หมิงเวยนั่งบนเนินเขาและแหงนมองท้องฟ้า นางมองอย่างจริงจังแทบไม่ขยับเขยื้อน โหวเหลียงที่มองตามในตอนแรกหลังจากนั้นก็พบว่าตนเองคอแข็งค้าง
เขาตบหน้าผากตนเอง เขานี่โง่จริงจะเรียนรู้อะไรจากคนไม่ปกติได้บ้างเล่าดังนั้นเขาจึงหันคอไปช่วยตัวฝูเปลี่ยนยา
“แม่นางตัวฝูท่านมีความปรารถนาที่ยังทำไม่สำเร็จหรือไม่”
ตัวฝูคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “ข้าอยากกลับไปพบพ่อแม่ของข้าที่หมู่บ้าน…”
นางถูกขายให้ตระกูลหมิงตั้งแต่เด็ก ฮูหยินสามให้ค่าตัวในราคาที่สูง บิดามารดาของนางจึงนำเงินก้อนนั้นสร้างเรือนใหม่อย่างรวดเร็ว จำได้ว่าตอนที่นางเข้ามาในจวนตระกูลหมิง นางคิดถึงบ้านมากเคยร้องขอฮูหยินให้อนุญาตให้ตนกลับไปเยี่ยมบ้าน
แต่ปฏิกิริยาแรกเมื่อทุกคนในครอบครัวเห็นนางคือตื่นตระหนกแล้วถามแม่นมที่มาส่งนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านางทำผิดจนถูกไล่ออกมาหรือ พวกเขาต้องจ่ายเงินคืนหรือไม่ พอได้ยินคำตอบว่าไม่ใช่ก็โล่งใจหลังจากนั้นก็มักจะถามว่านำของอะไรกลับมาด้วยหรือไม่…หลังจากนั้นตัวฝูก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย นางไม่ได้คิดเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว
ฮูหยินและคุณหนูดีต่อนางมากดีกว่าคนในครอบครัวเสียอีก
ได้ยินนางเล่าโหวเหลียงก็ถามไปว่า “พวกเขาไม่ดีต่อท่าน ท่านยังจะกลับไปหาพวกเขาอีกหรือ”
ตัวฝูพูด “คุณหนูบอกว่าเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าข้างหนึ่งตกพื้นก็จะรอให้รองเท้าอีกข้างตกเสมอ ข้ารอให้รองเท้าข้างนั้นตกมานานแล้ว แต่ข้ากลัวไม่กล้าฟังตอนนี้ข้ามีความกล้าแล้ว”
โหวเหลียงซึมซับแล้วถอนหายใจ “เป็นคำพูดที่ลึกซึ้งมาก”
ด้วยความช่วยเหลือของโหวเหลียงทำให้แผลที่ไหล่ถูกพันใหม่อย่างเรียบร้อยตัวฝูถามว่า “ท่านโหวล่ะมีเรื่องที่เสียดายหรือไม่”
โหวเหลียงรู้สึกทึ่งกับคำถามนี้
ในตอนที่เกือบถูกหมิงเวย ‘ฆ่า’ เขานึกถึงชีวิตของตนเองในตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจมากที่สุด ช่วงแรกเขารู้สึกแค้นเคืองใจเป็นอย่างมากรู้สึกว่าตนเองโชคไม่ดี ถูกผู้อื่นทำร้าย ในตอนที่ตนเอง ‘กำลังจะตาย’ ถึงได้เผชิญกับความผิดพลาดของตัวเอง
เขาคิดอยู่นานก่อนจะตอบด้วยความกลุ้มใจ “ถ้าสามารถมีชีวิตต่อได้ข้าก็อยากเป็นคนดี”
ได้ยินดังนั้นตัวฝูก็ยิ้มออกมา
“แม่นางยิ้มอะไรหรือ”
ตัวฝูพูด “ถ้าท่านรอดชีวิตมาได้จริงๆ ท่านคงไม่เป็นคนดี”
โหวเหลียงไม่อยากยอมรับ “เหตุใดจะเป็นไม่ได้เล่าการเดินทางครั้งนี้ข้าทำได้ดีไม่ใช่หรือ”
ตัวฝูตอบอย่างจริงจัง “ท่านอายุมากเพียงนี้แล้ว การทำสิ่งต่างๆ จนกลายเป็นนิสัยไปนานแล้วจะเปลี่ยนอีกได้อย่างไรคงไม่มีทางเป็นเช่นอาจารย์หนิงได้หรอก”
“….” โหวเหลียงพูดอย่างขมขื่น “แม่นางตัวฝูท่านเปลี่ยนไป!”
