บทที่ 379 กลับมา

คู่ชะตาบันดาลรัก

หนึ่งเค่อก่อนหน้านี้

“คุณชายหยางกองทัพหูเหรินอยู่ข้างหน้าขอรับ!” แม่ทัพเซี่ยงรายงานฟันของเขาก็สั่นเล็กน้อยซึ่งทำให้น้ำเสียงของเขาฟังดูแปลก

หยางชูเหลือบมองเขา “ท่านกลัวหรือ”

แม่ทัพเซี่ยงยืดตัวขึ้น “ไม่ขอรับ!”

ล้อเล่นน่ะเขาเป็นหัวกะทิของกองทัพซีเป่ยที่มีประสบการณ์การต่อสู้มามากมาย…ก็นะ กองทัพฝ่ายขวาที่ไม่ค่อยได้ออกรบส่วนมากจะเป็นการต่อสู้จากการเกิดความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ แทบจะไม่ค่อยได้เผชิญหน้ากันกับทหารหูเหริน…

แต่ก็ยังไม่กลัว!

ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าคุณชายที่ดีแต่พูดผู้นี้อีกแล้ว!

“ไม่กลัวก็ดี” หยางชูหันหน้ามาก่อนเอ่ย “อาสวน!”

“ขอรับ!”

“ไปตีกลอง”

“ขอรับ”

แม่ทัพเซี่ยงตกตะลึงจนกระทั่งอาสวนรับกลองรบไปเขาถึงได้สติ “เดี๋ยวก่อนขอรับ! คุณชายหยางท่านต้องการอะไรบอกมาได้เลยกลองรบพวกเราก็มี…”

หยางชูตอบ “เมื่อครู่แม่ทัพเซี่ยงบอกว่าเสียงกลองการจัดแถวของพวกท่านเหมือนกับที่ข้าเรียน แสดงว่าท่านได้เรียนค่ายกลห่วงคู่ด้วยใช่หรือไม่”

“เคยเรียน แต่ว่า…”

“เช่นนั้นก็ดี” หยางชูพูดขัดเขาอีกครั้ง “ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปฟังเสียงกลองแล้วลงมือทำ หากเกิดข้อผิดพลาดจบเรื่องนี้จะดำเนินการตามกฎกองทัพ!”

ตอนแรกอีกฝ่ายดูมีท่าทางอบอุ่น แต่ตอนหลังกลับดูเข้มงวดมาก

แม่ทัพส่งเสียงตอบรับโดยสัญชาตญาณว่า “ขอรับ!”

จากนั้นเขาก็แทบจะตบหน้าตัวเองเขาเกรงกลัวอำนาจของคุณชายผู้นี้ได้อย่างไร แต่ก็ตอบรับไปแล้วจะโต้แย้งอย่างไรเล่า

หยางชูไม่สนใจเขาอีกหันศีรษะไปอีกด้าน และสั่งให้ขุนศึกแขวนร่มไว้กับเสาธงแล้วออกเดินทางต่อไป แม่ทัพเซี่ยงมองร่มคันนั้นแล้วรู้สึกว่าชีวิตของตนเองน่าเป็นห่วง…

ช่างเถอะ ธงของนักรบเกราะเหล็กก็ยกขึ้นไปแล้วลองแสร้งทำเป็นโหดร้ายดุดันดูบ้าง บางทีมันอาจจะทำให้หูเหรินกลัวได้โดยไม่ต้องต่อสู้ด้วยซ้ำ

เพื่อชีวิตของเขาเองแม่ทัพเซี่ยงจึงกัดฟันพูดว่า “ทำตัวกระปรี้กระเปร่าให้ข้าเห็นหน่อย เบื้องหน้าคือหูเหรินคนที่อยากมีชีวิตรอดให้ฟังคำสั่งข้าได้ยินหรือไม่”

เมื่อเขาปลุกปั่นขวัญกำลังใจอย่างต่อเนื่องทหารนับพันก็ฮึกเหิมและต้องการที่จะจัดการซูถู

เมื่อเข้าไปใกล้หยางชูก็ออกคำสั่ง “จัดแถว!”

แม่ทัพเซี่ยงตะโกน “นักรบเหล็กฟังคำสั่ง จัดแถว!”

