บทที่ 412

บทที่ 412

ซ่งเทียนตะลึงก่อนจะกะพริบตา “ผู้ว่ามณฑลเสี่ยวฉางเป็นหลานชายของข้า เขาจะต้องอยู่ข้างข้าแน่”

จ้านอู่ฉางมองเขาอย่างไม่มั่นใจ “เขาอยู่ที่ไหน ?”

“น่าจะอยู่ในมณฑลเกาฉวน”

“แล้วทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ! รีบไปเกาฉวนเดี๋ยวนี้ !” จ้านอู่ฉางพูดด้วยความหงุดหงิด

ส่วนซ่งเทียนก็ได้แต่ทำสีหน้าไม่พอใจ ด้วยเพราะเส้นทางนั้นอยู่ห่างไกลจากแคว้นโมนัก เขาจึงไม่ได้พูดถึง

ซ่งเทียนพยักหน้าให้ “ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ” ด้วยสภาพของพวกหนิงในตอนนี้ ทำให้ทุกอย่างดูยากไปหมด พวกเขาเลือกใช้เส้นทางอื่นเพราะกลัวว่าพวกถังหยินจะตามมาทัน

พวกเขาหนีจากทางผ่านบาในตอนเย็นวันนั้น ก่อนมาถึงที่ราบแห่งหนึ่งที่มีแต่ต้นหญ้ามากมาย ทว่าไม่มีต้นไม้ที่มีผลให้เก็บกินเลย ทำให้จ้านอู่ฉางในตอนนี้ได้แต่นั่งรอด้วยความหิวโหยบนหลังม้า

แต่แล้วจ้านอู่ตี้ก็สั่งให้พวกเขาหยุด “มีใครมีของกินบ้างไหม ?”

เมื่อได้ยินคำนั้นทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน เพราะพวกเขาเองก็ไม่ได้กินอะไรมานานแล้วเช่นกัน

ภาพตรงหน้าทำเอาจ้านอู่ตี้ถอนหายใจ เพราะไม่มีใครตอบกลับมาเลยสักคน “ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรกินเลยสินะ”

ทันใดนั้น หัวหน้าหน่วยข่าวของพวกหนิงก็พลันเดินมาพร้อมกับนกพิราบสื่อสารยื่นให้กับเขา “ท่านแม่ทัพ ถ้าหากท่านหิวมากก็กินนี่เถิด”

จ้านอู่ตี้มองนกตัวน้อย เขาไม่เคยมีชีวิตที่อนาถขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่ที่อยู่ในกองทัพมานาน 20 ปีนี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่มีอะไรจะกินจนต้องกินนกพิราบสื่อสาร …แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกินเลย !!

เขาไม่ถือสาอะไรอยู่แล้ว แต่กับพี่ของเขาที่เป็นคนหัวสูงจะต้องทนไม่ได้แน่ ว่าแล้วเขาก็พลันเอื้อมมือไปจับนกแล้วทำท่าจะหักคอมัน

ทว่าก่อนที่จ้านอู่ตี้จะออกแรง จ้านอู่ฉางก็รีบร้องห้ามขึ้นมาเสียก่อน “ช้าก่อน นั่นมันนกสื่อสารใช่หรือไม่ ?”

หัวหน้าหน่วยข่าวพยักหน้าให้

จ้านอู่ฉางแทบใจหาย เขาครุ่นคิดก่อนจะหันไปมองซ่งเทียน “ฝ่าบาท หลานของท่านเสี่ยวฉางจะต้องมีกำลังทหารอยู่ในมือด้วยใช่หรือไม่ ?”

