ในเรื่องราวของอาณาจักรมีเขียนเกี่ยวกับสงครามจึงชอบมาที่กองทัพจำนวนหลายแสนถึงล้านคน จากการสังเกตการณ์ในตอนนี้กองกำลังนับพันคนได้เคลื่อนที่มาจนเห็นเป็นจุดดำขนาดใหญ่
โหวเหลียงฟังเสียงพื้นสั่นสะเทือน และฝุ่นที่ลอยขึ้นมาจนแทบจะรวมตัวกันเป็นเมฆก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
“แม่ แม่นางหมิง…”
หมิงเวยจิบน้ำแล้วพูดว่า “ท่านไม่ได้เคยเห็นภาพที่เรียกว่าการนองเลือดบนเขาเทียนเสินหรือ ยังกลัวอยู่อีกหรือ”
โหวเหลียงตอบในใจ แม้ที่เขาเทียนเสินจะต่อสู้กันอย่างหนัก แต่พวกเขาไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ตน! ตัวฝูพบเขาได้ทันเวลาทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่ในที่ซ่อน และเฝ้าดูคนอื่นต่อสู้กัน
คราวนี้เป้าหมายของกองกำลังนับพันคนนี้คือตนจะให้รู้สึกเหมือนกันได้อย่างไร ขนาดทหารม้ายังไม่มาถึงยังสัมผัสได้ถึงพลังอันบ้าคลั่งราวกับว่าพวกเขาจะก้าวข้ามผ่านตน และบดกระดูกทุกชิ้นให้เป็นผง
“ท่านโหวเล่นว่าวดีๆ” ตัวฝูเตือนเขา โหวเหลียงทำได้เพียงเช็ดเหงื่อบนใบหน้า และเล่นว่าวอย่างเศร้าสร้อย แอบสวดอ้อนวอนขอให้ผู้ช่วยชีวิตมาถึงทันเวลา
ทหารม้าเข้ามาใกล้มากขึ้นดูเหมือนว่าเขาจะเห็นใบหน้าของซูถูและได้กลิ่นสาบแกะบนตัวพวกหูเหริน หากถูกจับกลับไปตนจะต้องไปเลี้ยงแกะหรือไม่
โหวเหลียงคิดฟุ้งซ่านจนสติของเขากลับมากองทหารนับพันของหูเหรินก็มาหยุดตรงหน้าพวกเขาแล้ว
เขาหันศีรษะไปพบกับสายตาอันมืดมิดของซูถูจึงยิ้มตอบกลับไปแล้วยกเชือกในมือขึ้น “องค์ชายเจ็ดมาเล่นว่าวด้วยกันดีหรือไม่”
ซูถูนั่งบนหลังม้าเขามองต่ำลงมาจนครู่หนึ่งโหวเหลียงคิดว่าเขาจะดึงดาบออกมาและตัดหัวของตน แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไร
น่าซูตะโกนขึ้น “แม่นางหมิง เจ้ากับตัวฝูกลับไปกับพวกเราเถิด หากเจ้ารับปากข้าจะขอร้องกับพี่เจ็ดให้ไว้ชีวิตพวกเจ้า”
โหวเหลียงดึงเชือกว่าวพลางคิดอย่างเหม่อลอย อืม…พวกเขาต้องการตัวพวกนาง ไม่ได้รวมตนด้วย!
หากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาสามารถหนีไปได้หรือไม่ ตื่นเต้นไปได้ไม่ทันไร โหวเหลียงก็รู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป ด้วยนิสัยของหูเหรินคิดว่าตนไม่สำคัญคงฆ่าตัดตอนตรงๆ แทนที่จะปล่อยกลับไป…
“องค์ชายน่าซูไม่เจอกันตั้งหลายวัน รูปงามขึ้นเยอะเลย!” หมิงเวยไม่ตอบคำถามของเขา แต่ทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“จริงหรือ” น่าซูหัวเราะเบาๆ แล้วแตะใบหน้าของตน “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น!”
ซูถูขี้เกียจสนใจน้องชายผู้โง่เขลาของตนแล้วก้าวไปข้างหน้า
“ท่านได้รับบาดเจ็บ สาวใช้ของท่านก็ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ยังมีเล่ห์เหลี่ยมหรือกับดักอะไรอีกหรือไม่”
หมิงเวยส่ายหัวอย่างตรงไปตรงมา “พวกท่านมีจำนวนมากพวกเราไม่สามารถวางกับดักได้มากพอหรอก”
ซูถูพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีท่านเลือกมาว่าจะฆ่าตัวตายหรือให้ข้ายิงท่านให้ตายดี”
หมิงเวยยิ้ม “ถึงแม้จะสร้างกับดักไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีทางอื่นแล้ว”
ซูถูหรี่ตาลง เขาฟังหมิงเวยพูดต่อว่า “ตอนนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงมีกิ่งไม้ที่ตายแล้วทุกหนทุกแห่ง อากาศแจ่มใส แม้แต่ลมก็ยังพัดพอดีหากข้าจุดไฟ…”
มือของซูถูกระชับสายบังเหียนแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว หมิงเวยหัวเราะออกมา แต่ไม่นานนางก็ต้องกดหน้าอกแล้วไอออกมา
“วางใจเถอะ นี่เป็นแผนเดิมของข้าก่อนหน้านี้ข้าสังเกตทิศทางลม ลมพัดไปทางท่านพอดีทำให้ความเป็นไปได้สูง แต่ข้าก็เปลี่ยนใจ”
“เพราะเหตุใดกัน”
“เพราะราคาที่จ่ายมันสูงเกินไป” หมิงเวยหันไปมองทางใต้ ภูเขาป่าไม้ที่กว้างใหญ่ที่มองไม่เห็นสุดทาง “เมื่อไฟถูกจุดแล้วไม่รู้ว่าไฟจะไหม้อีกนานเพียงใด สัตว์ร้ายที่เตรียมตัวในฤดูหนาว ผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขายังมีคนเลี้ยงสัตว์ที่เร่ร่อนอยู่แถวนี้ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีคนตายไปมากน้อยเพียงใด”
ซูถูพูดเสียงเย็นชา “ที่เขาเทียนเสินคำพูดไม่กี่คำของท่านทำให้พวกเราหลายหมื่นคนต้องตายอย่างน่าสลดใจ มาพูดอะไรเช่นนี้ในตอนนี้ไม่คิดว่าน่าขันไปหน่อยหรือ”
หมิงเวยตอบอย่างจริงจังว่า “ไม่น่าขันเลย บางครั้งชีวิตนับหมื่นตายไปข้าไม่แม้แต่กะพริบตา แต่บางครั้งแม้แต่ชีวิตเดียวก็มีค่าควรแก่การหวงแหน”
ซูถูตกใจคำเหล่านี้ที่เข้ามาในหูของเขานั้นมีความหมายอื่นแอบแฝง การเป็นราชา ประชาชนเสมือนหมากรุก หลายหมื่นชีวิตไม่มีค่าอะไรเลย แต่การจะปกครองใต้หล้าแค่ประชาชนคนหนึ่งก็ถือว่ามีค่ามากแล้ว
แต่เขากำลังจะเป็นจ้าวแห่งทุ่งหญ้า และในอนาคตอาจมีประชาชนมากกว่านี้ เขาควรคิดจากมุมมองนี้ สตรีผู้นี้มีสิทธิ์อะไรนางไม่ใช่ฮ่องเต้ไม่มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์แม้แต่นิดเดียวเหตุใดนางถึงมีมุมมองเช่นนี้ได้
ถ้าหมิงเวยรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่คงหัวเราะออกมาแน่นอน
นางไม่ได้หมายความว่าใต้หล้าคือกระดานหมากรุก แต่นางไม่สนใจนักรบของหูเหรินเพราะพวกเขาคือมีดในมือของหัวหน้าเผ่าหู แต่ถ้าเป็นประชาชนนางจะพยายามรักษามันไว้ให้ดีที่สุดเพราะสงครามไม่ใช่ความรับผิดชอบของพวกเขา
“องค์ชาย!” หัวหน้าองครักษ์กระซิบเรียกสติ “กองทัพแคว้นฉีเข้ามาใกล้แล้วขอรับ”
แม้อีกฝ่ายไม่บอกเขาก็รู้สึกได้ การสั่นสะเทือนบนพื้นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้เข้ามาแล้ว
ซูถูถอนใจแล้วก้มหน้าถามอีกครั้ง “นั่นเป็นคนรับช่วงต่อจากท่านหรือ”
“เป็นเรื่องบังเอิญ” หมิงเวยพูด “แต่เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้จังหวะพอดีนับว่าข้ายังมีโชคอยู่”
ซูถูแค่นหัวเราะเขาหยิบคันธนูออกมาแล้วเล็งไปที่นาง “แต่ก่อนที่พวกมันจะมาถึงข้าสามารถยิงพวกท่านให้ร่วงก่อนได้!”
