ในเวลานี้เอง ขุนนางรับใช้ฝ่ายในก็เข้ามา ทั้งสองข้างนั้นเป็นขันทีหนุ่มสองคน ในมือถือถาดรองไม้แดง คลุมด้วยผ้าไหมสีแดงสักหลาด
ทุกคนเมื่อเห็นว่าเป็นคนข้างกายฮ่องเต้ ต่างก็ลุกขึ้น ก้มโค้งคำนับ
ขุนนางรับใช้ฝ่ายในกวาดสายตาไปมา ไปหยุดที่อวิ๋นหว่านถง แล้วถ่ายทอดพระราชกระแสรับสั่ง “พระชายารองสกุลอวิ๋นแห่งจวนเว่ยอ๋องได้รับความเอ็นดูจากสวรรค์ มีลูกหลานให้ราชวงศ์ ฮ่องเต้ดีพระทัยยิ่ง ทรงเห็นว่าเว่ยอ๋องอยู่ในช่วงถูกจำกัดบริเวณ พระชายารองเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่เคียงข้างพระสวามี อยู่ในจวนพักอาศัยเป็นเวลานาน ทรงเกรงว่าจะกระทบกับบุตรในครรภ์ วันนี้พระชายารองเข้าวัง ไทเฮาและมเหสีรองล้วนดีพระทัยนัก ทรงเมตตาให้เป็นกรณีพิเศษ พระชายารองอวิ๋นหลังจากนี้หากอาการตั้งครรภ์นิ่งมั่นคงแล้ว สามารถเข้าวังมาเข้าเฝ้ามเหสีรองได้ตลอดเวลา” แล้วหยุดชะงักไป “ให้เว่ยอ๋องติดตามมาด้วย”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ที่นั่งอยู่นั้นก็แอบเอะอะกันขึ้นมา
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้า มองดูบนพื้น ดูเหมือนจะไม่ได้ออกอาการอะไร แต่ในใจก็สั่นไหว การคาดเดาโดยไม่ได้ตั้งใจของเจินจูในก่อนหน้านั้นกลายเป็นเรื่องจริง
เป็นจริงดังว่า หนิงซีฮ่องเต้อยากจะใช้การตั้งครรภ์ของอวิ๋นหว่านถง ช่วยย่นระยะเวลาการลงโทษให้เว่ยอ๋องได้กลับเข้าราชสำนักโดยเร็ว
วันนี้เรียกให้เว่ยอ๋องติดตามพระชายารองเข้าวังได้ พรุ่งนี้ก็จะหาเหตุผลอื่นมาอภัยโทษยกเลิกการกักบริเวณให้เขาได้อีก ผ่านไปสองสามวัน อำนาจทางการทหาร ตำแหน่งขุนนาง ก็อาจจะคืนให้เขาไปหมด
อย่างไรเสียก็เป็นบุตรชายที่หนิงซีฮ่องเต้รักและเอ็นดูที่สุด
ใจคนคนหนึ่ง ทำไมถึงได้เอนเอียงได้ถึงเพียงนี้ บุตรชายคนหนึ่งไม่ว่าทำความผิดอะไร แม้จะเกือบสังหารท่านยายไป ก็ยังสามารถให้อภัยได้ บุตรชายอีกคนหนึ่ง กลับไม่ถามไถ่ เมื่ออาสาย้ายไปที่อัตคัดอันตราย เขาก็ไม่ได้ห้ามปรามแม้แต่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจขึ้นมาทันใด ว่าทำไมฉินอ๋องที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางแวดล้อมที่ไร้การแก่งแย่งชิงดี ถึงได้มีใจคิดอยากแย่งบัลลังก์ อาจจะไม่ได้อยากแย่งบัลลังก์ แต่แค่อยากต่อสู้เพื่อตัวเองเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน อวิ๋นหว่านถงได้ยินพระราชกระแสรับสั่งแล้ว ก็ประหลาดใจยิ่งนัก วันนี้ช่างพลิกผันไปมาเสียจริง เพิ่งจะโมโหเสร็จก็มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น อดไม่ได้ที่จะลูบท้องของตน เด็กคนนี้ ช่างเป็นดาวนำโชคของนางเสียจริง รีบก้มโค้ง “ขอบพระทัยเสด็จพ่อเมตตา หม่อมฉันก็ขอขอบพระทัยเสด็จพ่อแทนเว่ยอ๋องด้วยเพคะ”
ขุนนางรับใช้ฝ่ายในเห็นนางก้มโค้ง กลัวว่าจะกระทบกับเด็กในครรภ์ รู้ว่าฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับหลานจวนเว่ยอ๋องผู้นี้เพียงใด จึงรีบกล่าว “พระชายารองรีบลุกขึ้นเถิด” แล้วกล่าวเสียงดัง “เด็กๆ นำของที่ฮ่องเต้พระราชทานให้พระชายารองอวิ๋นทอดพระเนตร แล้วส่งไปที่รถม้าจวนเว่ยอ๋องนอกเมืองเสีย”
ขันทีน้อยยกถาดรองเข้าไป เปิดผ้าไหมออก เผยของพระราชทานออกมา ล้วนเป็นยาบำรุงครรภ์ที่นำออกมาจากพระคลังทั้งสิ้น ล้ำค่ายิ่งนัก
อวิ๋นหว่านถงขอบพระทัยฮ่องเต้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้ก้มโค้งแล้ว
