หยางชูโกรธมาก “เด็กนี่! ตีคนห้ามตีหน้าไม่เคยได้ยินหรืออย่างไร”
ก็บอกไปแล้วว่านางเป็นสตรีของเขายังมาขอแต่งงานต่อหน้าคนจำนวนมากอีก รักษาหน้ากันหน่อย!
ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่กล้าคิดถึงเรื่องลูกเลย แต่เด็กนี่กลับพูดเรื่องลูกออกมา
หยามหน้า หยามหน้ากันเกินไปแล้ว!
ซูถูไม่ได้มองเขา แต่มองหมิงเวย “ท่านว่าอย่างไร”
หมิงเวยตกใจไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมาดังๆ
“ท่านกล้าหัวเราะ! มีคนมาหยามหน้าข้าถึงเพียงนี้ไม่รู้หรือว่าควรตอกกลับไป” หยางชูพูดอย่างโกรธๆ
น่าซูเลิกคิ้ว “แม่นางหมิงสามีของเจ้าพูดไม่ดีต่อเจ้าเลย! เจ้ากลับไปกับพวกเราเถอะ อย่างน้อยพี่เจ็ดไม่ดุด่าเจ้าแน่นอน”
หมิงเวยลำบากใจมาก “ท่านก็ได้ยินแล้วข้าใช้เวลาไม่น้อยเพื่อเข้าหาเขา หากข้าตัดสินใจไปมันไม่เสียเปล่าไปหน่อยหรือ”
น่าซูไม่เห็นด้วย “ดูหน้าขาวๆ ของเขาสินั่นคือหนุ่มที่อ่อนต่อโลกในจงหยวนหรือ ไม่มีความเป็นบุรุษเลยสักนิดสู้พี่เจ็ดก็ไม่ได้”
“ท่านว่าผู้ใดอ่อนต่อโลกกัน” หยางชูโกรธจริงๆ “มาๆๆ มาสู้กันสักตั้งผู้ใดแพ้คนนั้นต้องเรียกบิดา”
น่าซูปฏิเสธ “ข้าไม่อยากเป็นบุตรของท่านหรอกนะ! รู้สึกเหมือนตัวเองแก่”
“เฮ้!”
หมิงเวยกุมหัวหัวเราะอยู่พักหนึ่งแล้วพูดกับซูถูว่า “องค์ชายเจ็ดฆ่าข้าไม่ลงหรือ! ที่พูดก่อนหน้านี้ข้ายังชอบบุรุษที่ดูจะตรงไปตรงมามากกว่า”
ซูถูพูดอย่างสงบ “เช่นนี้ยังไม่ตรงไปตรงมาหรือ”
“ท่านคิดว่าท่านไล่ตามฆ่าข้ามาตลอดทางได้รับบาดแผลตามตัวเพิ่ม อีกทั้งยังบาดเจ็บภายในอีกมีตรงไหนตรงไปตรงมาบ้าง”
ซูถูไม่อยากพูดกับนางอีกจึงถามต่อว่า “แล้วท่านตกลงหรือไม่”
หมิงเวยยิ้มแล้วส่ายหน้า “น่าเสียดาย ท่านมาช้าไป”
“หมายความว่าไม่ตกลงงั้นหรือ”
“ข้าได้เลือกแล้วไม่เปลี่ยนใจอีก”
ซูถูไม่เข้าใจคำพูดกำกวมของนางสีหน้าของเขาค่อยๆ มืดครึ้มลง
บรรยากาศตึงเครียดมากขึ้น และน่าซูก็ถอยห่างออกไปตามสัญชาตญาณไม่ได้ทะเลาะกับหยางชูอีก
ซูถูยกกระบี่ขึ้นชี้ไปที่นาง “ข้าให้โอกาสสุดท้ายกับท่าน หากท่านไม่ตกลง ข้าจำเป็นต้องให้ท่านตายที่นี่ระยะห่างแค่นี้ ต่อให้เป็นนักรบเกราะเหล็กก็ช่วยไม่ทัน”