ทันใดนั้นเสียงกลองรบของอาสวนดังขึ้น กองทัพซีเป่ยที่เคยชินกับการฟังเสียงกลองจัดแถวก็แยกย้ายกันไปทันทีเพื่อหาตำแหน่งของตนเอง หยางชูเหลือบมองแล้วพูดรหัสลับกับอาสวน

เสียงกลองเปลี่ยนไปเล็กน้อยทหารกองทัพซีเป่ยกระจายไปอยู่พื้นที่เล็กๆ ตามคำสั่งของเสียงกลองจัดกระบวนแถวขึ้นมาใหม่

แม่ทัพเซี่ยงเห็นว่าการจัดกระบวนแถวเริ่มผิดปกติจึงกังวลอยากโน้มน้าวเขาไม่ให้สร้างปัญหา อยากบอกว่าเรื่องสั่งการยกให้เป็นหน้าที่ของตน แต่พอตั้งใจมองดูดีๆ ก็พบว่าการจัดกระบวนแถวนี้ค่อนข้างคุ้นเคยเขาคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องถอนหายใจ

เขาหันไปหาหยางชู “คุณ คุณชายหยาง นี่คือค่ายกลห่วงคู่หรือ ค่ายกลห่วงคู่ของนักรบเกราะเหล็กงั้นหรือ”

หยางชูมองเขาอีกฝ่ายเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “พวกเราคือนักรบเกราะเหล็ก แน่นอนว่าเราต้องปรากฏตัวด้วยค่ายกลห่วงคู่สิ”

“….” แม่ทัพเซี่ยงมองธงนักรบเกราะเหล็กด้วยสีหน้าสับสน

ค่ายกลห่วงคู่ เป็นกระบวนแถวที่เป็นเอกลักษณ์ของนักรบเกราะเหล็ก ฆ่าศัตรูนับไม่ถ้วนและมีชื่อเสียงระบือไกล แต่รูปแบบนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่มากจึงนำมาใช้ได้ยากซึ่งแม้แต่เขาก็ยังไม่เคยเรียน แต่เหตุใดคุณชายผู้นี้ถึงทำได้ ตกลงผู้ใดเป็นแม่ทัพซีเป่ยกันแน่ ผู้ใดเป็นผู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนกันแน่

หยางชูมองเห็นหมิงเวยแล้วนางอยู่ท่ามกลางกองทัพทั้งสอง แต่เขาไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าจนกว่ากองทัพฉีจะจัดแถวเสร็จและแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร

“คุณชายหยางขอรับ” แม่ทัพเซี่ยงตะโกนเรียก

หยางชูไม่สนใจและนำขุนศึกทั้งสองไปข้างหน้าไม่สนว่าลูกธนูของฝั่งตรงข้ามง้างรอแล้ว หากเขาออกคำสั่งธนูฝั่งตนก็พร้อมพุ่งออกไปเป็นสายฝน

เขายืนอยู่ตรงกลางและสำรวจซูถูตั้งแต่หัวจรดเท้าแววตาของเขาฉายแววปรามาส เขาถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ท่านคือองค์ชายซูถูหรือ”

ซูถูมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาไม่พูดอะไร เป็นน่าซูที่ขี่ม้าไปข้างหน้าแล้วถามออกไป “ท่านเป็นผู้ใดกัน”

“ข้าแซ่หยาง โป๋วหลิงโหวหยางว่างคือปู่ของข้า ส่วนท่านย่าของข้าคือองค์หญิงหมิงเฉิง” แม้น่าซูจะไม่เคยไปเยือนจงหยวน แต่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับชื่อของแม่ทัพจงหยวนมาบ้าง

“อา! ท่านคือหลานขององค์หญิง! ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของพวกเขามันวิเศษมาก”

หยางชูพยักหน้า “ท่านคือองค์ชายน่าซูหรือ”

“ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ” น่าซูแปลกใจ

“แน่นอน” หยางชูตอบ “ข้าพอรู้สถานการณ์ของทั้งแปดเผ่าในเป่ยหูมาบ้าง ผู้ใดจะไม่รู้จักองค์ชายทั้งสองกันล่ะ ว่ากันว่าทั้งสองท่านสังหารหัวหน้าเผ่าทั้งแปดในพริบตาเดียว และได้ขึ้นเป็นจ้าวแห่งทุ่งหญ้า เหตุใดจึงไม่รวมเผ่าอยู่ที่หวางถิงดีๆ เล่าวิ่งมาถึงเป่ยเทียนเหมินทำไมกัน”

น่าซูกำลังจะตอบ แต่ซูถูพูดแทรกขึ้นมาว่า “ท่านพูดไร้สาระเกินไปแล้วข้าจะไปไหนมาไหนไม่ใช่เรื่องที่คนจงหยวนอย่างพวกท่านต้องมาสนใจ ตอนนี้ฤดูหนาวใกล้มาเยือนแล้ว พวกเราไม่อยากต่อสู้หรอกนะพวกท่านกลับไปแต่โดยดีจะดีกว่า ข้าจะถือว่าพวกเราไม่เคยพบกัน”

หยางชูยิ้มตาหยี “ไม่มีปัญหา” พูดจบเขาก็ตะโกนใส่หมิงเวย “คำพูดขององค์ชายซูถูได้ยินหรือไม่ยังไม่รีบกลับมาอีก! ข้าไม่เฝ้าสักวันสตรีอย่างท่านก็ออกไปวิ่งเพ่นพ่านเสียแล้ว!”

หมิงเวยหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ข้าผิดไปแล้ว”

“เดี๋ยวก่อน!”

พอได้ยินเสียงตะโกนของซูถูหยางชูก็เลิกคิ้ว “ทำไมหรือองค์ชายซูถูพวกเราก็ฟังท่านแล้วนะ!”

ซูถูพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “พวกท่านกลับไป! แต่สตรีผู้นี้ข้าต้องพากลับไปด้วย!”

หยางชูเชิดหน้ามองเขาด้วยความสงสัย “องค์ชาย เช่นนั้นไม่ดีหรอกนะ”

“มีอะไรไม่ดี”

หยางชูถอนหายใจ “ตามเหตุผลแล้วองค์ชายต้องการสตรีสักคนไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่สตรีผู้นี้ดุร้ายเกินไปซ้ำยังโยนความผิดมาให้ข้าก่อนหน้านี้ข้าถูกนางบังคับให้สาบานว่าให้นางอยู่เคียงข้างกายจะไม่รักษาคำพูดก็ไม่ได้”

ซูถูพูดเสียงเยือกเย็น “พูดเช่นนี้นางเป็นสตรีของท่านหรือ”

หยางชูยิ้มอย่างเขินอาย “ถึงจะน่าอายนิดหน่อย แต่ก็ตามนั้น”

“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ”

หยางชูพูดอย่างลำบากใจ “เช่นนั้นก็ไม่ดี คำสาบานของข้าท่านย่าสอนข้าว่าหากไม่ปฏิบัติตามคำสาบานจมูกจะกลายเป็นจมูกหมู ใบหน้าอันงดงามของข้าหากมีจมูกหมูก็คงดูไม่ดี”

สีหน้าของซูถูยิ่งเย็นชาคนแซ่หยางผู้นี้พูดแต่เรื่องไร้สาระ แต่ทัศนคติของเขาแน่วแน่มาก เขามาเพื่อสนับสนุนสตรีผู้นี้

ทหารเหล็กที่อยู่ด้านหลังเขาได้ง้างธนูเล็งมายังพวกตนเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายไม่มีท่าทีอ่อนแอเลยกระบวนแถวก็จัดวางไว้เรียบร้อยแล้วด้วย

หากเป็นกองทัพอื่นเขาไม่กลัว ก็แค่ทหารพันนายมากดดันกันตรงหน้าไปก็เท่านั้น ทันทีที่บุกโจมตีก็ล่าถอย คาดว่าฮ่องเต้แคว้นฉีไม่กล้าทำสงครามจริงๆ หรอก

แต่นี่เป็นนักรบเกราะเหล็ก

กระบวนแถวที่แน่นหนานี้เขารู้ดีว่าเป็นค่ายกลห่วงคู่ ว่ากันว่ามีเพียงนักรบเกราะเหล็กเท่านั้นที่เชี่ยวชาญ หากต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายตนเองอาจไม่แพ้ แต่คงเกิดการสูญเสียมหาศาลแน่…

“พี่เจ็ด พวกเราถอนทัพกันดีกว่า” น่าซูพูดเสียงเบา “กระบวนแถวนี้เป็นนักรบเกราะเหล็กจริงๆ หากเกิดสู้กันขึ้นมาพวกเราคงถูกพวกที่หนีรอดไปได้เอาเปรียบแน่”

พวกที่หนีรอดไปได้หมายถึงชนเผ่าอื่น แต่หากถอยเช่นนี้…

ซูถูมองหมิงเวยแล้วพูดขึ้น “ท่านจะกลับจงหยวน ฮ่องเต้แคว้นฉีจะตบรางวัลท่านหรือ”

หมิงเวยส่ายหน้า “ไม่”

“หมายความว่าท่านจะไม่ได้รับอะไรเลย”

“ใช่แล้ว”

ซูถูก้มหน้ามองนาง “ถ้าเช่นนั้นท่านกลับทุ่งหญ้าไปกับข้า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปคิดซะว่าท่านเป็นชาวหูเหรินทุ่งหญ้าแห่งนี้คือบ้านเกิดของท่าน”

รอยยิ้มของหมิงเวยหายไป “แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร”

“เรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาเทียนเสินถือว่าเป็นอันจบไป และหากท่านต้องการข้าสามารถแต่งตั้งท่านเป็นหวางเฟย[1] หลังจากนี้บุตรของท่านก็จะได้รับทุ่งหญ้าผืนนี้สืบทอดต่อแม้กระทั่ง…”

ใต้หล้า

…………

[1] หวางเฟย : พระมเหสี