บทที่ 413

บทที่ 413

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าซ่งเทียน พวกทหารม้าก็พลันวิ่งกลับไปด้วยสีหน้าที่แตกตื่น

“เจ้ายังไม่ได้พูดอันใดเลยนะ !” ชายแก่อยากจะถามแต่พวกเขาก็วิ่งหนีหายไปก่อนแล้ว

จากนั้นไม่นานนักก็มีทหารม้าหนึ่งพันนายวิ่งเข้ามา โดยคนที่นำทัพก็คือชายวัยกลางคนสวมเกราะที่มีใบหน้าสีขาวหนวดเคราสีดำ ดวงตาเล็ก จมูกใหญ่ คางชัน กำลังควบม้าวิ่งเข้ามาหาพวกเขา

เมื่อชายคนนั้นควบม้าเข้ามาถึงตรงหน้าซ่งเทียน ชายแก่ที่เห็นแบบนั้นก็พลันกระโดดลงมาแล้วถามเขา “นี่เจ้าจำข้าไม่ได้หรือไงเสี่ยวฉาง ?”

ที่แท้ชายที่นำทัพมาก็คือเสี่ยวฉาง หลานชายของซ่งเทียนนั่นเอง และที่เขาจำอีกฝ่ายไม่ได้ มันก็เพราะว่าซ่งเทียนในตอนนี้มีสภาพน่าสมเพชมาก ชุดของชายชราขาดวิ่นและเต็มไปด้วยโคลน ส่วนใบหน้าก็ซูบผอมกว่าเดิมจนจำแทบไม่ได้

ได้ยินเสียงนี้เสี่ยวฉางก็มั่นใจได้แล้วว่าอีกฝ่ายคือท่านอ๋องของเขาแน่นอน ดังนั้นเขาจึงคุกเข่าลง “ข้าน้อยเสี่ยวฉางไม่รู้ว่าท่านมาที่นี่ โปรดอภัยให้ข้าด้วย”

นานมากแล้วที่ไม่มีใครเรียกเขาด้วยตำแหน่งและใช้คำพูดที่สุภาพขนาดนี้ ซ่งเทียนดีใจมากที่ยังเห็นว่าหลานชายของเขายังมีชีวิตอยู่ทำให้ความกังวลทั้งหมดหายไป ก่อนที่ชายชราจะลงจากหลังม้าเดินเข้าไปกอดหลานชายด้วยคราบน้ำตา

เสี่ยวฉางไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เขาได้แต่ยืนงุนงงก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยเช่นกัน

จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ที่เห็นแบบนั้นก็ดูจะเริ่มทนไม่ไหว โดยเฉพาะจ้านอู่ตี้ที่หงุดหงิดเพราะความหิวมาก่อนหน้านี้ และยิ่งมาเจออะไรแบบนี้อีก มันก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะตะโกนด้วยความหงุดหงิด แต่ทว่าจ้านอู่ฉางก็ร้องห้ามเอาไว้

เขารู้ว่าคำพูดของผู้เป็นน้องชายจะต้องไม่ดีแน่ ดังนั้นจ้านอู่ฉางจึงกลายเป็นคนที่พูดกับซ่งเทียน “ตอนนี้พวกเรากำลังถูกไล่หลังอยู่ ถ้าฝ่าบาทรีบได้ก็คงจะดีมาก”

คำพูดนี้ทำให้ชายแก่รู้ตัวแล้วเช็ดน้ำตาก่อนจะถาม “เจ้าหลานชายทำไมถึงนำกองทัพออกมาแบบนี้ล่ะ ?”

เสี่ยวฉางตอบ “ข้ากำลังตามหาท่านอยู่ เพราะได้ยินมาว่าท่านหนีออกมาจากเมืองหวังและเดินทางลงมาใต้เพื่อหาทางหนีไปยังแคว้นโม ดังนั้นข้าจึงออกเดินทางมา”

เสี่ยวฉางไม่อาจนิ่งนอนใจได้ที่ท่านอ๋องของเขาต้องหนีจากถังหยินลงมาทางใต้แบบนี้จึงได้รวบรวมกองทัพเพื่อออกค้นหา

ซ่งเทียนรู้สึกดีใจยิ่งเมื่อได้ยินคำของหลานชาย “เป็นตามเจ้าว่า ทว่า ทางผ่านบานั้น …ตอนนี้ไปไม่ได้แล้ว”

“หา ? ทำไมล่ะ ?” เสี่ยวฉางตะลึงที่ได้ยินแบบนั้น

“เจ้าอิงปูมันทรยศเราแล้วเข้าพวกกับถังหยินไปแล้ว ทำให้พวกเราออกไปไม่ได้”

เสี่ยวฉางหัวหมุนไปหมดเมื่อทราบข่าวนี้ ด้วยถ้าหากว่าทางผ่านบาถูกปิดตาย มันก็เท่ากับว่าพวกเขาไม่มีทางหนีออกไปได้แล้ว แถมพวกเขาก็ไม่มีกำลังมากพอจะต่อสู้กับพวกเทียนหยวนด้วย “ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันดี ?”

“อย่ากังวลไป ท่านแม่ทัพหนิงได้ส่งจดหมายไปขอกำลังเสริมมาแล้ว ถ้าได้พวกเขามา จะต้องช่วยพวกเราออกไปจากที่นี่ได้แน่ บางทีอาจจะยืมมือพวกเขาช่วยยึดเมืองหลวงกลับมาได้ด้วยซ้ำไป !” ซ่งเทียนตอบ

“อย่างนี้นี่เอง แบบนี้ข้าก็คงวางใจแล้ว” เสี่ยวฉางเริ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้น เขามองจ้านอู่ฉางแล้วก้มหัวให้ “นี่คือท่านจ้านอู่ฉางแม่ทัพผู้โด่งดังสินะ ?”