เมื่อคนของฮ่องเต้ไปแล้ว ก็เป็นเวลาสายแล้ว แสงแดดแรงขึ้นเรื่อยๆ เหล่าหญิงสาวทนตากแดดไม่ไหว จึงทยอยกันออกจากสวนหลวงแล้วเดินไปยังประตูวัง
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะกลับตัวเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงลอยมาจากด้านหลัง “พี่ใหญ่”
ยวนยางประคองมืออวิ๋นหว่านถงเดินเข้าไป เข้าใกล้ใบหูอันขาวเนียนของพี่สาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความยิ้มแย้ม แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้น้องเข้าใจแล้ว ว่าตำแหน่ง ฐานะอะไรนั่น ก็เป็นของลวงตาทั้งนั้น มีเพียงความเอ็นดู ที่เป็นของจริง เราต่างก็แซ่อวิ๋น วันนี้ข้าได้รับการเอ็นดู พระชายารองอวิ๋นอย่างข้าก็ใหญ่กว่าพระชายาอวิ๋นอย่างเจ้า”
ในสายตาผู้อื่นนั้น ก็เห็นว่าพี่น้องนานทีปีหนจะได้พบหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าน้องสาวกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกับพี่สาวอย่างสนิทสนม
คำพูดนี้ถึงแม้จะยียวนหาเรื่องนัก แต่อวิ๋นหว่านชิ่นรีบกลับเรือนไปทำธุระเรื่องสินค้าของร้านเซียงหยิงซิ่ว มีเวลาว่างไปทะเลาะเปิดศึกน้ำลายกับนางที่ไหนกันเล่า เห็นนางขวางทางเดินของตน ก็กุมหัว “แดดแรงนัก ตากแดดจนเวียนหัวไปหมด”
อวิ๋นหว่านถงเห็นนางโซซัดโซเซ หากถูกชนเข้าตนต้องหกล้มอย่างแรงแน่ รู้ว่านางจงใจ แต่ก็ไม่กล้าเผชิญอุบัติเหตุเช่นนี้ กัดฟันแล้วถอยไปสองสามก้าว
“ไร้สาระนัก” อวิ๋นหว่านชิ่นชายตามองนาง แล้วลากชูซย่า ฉิงเสวี่ยและเจินจูจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
ณ ที่พักองค์หญิงวังหลัง ตำหนักหลวนอี๋
องค์หญิงหย่งจยาฟังเฉี่ยวเย่ว์รายงานเรื่องพระชายาฉินอ๋องออกหน้ากลางงานเลี้ยงในวังจนจบ
เฉี่ยวเย่ว์พูดจบ เห็นสีหน้าองค์หญิงไม่ดีนัก จึงได้พึมพำ “ไม่คิดว่าพระชายาฉินอ๋องจะพูดภาษาของตะวันตกได้ด้วย บ่าวยังนึกว่าหญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวงนี้ มีเพียงองค์หญิงรู้อยู่ผู้เดียวเสียอีก หากรู้เช่นนี้ ตอนนั้นองค์หญิงน่าจะไปงานเลี้ยงในวังพบกับคนต้าสือเหล่านั้น หากคราวหน้ามีโอกาส องค์หญิงต้องออกหน้าบ้างนะเพคะ ให้ทุกคนเห็นว่าองค์หญิงก็รู้ภาษาตะวันตกเช่นกัน ไม่ด้อยไปกว่าพระชายาฉินอ๋องเลยสักนิด…”
ภาษาตะวันตกของเราไม่ใช่ภาษาตะวันตกของเขา
ท่านหญิงหย่งจยาสีหน้าแสยะยิ้มเล็กน้อย
เฉี่ยวเย่ว์รู้เพียงว่านายของตนรู้ภาษาต่างแดน นึกว่าเป็นภาษาเดียวกัน
ต้าสือในยุคสมัยของนางนั้นคือประเทศอิหร่านและประเทศใกล้เคียง ใช้ภาษาเปอร์เซียในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน
นั่นก็หมายความว่า ภาษาตะวันตกที่อวิ๋นหว่านชิ่นใช้ในวันนี้คือภาษาเปอร์เซียโบราณ
ภาษาเปอร์เซียในสมัยโบราณนั้น เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทางตะวันตก ทว่า ในสมัยชาติก่อนขององค์หญิงหย่งจยานั้น ภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาเล็กๆ เท่านั้น ในบรรดาคนสิบคน คนที่รู้ภาษานี้อาจจะมีไม่ถึงคนสองคน
ภาษาตะวันตกที่ท่านหญิงหย่งจยาพูดได้นั้น คือภาษาอังกฤษที่หาได้ทั่วไปตามท้องถนนในยุคของชาติก่อนของนาง แต่ในยุคสมัยนี้ ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ยังไม่ผุดออกมากันเลย!