ซ่งเทียนหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “ข้าไม่รู้หรอก น่าจะมีประมาณ 2 หมื่นนายล่ะมั้ง”

จ้านอู่ฉางพึมพำกับตัวเองก่อนจะยิ้มให้น้องของเขา “จ้านอู่ตี้ บางทีเราอาจจะเข้าตีทางผ่านบาไหวก็ได้นะ”

“ยังไงกัน ?” จ้านอู่ตี้ถาม

“ข้าจะเขียนจดหมายไปหาท่านอ๋องของเรา บอกให้พระองค์ขอยืมทหารจากแคว้นโมเพื่อมาช่วยโจมตีทางผ่านบาจากอีกด้าน ข้าคิดว่าพวกมันไม่น่าจะต้านทานพวกโมได้หรอก” จ้านอู่ฉางอธิบาย

“จริงด้วย ! ด้วยความสัมพันธ์ที่มีพวกเขาจะต้องช่วยเราแน่ ยิ่งไปกว่านั้นการยึดทางผ่านบายังเป็นประโยชน์กับพวกโมอีกด้วย ไม่มีทางที่พวกเขาจะปฏิเสธแน่”

“เยี่ยมมากพี่ใหญ่ รีบเขียนเลย !”

จ้านอู่ฉางที่หากระดาษไม่ได้ก็ทำการฉีกเสื้อตัวเองแล้วเขียนตัวหนังสือด้วยเลือดถึงท่านอ๋องของพวกเขา

จ้านอู่ตี้ก้มหัวมองนกพิราบในมือ เขารู้สึกว่ายังดีที่คิดได้ก่อน …ไม่งั้นคงไม่รอดแน่แล้ว

หลังจากเขียนเสร็จ พวกเขาก็มัดเศษผ้ากับขานกพิราบแล้วส่งมันออกไปพร้อมกับความหวัง

ทุกคนโล่งใจที่นกโผบินขึ้นไปบนฟ้าก็จริง ทว่าท้องของพวกเขาก็ยังคงหิวโหยเช่นเดิม

ครั้งนี้จ้านอู่ฉางสั่งให้พวกทหารเชือดม้าแล้วแจกเนื้อให้กับทั้งกองทัพ แม้ว่าการไม่มีม้าจะทำให้โอกาสรอดของพวกเขาต่ำลง แต่มันก็จำเป็นต้องทำ

ถึงเนื้อม้าจะเติมเต็มความอิ่มให้กับทหารกว่าร้อยนายไม่ได้เพราะเนื้อไม่เพียงพอ แต่พวกแม่ทัพก็ได้กินกันเต็มอิ่มและพวกทหารก็ได้กินซุปเนื้อม้าอย่างเต็มคราบ

….สายตาของพวกเขามองไปรอบ ๆ จนมาลงที่ม้าของซ่งเทียน

เมื่อเห็นสายตานั่น ชายแก่ก็รีบลุกขึ้นเดินไปยังม้าของเขา “ห้ามเด็ดขาด ม้าตัวนี้อยู่กับข้ามานานแล้ว ละเว้นมันด้วยเถิด” อันที่จริงไม่ใช่เพราะว่ามันติดตามมานานหรอก แต่เขากลัวว่าถ้าเสียม้าไปจะต้องลงเดินมากกว่า

ทว่าถึงแม้ซ่งเทียนจะพูดออกไป หากแต่พวกทหารก็ยังคงจับอาวุธเดินเข้าไปหาม้าตัวนั้นด้วยสายตาหิวโหยอยู่ดี

แต่ก่อนที่จะเข้าไปถึง ชุยหยุนเจียนก็ได้เข้ามาห้ามเอาไว้เสียก่อน

ทว่าเขาไม่ได้พูดหรือปล่อยพลังอะไรออกมาทั้งนั้น เพียงแค่ยืนนิ่งเป็นอันรู้กันแก่พวกทหาร ทำให้ไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้แต่ก้าวเดียว

อันที่จริงชุยหยุนเจียนเองก็ไม่ชอบขี้หน้าซ่งเทียนเหมือนกับ แต่กฎของทหารรับจ้างคือต้องคุ้มครองเจ้านายให้ถึงที่สุดถ้าหากอยากจะได้เงิน

แต่ถึงกระนั้นพวกทหารก็ยังไม่ลดละ ทำให้จ้านอู่ฉางหันมองจ้านอู่ตี้ด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้พวกเขาต้องพึ่งพาซ่งเทียนก่อน แถมชุยหยุนเจียนก็ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ ด้วย

เมื่อเห็นว่าไม่ได้การ จ้านอู่ตี้จึงตะโกนออกมา “พวกเจ้าจะทำอะไร ? กลับมานั่งเดี๋ยวนี้ !”