หมิงเวยยิ้มแล้วส่ายหน้า “องค์ชายเจ็ดให้ความสำคัญกับข้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมาก แต่ข้าไม่อยากเลี้ยงแกะไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ ไม่มีอาหารเลิศรส มันน่าเบื่อมาก”
ในตอนนั้นเองหยางชูกระชับกระบี่ที่เอวพลางจ้องมองท่าทีของอีกฝ่าย ปากก็พูดออกไปว่า “ใช่แล้ว หวางเฟยอะไรกัน หวางเฟยเลี้ยงแกะหรือ นางต้องการอะไรข้าล้วนสรรหามาให้เอาใจนางเป็นอย่างดี”
ซูถูถอนหายใจจากนั้นเขาก็เผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเล็กน้อย “ข้าให้โอกาสท่านมามากมาย แต่ท่านไม่รับมันไว้ข้าคงทำได้เพียง…”
ไม่จำเป็นต้องพูดต่อก็เป็นที่เข้าใจกันดีคมกระบี่มีจิตสังหารรุนแรงเพียงนี้
ในเวลาเดียวกันเหล่าหูเหรินที่ยกกระบี่ง้างธนูเตรียมพร้อมต่างจ้องกองทัพแคว้นฉีตรงหน้าอย่างแน่วแน่ระวังพวกเขาเป็นอย่างดี
ธนูเหล่านี้ข่มขู่กองทัพแคว้นฉีไม่ได้หรอกเพราะระยะห่างไม่ใกล้พอ พวกเขายังมีหน่วยป้องกันยังมีวิธีการชุดใหญ่ที่จะจัดการธนูจากแคว้นฉี
แต่พวกหมิงเวยทั้งสามคนนั้นแทบจะเป็นยันต์เร่งตาย
นางกับตัวฝูได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่คนหนึ่งไม่สามารถโคจวรกำลังภายในได้ อีกคนใช้ร่างกายครึ่งส่วนไม่ได้ รวมทั้งบัณฑิตอ่อนแออย่างโหวเหลียงที่ไม่มีช่องว่างให้ต่อสู้เลย
ซูถูไม่รีบร้อนที่จะฆ่า หนึ่งคือฆ่าไม่ลง สองคือเพราะเขามีโอกาสที่แน่นอน ต่อให้มีทหารมาช่วยนางก็หนีไม่พ้น
โหวเหลียงขาสั่นไม่หยุด เขาจับว่าวไม่อยู่ตั้งนานแล้ว และว่าวก็ลอยไปไกลเสียแล้ว
“แม่นางหมิง พวกเรายังมีโอกาสมีชีวิตรอดอยู่หรือ” เขาถามอย่างหมดหวัง
“อาจมีนิดหน่อย” หมิงเวยตอบอย่างคลุมเครือ นางหันกลับไปมองหยางชู
ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไปแววตามืดมนรอบกายมีรังสีสังหารอย่างชัดเจน
“คุณชาย!” ขุนศึกทั้งสองยกโล่ขึ้น พวกเขาอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย ถึงแม้จะอยู่ในเขตวิถีธนู แต่แรงธนูไม่ได้แรงมากอะไรขอเพียง…ไม่หาเรื่องใส่ตัวก็พอ
หยางชูพูดด้วยเสียงเบา “ทันทีที่ม้าซูถูล้มพวกเจ้ารีบเข้าไปหาพวกเขาหนีออกมา”
นี่คือการบังคับช่วยชีวิตผู้คน!