พูดได้ก็เท่านั้น ไม่มีพื้นที่อวดนี่!
แต่ว่า ครั้งนี้ ก็ทำให้นางให้ความสำคัญขึ้นมาบ้าง หญิงสกุลอวิ๋นนี้ ที่แท้ก็มิอาจดูแคลนได้
หลังจากกลับถึงจวน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ฝากคนนำตัวอย่างสินค้าแนะนำของร้านเซียงหยิงซิ่วนั้นไปให้หลี่ฝานย่วน
เยี่ยนอ๋องซื่อหนิงรับตำแหน่งอยู่ในหลี่ฝานย่วนพอดี เรื่องทำการค้าได้ข้อสรุปชัดเจนแล้ว เพื่อเป็นการฝึกฝนองค์ชายแปด ฮ่องเต้จึงได้มอบหมายเรื่องนี้ให้เขาจัดการ
ภริยาทูตได้รับตัวอย่างสินค้าผ่านองค์ชายแปด ปีติยิ่งนัก เลือกเครื่องสำอางที่เป็นเอกลักษณ์สองสามอย่าง น้ำมันใส่ผม ดินสอเขียนคิ้ว ชาดทาหน้า ทาปาก อีกยังมีน้ำมันหอมระเหย ฝากบอกให้พระชายาฉินอ๋องเร่งผลิตสินค้าตามจำนวน
อวิ๋นหว่านชิ่นให้ชูซย่าไปสั่งหงเยียนเอาไว้ หงเหยียนก็ได้ไปบ้านสวนโย่วเสียนภายในวันนั้น รวบรวมช่างทั้งหลายในบ้านสวนกับคู่สามีภรรยาพ่อบ้านหู ให้ผสมสินค้าตามสูตร เร่งงานตามลำดับงาน
เพียงไม่กี่วัน สินค้าก็เตรียมพร้อมแล้ว แบ่งใส่ภาชนะเรียบร้อย
ในขณะเดียวกัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้หาช่างพิมพ์สลัก เขียนคำว่า ‘เซียงหยิงซิ่ว’ สามตัวด้วยแบบอักษรจันฮวาเสี่ยวไข่ ให้ช่างแกะสลักไว้บนขวดกล่องที่ใส่เครื่องหอมและกระดาษห่อด้านนอก
นี่เป็นป้ายชื่อร้าน ไม่ว่าสินค้าจะไปถึงที่ใด ก็สามารถทำชื่อเสียงให้ร้านเซียงหยิงซิ่วได้
เมื่อเสร็จเรียบร้อยทุกประการแล้ว ก็ใส่สินค้าในตู้สินค้าแล้วส่งไปหลี่ฝานย่วน เยี่ยนอ๋องทำงานว่องไว ตรวจนับทันที แล้วสั่งให้ขุนนางทางการส่งไปยังที่พักของท่านทูตต้าสือนอกวัง
เรื่องใหญ่ทางนี้สะสางเสร็จเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้ยินชูซย่ามารายงานว่า ตั้งแต่พระชายาจิ่งหยางอ๋องและพระชายาซื่อจื่อจวนลู่อ๋องไปที่ร้านเซียงหยิงซิ่ว การค้าก็เจริญรุ่งเรืองโด่งดังขึ้นมา จึงให้หงเยียนไปตลาดซื้อผู้ช่วยระยะสั้นมาเพิ่มสองคน
มัวแต่ยุ่งง่วนกับเรื่องการค้า ผ่านไปหลายวันอวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะพบว่าไม่เห็นเงาเด็กอ้วนในจวนมาหลายวันแล้ว
เมื่อสะสางงานวันนี้เสร็จ เมื่อใกล้ถึงเวลากลางวัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็เรียกเหอมอมอมาถาม “ช่วงนี้อาหลัวเป็นอย่างไรบ้าง”
เหอมอมอลังเลสักครู่ “กินอิ่ม นอนหลับ สบายดีทุกอย่างเพคะ”
พูดแล้วเหมือนไม่ได้พูด อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “แรงตื๊อของเด็กหญิงนั่นเมื่อหลายวันก่อนล่ะ ไม่สิ ไม่มานอนกับข้าไม่ว่า ปกติวันหนึ่งต้องวิ่งมาหาข้าสามรอบ ให้ข้าทำขนมไข่ให้นางกิน ตอนนี้ของกินก็ไม่เอาแล้วหรือ”