“ไม่ต้องมากพิธีแบบนั้นก็ได้” จ้านอู่ฉางเดินออกมาแม้ว่าในใจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ตาม และที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าพวกซ่งเทียนทำเหมือนกับพวกเขาเป็นคนนอกยังไงยังงั้น

“ท่านเสี่ยว รีบนำกองทัพกลับไปที่จางยู่เถิด เราต้องปกป้องที่นั่นไว้จนกว่าพวกโมจะมาถึง เพราะเราต้องได้ปะทะกับพวกถังหยินเข้าแน่ ๆ”

“ถูกต้อง ตามที่แม่ทัพจ้านอู่ฉางพูดเลย” เสี่ยวฉางพยักหน้าให้ แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้านายของเขาคือซ่งเทียนไม่ใช่จ้านอู่ฉาง ดังนั้นจึงหันไปมองผู้เป็นอ๋องเพื่อรอการตัดสินใจ

ซ่งเทียนถอนหายใจก่อนจะพูด “ทำตามที่เขาบอกเถอะ”

“รับทราบ”

เมื่อพวกเขาได้พบกับกองทัพของเสี่ยวฉางระหว่างที่เดินทางไปจางยู่ มันก็ถือว่าช่วยชีวิตพวกเขาได้มากเลยทีเดียว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มามือเปล่า หากแต่พกเสบียงมาด้วย !

ภายใต้คำสั่งของจ้านอู่ฉาง เสี่ยวฉางนำกองกำลังทั้งหมดเดินทางกลับไปยังเส้นทางเดิม

อีกด้านหนึ่ง ถังหยินก็มาถึงทางผ่านบาแล้ว

เมื่อเห็นธงของถังหยิน อิงปูก็เปิดประตูเมืองและพาลูกน้องออกมาต้อนรับ

ตอนนี้กองทัพเทียนหยวนถือว่ายิ่งใหญ่มากเมื่อเทียบกับพวกหนิง

ธงชัยทั้งหมดโบกสะบัดและขบวนทหารถูกจัดเรียงอย่างสวยงาม พู่สีแดงบนหัวปลิวไสวไปทั่วพื้นที่

อิงปูแทบลืมหายใจที่ได้เห็นพลังของกองทัพเฟิงในครั้งนี้ ราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่เขาได้หลงลืมไปแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยังมีธงของพวกเปิงและเกราะของพวกเปิงอยู่ก็ตาม

มันส่ายเกินที่จะเปลี่ยนของพวกนั้นแล้ว อิงปูจึงสั่งพวกทหาร “รีบเปลี่ยนเป็นธงเฟิงเร็วเข้า !”

พวกนายทหารรับคำ ก่อนที่จะถามต่อ “ท่านแม่ทัพ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าธงเฟิงถูกโจวชุนเผาไปหมดแล้ว !”

อิงปูเกาหัวด้วยความเขินอายก่อนจะสั่ง “จะอะไรก็ได้ เอาธงเปิงลงก่อนแล้วใช้ผ้าสีดำชูขึ้นแทนซะ”

“รับทราบ”

ไม่นานนัก กองทัพถังหยินก็มาถึงทางผ่านบา ถังหยินที่ขี่ม้าอยู่ก็เห็นว่าอิงปูกำลังเดินเข้ามาหาเขาในชุดเกราะออกศึก “แม่ทัพอิงปูขอต้อนรับท่านถัง”

ถังหยินลงจากม้าแล้วจับมืออิงปูไว้ “แม่ทัพอิงปูทำหน้าที่ได้ดีมาก”

เขาได้ยินมาว่าพวกซ่งเทียนออกจากที่นี่ไม่ได้ และนั่นก็ทำให้เขาปลื้มใจในความสามารถของอิงปูมาก

อิงปูที่ถูกชมก็ได้แต่กล่าว “ท่านชมเกินไปแล้ว ท่านถังเข้าไปในเมืองก่อนเถอะ”

“รบกวนด้วย”

ถังหยินเข้าไปในเมืองโดยที่มีอิงปูตามมา ส่วนพวกทหารที่เข้ามาด้วยไม่ได้ก็ให้ตั้งค่ายอยู่ข้างนอก

เมื่อเข้ามาได้อิงปูก็ชวนถังหยินไปพักที่จวนของเขา แต่ถังหยินกลับส่ายหัว “แม่ทัพอิงปู ข้าอยากจะขึ้นไปดูบนกำแพง สะดวกไหม ?”

อิงปูตะลึงก่อนตอบ “แน่นอนนายท่าน” จากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังกำแพงทางเหนือ

แต่ถังหยินกลับโบกมือ “ไปกำแพงทางใต้กันดีกว่า”

อิงปูถามด้วยความสงสัย “พวกซ่งเทียนและหนิงสามารถโจมตีเมืองพวกเราได้เฉพาะทางเหนือเท่านั้น”

ถังหยินหัวเราะแล้วเดินนำไป “ซ่งเทียนไม่ใช่พวกที่ต้องกังวลในตอนนี้หรอกนะ”

“หา ?”

อิงปูสูดลมหายใจแล้วถาม “ไหนนายท่านบอกว่าจัดการเรื่องพวกโมไปแล้ว ?”

“ทุกอย่างมันเปลี่ยนกันได้ ไม่ว่าจะเป็นยังไงจิตใจคนมันก็ย่อมไม่เหมือนเดิม” ถังหยินยิ้มให้กับเขา

“ข้าเข้าใจแล้ว” อิงปูตอบรับแล้วเดินไปยังกำแพงทางใต้