ตัวฝูกะพริบตา “ข้าไม่ได้เปลี่ยน! ข้าพูดความจริง”
มันคือความจริงนี่แค่ก่อนหน้านี้ตัวฝูไม่รู้จะพูดจากก้นบึ้งของจิตใจอย่างไร
หมิงเวยไม่มองฟ้าแล้วนางกำลังตัดไม้ไผ่
ตัวฝูเดินเข้ามาถาม “คุณหนูกำลังทำธนูหน้าไม้หรือเจ้าคะ”
หมิงเวยเงยหน้าแล้วยิ้ม “ทำธนูหน้าไม้ไปทำอะไร”
“แน่นอนว่า…” เมื่อพูดจบหมิงเวยก็นำไม้ไผ่ที่ตัดแล้วปักลงดินแล้วตั้งใจเงี่ยหูฟัง
ตัวฝูมองครู่หนึ่งแล้วถาม “คุณหนูทำอะไรหรือเจ้าคะ”
“เป็นการฟังการเคลื่อนไหวในระยะไกล” โหวเหลียงตอบ “การฟังเช่นนี้พวกเราต้องอยู่ใกล้กันมากถึงจะได้ยินเสียงฝีเท้าของม้า แต่หากฟังจากใต้ดินก็จะได้ยินชัดเจนมากขึ้น”
ตัวฝูเอนไปข้างหน้าเพื่อฟังและมีเสียงก้องเบาๆ “พวกเขาอยู่ใกล้พวกเรามากใช่หรือไม่เจ้าคะ ได้ยินชัดมากเลย!”
หมิงเวยตอบ “ไม่ใกล้เท่าไรเพียงแค่ใต้ดินจะได้ยินเสียงค่อนข้างชัดเจน”
“เอ๋!” ตัวฝูพูดอย่างสับสน “คุณหนู เหตุใดเหมือนบ่าวจะได้ยินสองเสียงละเจ้าคะ เสียงหนึ่งเบาอีกเสียงหนักกว่า”
หมิงเวยตกใจก้มตัวกลับไปฟังอีกครั้ง เป็นดังที่คาดไว้เสียงเกือกม้าดังก้องเหมือนมีสองเสียงซ้อนกัน
นางฟังเงียบๆ ครู่หนึ่งแล้วจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “ท่านโหวพวกเราคงไม่ตายจริงๆ”
โหวเหลียงดีใจมาก “แม่นางหมิงมีความคิดดีๆ หรือ”
หมิงเวยหยิบไม้ไผ่อีกอันขึ้นมาแล้วตัดออก
โหวเหลียงรู้สึกสับสน “แม่นางทำอะไรน่ะ”
“ทำว่าว”
…………
“หน่วยสอดแนมได้ยินเสียงเกือกม้าอยู่ข้างหน้าคาดว่าพวกเขาอยู่ห่างจากพวกเราไม่เกินครึ่งวัน เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนมากคนที่คุณชายตามหาอยู่อาจอยู่บนเส้นทางนี้”
“ตำแหน่งที่แน่นอนล่ะ”
“…ยังหาไม่พบขอรับ”
หยางชูเลิกคิ้วแล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กองกำลังหนึ่งพันนายใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“ไป! พวกเราไปต้อนรับกันเถอะ!”
แม่ทัพเซี่ยงอ้าปากเขารู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่ตัดสินใจเตือนเขาว่า “คุณชายหยางผู้ที่มาเป็นทหารม้าชั้นยอดของเผ่าหู หากเผชิญหน้ากันตรงๆ พวกเราคงสู้ไม่ได้…”
หยางชูรู้สึกประหลาดใจ “ท่านคิดว่าข้าคิดว่าพวกท่านสู้ได้หรือคิดมากเกินไปแล้ว!”
“…” แม่ทัพเซี่ยงกลืนเลือดกลับ “แต่ท่านบอกว่าจะออกไปต้อนรับ หากไม่ระวังตัวอาจกลายเป็นสงครามได้นะขอรับ!”