ขุนศึกทั้งสองถอนหายใจและกระซิบ “คุณชาย ทำเช่นนั้นมันอันตรายเกินไป”
“ใช่ขอรับ ท่านไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเช่นนั้น” หยางชูไม่ได้พูดอะไรแต่มือกลับดันกระบี่ออกมาแล้วหนึ่งชุ่น
แต่ถึงวรยุทธ์เขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะปล่อยธนู วิชาตัวเบาไม่สามารถตามความเร็วของลูกธนูได้ ผลลัพธ์นี้ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่หยางชูไม่หวั่นไหวเลย
ขุนพลจึงทำได้เพียงสบตากันและเปลี่ยนตำแหน่งอย่างเงียบๆ เพื่อสามารถปกป้องเขาได้ทุกเวลา และสามารถถอยกลับเมื่อใดก็ได้โดยไม่ขวางทาง
“ขอรับ”
ซูถูยกมือขึ้นสายตาจับจ้องไปที่หมิงเวย และในที่สุดเขาก็โบกมือ
“สวบๆๆ!” ลูกธนูออกจากคันธนูพร้อมกับเสียงแหวกอากาศ
เสียงธนูคันเดียวนั้นเบามาก แต่ธนูจำนวนมากถูกปล่อยออกมาพร้อมกันทำให้เสียงนั้นชัดเจนขึ้นในหู
จะตายไหมๆ โหวเหลียงคิดด้วยความเศร้าโศกคิดถึงตนเองที่หาเรื่องมาทั้งชีวิต ได้ทำเรื่องใหญ่ก่อนตาย จบลงด้วยธนูนับพัน สวรรค์ช่าง…
เขายังคิดไม่ทันจบจู่ๆ เท้าเขาก็เบาหวิว ร่างกายดูไร้น้ำหนักแล้วล้มลงทันที
เขายังคงมึนงง แต่ร่างที่ถูกกดให้นอนลงพร้อมกับเสียงตะโกนของตัวฝูดังขึ้นข้างหู “หมอบลง!”
ในเวลาเดียวกันเสียงกลองฝั่งกองทัพแคว้นฉีก็เปลี่ยนไป
แม่ทัพเซี่ยงที่เดิมทีคิดอยู่เฉยๆ รีบวิ่งออกไปตามสัญชาตญานทันทีที่เขาได้ยินเสียงกลอง เขาอยากตบตัวเอง แต่ผู้ใดจะมาสนใจล่ะ การฟังเสียงกลองจัดกระบวนแถวกลายเป็นนิสัยของพวกเขาไปแล้ว
โชคดีที่เสียงกลองนั่นไม่ได้ซี้ซั้ว แต่ยังคงอยู่ในรูปแบบของการป้องกันและเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ทันทีที่เขาเงยศีรษะขึ้นเขาก็เห็นคุณชายหยางพุ่งออกไปราวกับลูกศรจากคันธนูรับมือกับลูกศรจากอีกฝ่าย
มารดาเถอะ!
แม่ทัพเซี่ยงที่อยู่ในแนวป้องกันตาโต
คูณชายผู้นี้สมองพังหรืออย่างไรเพื่อสตรีผู้เดียวถึงกับวิ่งไปที่เป่ยเทียนเหมินเพื่อขอยืมทหารก็เป็นเรื่องยุ่งยากพอแล้ว เขากล้าแม้แต่พุ่งเข้าหาการโจมตีด้วยธนูมากมายของพวกหูเหรินเลยหรือ
ความกล้านี้…ตนสู้ไม่ได้เลยจริงๆ ปัญหาก็คือถึงแม้จะมีความกล้า แต่เขาไม่มีทักษะนั้น!
เขารนหาที่ตายจริงๆ
หยางชูไม่เคยรู้สึกว่าสมองของตนจะปลอดโปร่งเช่นนั้น แม้แต่เวลาก็ดูเหมือนจะช้าลง ในระยะห่างเกือบสามสิบจั้งเขาเผชิญหน้ากับฝนลูกธนู กระบี่ถูกดึงออกจากฝักรับมือกับลูกธนูที่พุ่งเข้ามาทีละคัน ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านไปนานและราวกับเพียงชั่วพริบตาเขาก็มาอยู่ต่อหน้าซูถูแล้ว
เขาไม่ได้คิดจะไปช่วยหมิงเวย แต่วินาทีแรกเขาเล็งกระบี่ไปทางซูถู
ซูถูยกกระบี่ขึ้นและฟันลงอย่างดุเดือด หยางชูไม่ลังเลเลยที่จะไถลตัวใต้ท้องม้า คมกระบี่วาดออกไปเลือดพุ่งกระฉูด ม้าส่งเสียงร้องคร่ำครวญ
“พี่เจ็ด!” น่าซูรีบเข้าไปช่วยซูถูมีอาการบาดเจ็บ แต่เขาไม่มี ม้าของซูถูล้มลง
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วร่างหยางชู มันเป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้นที่คุณชายผู้สูงศักดิ์กลายเป็นอสูรกระหายเลือด
เขาเตะกระบี่ของซูถูออกไปแล้วรับมือกับน่าซู ขุนศึกที่ได้รับคำสั่งรีบวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับโล่