนี้มีชื่อเสียงอย่างแท้จริงทั้งในเจียงโจวและแดนไกล ตัวนางเองก็มิใช่เซียนหญิงที่ใช้ปากหลอกชาวบ้านคนนั้นอีกแล้ว ยามออกมาเทศน์สั่งสอนพระคัมภีร์ ผู้คนก็เคารพนับถือมายิ่งขึ้น แต่พอวินาทีที่ได้ยินว่าแม่นางผู้นี้กลับมา ก็รู้สึกว่าจิตใจสงบเหมือนเด็กน้อยที่อยู่บ้านอย่างเดียวดาย ก่อนจะหันไปเห็นคนในครอบครัวเดินเข้าประตูมาอย่างไรอย่างนั้น

นางมีแต่ความรู้สึกเช่นนี้ตลอดทางที่มา พอได้มาเจอแม่นางน้อยเข้าจริงๆ เจ้าอาวาสซุนก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป นางหมอบอยู่บนพื้นเหมือนอยากจะร้องไห้ แล้วก็ร้องออกมาจริงๆ

หากพวกลูกศิษย์มาเห็นเข้า เกรงว่าคงจะตกอกตกใจกันน่าดู

ปั้นฉินมองเจ้าอาวาสด้วยความประหลาดใจ ตอนที่เจ้าอาวาสกับเฉิงเจียวเหนียงรู้จักกันนั้น ปั้นฉินได้จากตระกูลเฉิงไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่นางก็เคยได้ยินสาวใช้กับชิงเหมยพูดถึงอยู่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่นับว่าแปลกหน้านัก อีกทั้งตอนที่ได้ยินว่าหลังจากฟ้าผ่าวัดเต๋านั่นไป เจ้าอาวาสก็รีบพาคนขึ้นมาช่วยกันดับไฟ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา

คนที่ดีกับนายหญิง ปั้นฉินล้วนชอบทั้งนั้น นางหันไปหยิบผ้าขนหนูร้อนกับชามาส่งให้

“ขอบคุณแม่นาง” เจ้าอาวาสซุนเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นพลางรีบเอ่ยขอบคุณ

ปั้นฉินยิ้มกว้างให้นาง

“แม่นาง ยามนี้ท่านอาการดีขึ้นมาก” เจ้าอาวาสซุนซับน้ำตาเล็กน้อยพลางปรับอารมณ์แล้วเอ่ยขึ้น

“จะดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ยิ้มบางมองเจ้าอาวาสซุน “เซียนหญิงก็เช่นกัน”

เจ้าอาวาสซุนเหมือนว่าน้ำตาปริ่มจะไหลขึ้นมาอีกระรอกก็รู้สึกแปลกใจ อายุอานามนางจะเป็นย่าเป็นยายของแม่นางน้อยได้อยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าเวลาอยู่ต่อหน้านางนั้นตนจะเสียกิริยาอยู่เรื่อย เหมือนกับว่าตัวนางเป็นหลานสาวที่ต้องการที่พึ่งพิง แล้วได้รับการชื่นชมจากยายผู้มีเมตตา

“ล้วนเป็นสิ่งที่แม่นางให้มาทั้งสิ้น” นางคำนับเอ่ย

“เจ้าอาวาสเกรงใจเกินไปแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้ายิ้มบอก “นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านได้มาเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับข้า”

“ไม่ ไม่ หากไม่ได้แม่นางเข้าช่วยเหลือและชี้แนะ พวกเราไหนเลยจะมีวันนี้ได้” เจ้าอาวาสซุนรีบบอก

“ข้ายื่นมือไปช่วยเหลือและชี้แนะนั่นเป็นเรื่องของข้า ส่วนท่านจะรับและเข้าใจได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของท่าน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ดันชาตรงหน้าไปให้แล้วยิ้มบาง “ดังนั้น นี่เป็นสิ่งที่ท่านได้มันมาเอง ไม่ใช่ผู้ใดให้ท่านมา แล้วท่านก็ไม่ได้ติดค้างผู้ใด”

เจ้าอาวาสซุนยกมือขึ้นปาดน้ำตา หัวเราะออกมา

“เจ้าค่ะ แม่นาง ข้าไม่ติดค้างผู้ใด” นางเอ่ยแล้วมองเฉิงเจียวเหนียง “ข้าเพียงแค่ขอบคุณลิขิตสวรรค์ที่ทำให้ข้าได้เจอแม่นาง”

เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้มไม่พูดอะไร ผายมือเชิญให้ดื่มชา

เจ้าอาวาสซุนพยักหน้าขอบคุณแล้วดื่มชากินขนม

“แม่นาง พวกเขาไล่ท่านออกไปอยู่ข้างนอกอีกแล้วหรือ” นางเอ่ยถาม “แม่นางวางใจได้ ที่นั่นทำความสะอาดทุกวัน ซ้ำยังมีตี่เล้ง[1]ขึ้นมา ทั้งอบอุ่นและไม่ชื้นเลยเจ้าค่ะ”

“ข้ายังมีธุระ ไม่ไปพักที่นั่นหรอก” เฉิงเจียวเหนียงบอก

เจ้าอาวาสซุนผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่ก็เอ่ยรับคำไป

“เช่นนั้นแม่นางว่างแล้วก็ไปเยี่ยมเสียหน่อยนะเจ้าคะ” นางเอ่ย

“ได้” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ารับคำ

พอเจ้าอาวาสออกจากตระกูลเฉิงไปถึงวัดเสวียนเมี่ยว เหล่าลูกศิษย์ก็กำลังรอกันอยู่

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านได้เจอแม่นางเฉิงหรือไม่”

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ แม่นางเฉิงจะมาอยู่ที่นี่หรือไม่”

ทุกคนต่างล้อมหน้าล้อมหลังเอ่ยถามกันพัลวัน

เจ้าอาวาสซุนยิ้มบาง เอ่ยตอบไปทีละคำถาม

“ที่บ้านนางจะไล่นางให้มาอยู่ที่นี่จริงๆ” นางเอ่ย “แต่นางบอกว่าไม่มา”

“อ้าว แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า” ศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นด้วยความกังวลใจอย่างอดไม่อยู่ “พวกเขายืนกรานจะไล่นางออกมาเช่นนี้จะทำอย่างไรดี”

เจ้าอาวาสซุนหัวเราะออกมา

“ง่ายนิดเดียว” นางเอ่ยพลางสะบัดแส้ขนหางจามรีแล้วเงยหน้ามองไปบนเขา “ก็เหมือนกับวัดเสวียนเมี่ยวน้อยแห่งนี้ แต่เปลี่ยนชื่อไปเท่านั้น”

เหมือนกับวัดเสวียนเมี่ยวน้อยหรือ เปลี่ยนชื่อรึ เปลี่ยนเป็นอะไร

เหล่าลูกศิษย์ได้ฟังก็พากันมึนงง

“ท่านอาจารย์ เวลาท่านเทศน์สอนคนนอกท่านก็มักจะพูดคลุมเครือแบบนี้ มายามนี้พูดกับพวกเรา ก็ยังพูดเช่นนี้อีกหรือ” เด็กน้อยคนหนึ่งบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้

เจ้าอาวาสซุนหัวเราะออกมายกใหญ่ ยื่นมือไปใช้แส้หางม้าเคาะลงบนหัวเด็กคนนั้น

“เอาล่ะ รีบไปเข้าเรียนได้แล้ว” นางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ใครมีก็ไม่สู้ตัวเองมี พึ่งดินพึ่งฟ้าสุดท้ายสิ่งที่พึ่งได้ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้น อยากจะยืนได้อย่างมั่นคงก็ต้องขยันเล่าเรียน มิฉะนั้นแล้ว ต่อให้สวรรค์โปรดปรานเพียงใด เจ้าก็คว้าไว้มิได้อยู่ดี”

เหล่าลูกศิษย์พากันเอ่ยรับคำอย่างเคร่งขรึม

ในขณะที่การเล่าเรียนในวัดเสวียนเมี่ยวได้เริ่มขึ้นนั้น บรรยากาศภายในบ้านตระกูลเฉิงก็ตึงเครียดขึ้น

พ่อบ้านเฉาละสายตาจากนอกประตูกลับมา

“นายหญิง ข้างนอกโดนล้อมไว้แล้ว” เขาเอ่ย “แต่ไม่ต้องกลัวขอรับ พวกเราหนึ่งคนจัดการพวกเขาได้สิบคน เอาอย่างไรดี จัดการเลยหรือไม่”

………….

[1] ตี่เล้ง สมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณดับร้อน ทะลวงเส้นลมปราณ รักษาโรคหอบ ขับปัสสาวะ