หยางชูไม่ตอบกลับเขาตะโกนขึ้นว่า “อาสวน ยกธงให้สูงขึ้นอีก!”
อาสวนตอบรับแล้วสั่งผู้ถือธง “คุณชายบอกให้ยกสูงขึ้นอีก ไม่ได้กินข้าวมาหรืออย่างไร หากยังมีชีวิตอยู่ธงจะล้มลงไม่ได้!”
เหล่าทหารทำสีหน้ามึนตึง แต่ในใจคิดว่าเหตุใดบุรุษผู้นั้นถึงได้เป็นกองทัพขวาที่แข็งแกร่ง ศึกใหญ่ไม่ได้ร่วมเท่าไร แต่ศึกเล็กก็ต้องเจอมามากมายแล้ว ยังไม่เข้าใจเหตุผลอีกหรือ ผู้ที่ไม่เคยเจอกองทัพหูเหรินอย่างเจ้า โห่ร้องเช่นนี้ก็คือการโอ้อวดเท่านั้น…
ในใจคิดเช่นนั้น แต่ละคนจึงก้มหน้าผูกเชือกให้แน่น
ทางด้านอาสวนที่ตะโกนเสร็จเขาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่หางตา เขาเพ่งมองอย่างตั้งใจจากนั้นก็ร้องออกมาอย่างยินดี “คุณชาย ทางนั้นขอรับ! ว่าว มีว่าวอยู่!”
หยางชูเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าวลอยอยู่บนท้องฟ้ามันดูน่าเกลียดเหมือนเศษผ้า แต่มันคือว่าวจริงๆ แน่นอน!
เขาดีใจมาก “เจอแล้ว…”
………..
ในตอนที่หยางชูเห็นว่าวทางด้านซูถูเองก็เห็นเช่นกัน
“พี่เจ็ด นั่นใช่แม่นางหมิงหรือไม่” ซูถูเงยหน้าขึ้นมองว่าวที่ลอยอย่างอิสระภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใส
“ต้องเป็นนางแน่สิ่งนี้เป็นที่ชื่นชอบของสตรีในจงหยวน”
น่าซูถามอีก “นางจงใจหลอกพวกเราหรือไม่ แต่อันที่จริงนางหนีไปแล้ว”
“ไม่หรอก” ซูถูพูด “นางหนีพวกเราไม่รอดแน่นอน”
พอคิดดูอีกทีเขาก็พูดว่า “นอกจากว่าวจะเป็นการละเล่นแล้วคนจงหยวนยังใช้ถ่ายทอดข่าวด้วย นางกำลังส่งข้อความถึงผู้อื่นหรือไม่”
ทันทีที่เขาพูดจบทหารก็วิ่งเข้ามารายงาน “องค์ชาย! มีการเคลื่อนไหวของศัตรูขอรับ! พวกเราได้ยินเสียงกีบม้าอาจมีกองกำลังแคว้นฉีอยู่ข้างหน้าเรา!”
น่าซูตกใจ “กองทัพจากที่จงหยวนมารับนางหรือ”
ซูถูแค่นหัวเราะ “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่มีผลกับเรา! จะฆ่านางหรือพานางกลับไปมีแค่สองตัวเลือกเท่านั้น เหลียงจางผู้นั้นส่งคนมารับนางแล้วอย่างไร กองทัพของเป่ยฉีสามารถเอาชนะพวกเราได้หรือ”
“ไม่ได้!” ทหารของเขาตอบเสียงดัง
“ดี!” ซูถูโบกมือ “เดินทางต่อ!”
แม้ว่าเหลียงจางจะมารับนางด้วยตัวเองเขาก็จะไม่ยอมให้สตรีผู้นี้ออกจากทุ่งหญ้าอย่างปลอดภัย!
กองทัพวิ่งไปข้างหน้าอย่างดุเดือดหลังจากนั้นไม่นานว่าวก็อยู่ใกล้ระยะสายตามากขึ้น
จากนั้นซูถูก็เห็นสตรีที่เขาเกลียดชังเข้ากระดูกดำนั่งบนเนินเขาที่สูงเล็กน้อย มองโหวเหลียงที่เล่นว่าวผ้าขี้ริ้วด้วยรอยยิ้ม
……………