หมิงเวยถอนหายใจ “ข้าแนะนำว่าท่านอย่าทำจะดีกว่า”
“เพราะเหตุใด!”
“เพราะว่า…”
ยังไม่ทันพูดจบประโยคทางฝั่งหูเหรินก็เกิดความโกลาหลมีคนตะโกนขึ้นว่า “นักรบเกราะเหล็ก! ดูนั่นนักรบเกราะเหล็ก!”
ทั้งสองกองทัพต่อสู้กันเป็นไปไม่ได้ที่จะจดจำใบหน้ากันได้เพราะฉะนั้นธงคือวิธีจดจำของพวกเขา นักรบเกราะเหล็กไม่ได้เป็นเพียงตำนานในหัวใจของนักรบแดนต้าฉีเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รู้จักในหูเหรินด้วย
นี่คือกองทัพใหญ่ของต้าฉีที่ครั้งหนึ่งเคยบุกเข้าไปในหวางถิงพร้อมกับทหารม้าห้าร้อยนาย
ตัวฝูตะโกนทันที “คุณหนู เป็นคุณชายเจ้าค่ะ! คุณชายมารับพวกเราแล้ว!”
หมิงเวยหันศีรษะมอง และเห็นธงโบกสะบัดอยู่ไม่ไกลที่แปลกคือเสาธงต้นหนึ่งไม่ได้คลุมด้วยธง แต่ผูกไว้กับ…ร่ม
หมิงเวยหัวเราะออกมาทันที เป็นการทักทายที่แปลกอะไรอย่างนี้ มีแต่เขาเท่านั้นแหละที่คิดได้! กลัวนางจะไม่รู้หรือว่าผู้ใดมาถึงได้แขวนร่มหนังฉลามไว้ที่ธง
“เพราะหากท่านฆ่าข้าในตอนนี้ราคาที่ต้องจ่ายคงไม่อาจจ่ายไหว” เดิมทีนางต้องการใช้สำนวนภาษาดอกไม้เพื่อหลอกลวงผู้คน แต่เพราะการปรากฏตัวของร่มคันนี้น้ำเสียงของนางจึงดูมีความมั่นใจขึ้น
ไม่กลัวแล้วนางมีผู้สนับสนุนแล้ว!
ซูถูแค่นหัวเราะคิดจะทำให้นางได้ลิ้มรสกับความล้มเหลวในความพยายามครั้งสุดท้ายเสียบ้าง แต่ทันใดนั้นเสียงกลองดังราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นเป็นจังหวะ
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงคำสั่งดังมาจากฝั่งต้าฉี “นักรบเหล็กฟังคำสั่ง ตั้งแถว!”
“เฮ้ๆๆ!” หลังเสียงตะโกนสามครั้งกองทัพต้าฉีที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาก็แยกตัวออกไป จัดแถวรวมกลุ่ม สลับกันไปมาในรูปแบบที่สวยงามประชิดใกล้อีกฝ่าย
ตามสัญชาตญาณของนักรบทำให้ซูถูปล่อยหมิงเวยทันที และมองคนเหล่านั้นเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาโบกมือทหารดึงกระบี่ออกจากฝัก ธนูง้างเตรียมพร้อม