หลังได้ยินคำนั่น พวกทหารต่างก็ยินยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี พวกเขาเก็บอาวุธแล้วเดินกลับมานั่งที่ตามเดิม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ซ่งเทียนกัดฟันแน่น เขาหันมองพวกหนิงอย่างหงุดหงิดพลางคิดในใจ ว่าเจ้าพวกสารเลวนี่มันกล้าดียังไงถึงคิดจะกินม้าของข้า !?

ชุยหยุนเจียนที่เห็นว่าเรื่องคลี่คลายแล้วก็ได้เดินจากไปเงียบ ๆ

ซ่งเทียนและสองพี่น้องเดินทางกันต่อไปอีกเป็นเวลา 2 วัน เพราะพวกเขาต้องเดินลัดเลาะผ่านภูเขาสูงไปตลอดทาง และถึงจะมีเส้นทางหลวงให้เดินผ่าน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าใช้อยู่ดี จึงต้องจำใจเดินขึ้นเขาทั้งแบบนั้น

ทว่าทั้งสามและทุกคนต่างก็ต้องตะลึง เมื่อในครั้งนี้เส้นทางนั้นแคบและน่าหวาดเสียว อีกทั้งยังมีแต่เหวสองข้างทางกับทหารกลุ่มหนึ่งที่จัดตั้งทัพดักรออยู่ จนซ่งเทียนเริ่มเหงื่อแตกด้วยความกังวล “ท่านจ้านอู่ฉาง หนีดีหรือไม่ ?”

“หนีหรือ ? จะให้หนีไปที่ใดกัน ?” จ้านอู่ฉางหัวเราะแห้ง ๆ แล้วตะโกนบอกพวกทหาร “ทหารหนิงเตรียมเข้าปะทะ ! ต่อให้ต้องตายวันนี้ก็อย่าได้เสื่อมเสียเกียรติ !”

พวกทหารต่างก็จับอาวุธในมือให้มั่นคง พวกเขาไม่กลัวตายหรือสิ่งใดแล้วในตอนนี้ …เพราะอย่างน้อยความตายก็ยังมีเกียรติกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างน่าสมเพชแบบนี้ !!!

แต่ซ่งเทียนไม่ได้คิดจะตายด้วย เมื่อเห็นว่าพวกหนิงอยากจะสู้เขาก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกกับชุยหยุนเจียน “ไปกันเถอะ”

แต่เมื่อเขาควบม้าเดินออกมาและยังคงเห็นชุยหยุนเจียนยืนที่เดิม ชายแก่ก็พลันถามด้วยความตระหนก “มากับข้าเดี๋ยวนี้ !”

“ฝ่าบาท กองทหารพวกนั้นยกชูธงของเปิงอยู่” ชุยหยุนเจียนหรี่ตามอง

“ว่าไงนะ ?” ซ่งเทียนตะลึงแล้วหันไปมอง ทว่าเพราะระยะที่ไกลเกินไปจึงทำให้เขามองไม่เห็นธงของอีกฝ่าย “เจ้าแน่ใจนะ ?”

“ไม่มีทางพลาดแน่”

และเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ ก็เป็นหน่วยม้าเร็วของคนพวกนั้นที่มาถึงก่อนใคร

พวกทหารเปิงเกราะแดงที่เห็นคนวิ่งเข้ามาก็ได้ตะโกนถาม “พวกเจ้าเป็นใคร ?”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสวมใส่เกราะสีแดงเหมือนกัน ซ่งเทียนจึงตัดสินใจก้าวเดินออกไปข้างหน้า แล้วร้องถาม “ข้าคือซ่งเทียน อ๋องแห่งเปิง พวกเจ้าเป็นใคร ?”