ตอนที่ 22 จองแล้ว

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 22

จองแล้ว

 

“วันนี้ท่องจำเคล็ดโลหิตปะทุแล้วฝึกฝนซะ พรุ่งนี้ข้าจะให้จิงหลิงพาพวกเจ้าไปเลือกวิชายุทธ”พูดจบ อาจารย์ลี่ก็ส่งสายตาไปทางบุตรสาว จิงหลิงคงเป็นชื่อของศิษย์พี่สี่เป็นแน่

“พวกเจ้าตามข้ามา”จิงหลิงพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย ก่อนจะเดินนำพวกไป๋จูเหวินออกไปจากห้องของอาจารย์ทั้งสอง ในหอตะวันออกนั้นมีห้องเหลือเป็นจำนวนมาก สำนักธารโลหิตจึงไม่คิดจะงกห้องแต่อย่างไร ทำให้ไป๋จูเหวิน ต้าชิง และ ต้าเฉิน สามารถใช้ห้องได้คนละห้อง

ภายในเขตสำนักธารโลหิตไม่มีกฎอะไรเคร่งครัดมากมาย ตัวสำนักเองมีเครื่องแบบประจำสำนักเช่นเดียวกับสำนักยอดเมฆา แต่คนในสำนักต่างสามารถเลือกได้ว่าจะใส่หรือไม่ ขอแค่ทุกคนสวมใส่เครื่องแบบในวันพิธีก็เพียงพอแล้ว หอพักเองก็ไม่มีกฎเช่นกัน ไม่มีการแบ่งเขตหญิงหรือชาย จะแบ่งก็เพียงห้องอาบน้ำและห้องน้ำเท่านั้น ตราบใดที่ไม่ผิดศีลธรรมจนเกิดไป ชายหญิงสามารถทำกิจกรรมด้วยกันได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งการไปไหนมาไหนในสำนักล้วนไม่มีข้อห้าม ศิษย์ของหอตะวันออกสามารถไปหาศิษย์ของหอตะวันตกได้ รวมทั้งสามารถไปไหนก็ได้ภายในสำนักอย่างเต็มที่ จะมีเพียงเรือนพักผ่อนของเจ้าสำนักที่อยู่ทางเหนือเท่านั้นที่ห้ามศิษย์เข้าไป

“นายน้อย ท่านจะเริ่มฝึกวิชาเลยหรือไม่”ต้าชิงถามพลางมองเคล็ดวิชาโลหิตปะทุในมือ ตัวมันทั้งสองเพียงโชคดีได้พลังวิญญาณมาในครอบครอง แต่เพราะไม่รู้เคล็ดฝึกฝนพลังทำให้ไม่สามารถก้าวต่อได้ง่ายดายนัก พวกมันจึงอยากจะฝึกฝนพลังเช่นกัน

“คืนนี้พวกเราตั้งใจฝึกเถิด ไม่อย่างนั้นอาจารย์ทั้งสองคงไม่พอใจแน่”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางเข้าห้องของตนเองไป ตัวมันเองก็ต้องฝึกพลังวิญญาณได้แล้ว แม้สำนักธารโลหิตจะไม่มุ่งเน้นพลังวิญญาณ แต่หากไม่มีเลยคงจะไม่ดี

พรึบ! ไป๋จูเหวินเปิดหน้ากระดาษของเคล็ดวิชาโลหิตปะทุ พลางอ่านเนื้อหาภายในอย่างรวดเร็ว ตัวมันสงสัยมาตลอดเลยว่าการฝึกฝนพลังวิญญาณต้องทำเช่นไร แต่พออ่านไปได้สักพัก ดวงตาของไป๋จูเหวินก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

“ง่ายดายเช่นนี้เชียว”ไป๋จูเหวินพูดพลางขมวดคิ้ว การฝึกฝนพลังวิญญาณไม่ได้ยากเย็นอย่างที่เขาคิด เพราะผู้มีพลังวิญญาณนั้นจะมีพลังวิญญาณอยู่ในร่างอยู่แล้ว เพียงแค่ชักนำมันมารวมกันที่จุดตันเถียนเท่านั้นก็สามารถเริ่มฝึกฝนพลังวิญญาณได้

วูบ… ไป๋จูเหวินไม่รอช้า มันลองรวมพลังวิญญาณในร่างทันที ขั้นก่อกำเนิด ของพลังวิญญาณนั้นคือกาเริ่มสร้าง ผลึกวิญญาณ หรือเรียกง่ายๆก็คือมันคือแก่นอสูรในรูปแบบพลังวิญญาณนั่นเอง ระดับขั้น 1 – 10 ของระดับก่อกำเนิดล้วนเป็นการหลอมสร้างผลึกวิญญาณทั้งสิ้น เมื่อสร้างออกมาเป็นผลึกวิญญาณแล้วก็จะเข้าสู้ระดับผลึกวิญญาณในขั้นต่อไป หรือก็คือตอนที่ไป๋จูเหวินสร้างแก่นอสูรเท่าลูกปัดในจุดตันเถียน มันก็เหมือนกับการผ่านระดับ 10 ของระดับก่อกำเนิดสำหรับอสูรมาแล้วนั่นเอง

วูมมม… เพราะไป๋จูเหวินเรียนรู้การใช้งานพลังอสูรมาก่อนแล้ว การสัมผัสและควบคุมพลังวิญญาณจึงไม่ยากเย็นแม้แต่น้อย เพียงแต่…..

“….”ไป๋จูเหวินนิ่งค้างไปหลังจากพยายามนำพลังวิญญาณเข้ามาในจุดตันเถียน ทันทีที่พลังสีขาวกำลังจะเข้ามาในจุดตันเถียน พลังสีดำที่ออกมาจากแก่นอสูรของเขาก็พากันขับไล่พลังสีขาวออกไปจนหมด ทำเอาไป๋จูเหวินไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หรือพลังวิญญาณและพลังอสูรจะต่อต้านกันเอง…

วูมม… ไป๋จูเหวินทดลองทำอีกครั้ง แต่ผลลับที่ออกมาก็เป็นเช่นเดิม พลังวิญญาณในร่างของเขาไม่สามารถเข้าไปแทรกพลังอสูรได้เลย ราวกับพลังอสูรต้องการจะยึดครองพื้นที่ในจุดตันเถียนของไป๋จูเหวินเอาไว้เพียงฝ่ายเดียว

“พวกเจ้าอยู่ด้วนกันไม่ได้หรือยังไง..”ไป๋จูเหวินถอนหายใจพลางรวบรวมพลังวิญญาณอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรพลังวิญญาณที่น้อยกว่าก็ไม่สามารถแทรกพลังอสูรที่มีมากกว่าได้ นี่คงเพราะไป๋จูเหวินฝึกพลังอสูรมานานปีเป็นแน่

“เฮ้อ”ไป๋จูเหวินถอนหายใจ ยามนี้มันอยากจะไปถามท่านน้ามังกรจริงๆว่าท่านน้ามีหนทางช่วยเหลือหรือไม่ แต่พอไม่ได้อยู่ในป่าวัฒนะแล้วมันก็รู้สึกว่ามันคงเอาแต่พึ่งพาน้าๆไม่ได้เสียแล้ว มันต้องหาทางออกด้วยตนเองให้ได้

ตุบ.. ร่างของไป๋จูเหวินกระโดดลงจากชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นที่พวกไป๋จูเหวินพักอยู่ มันพยายามคิดหาวิธีเอาพลังวิญญาณมารวมกับพลังอสูรแล้ว แต่ก็คิดไม่ออก สุดท้ายมันเลยเลือกที่จะออกจากห้องแล้วเดินเล่นภายในสำนักแทน

ไม่ทราบว่ามันติดนิสัยของอาพยัคฆ์มาหรืออย่างไร ยามไม่สบายใจมันจะออกมาเดินเล่นข้างนอกเสมอ

ไป๋จูเหวินเดินออกมาจากหอตะวันออกพักหนึ่งก็พบกับสระโลหิตที่กว้างใหญ่ ในยามราตรีเช่นนี้สระโลหิตที่เป็นสีแดงสดกลับกลายเป็นสีดำเช่นเดียวกับน้ำในยามราตรีทั่วไป หากไม่มีแสงจันทร์ส่องคงไม่อาจทราบได้ว่าน้ำในสระเป็นสีแดงแน่ๆ หลังจากมองน้ำในสระโลหิตพักหนึ่ง ไป๋จูเหวินก็นึกถึงต้นเหมยประทับชาดที่เป็นสาเหตุของสีแดงในน้ำขึ้นมา คิดได้ดังนั้นมันก็ขึ้นเรือก่อนจะพายไปยังทิศเหนือซึ่งเป็นต้นน้ำของสระโลหิตในทันที

แต่เดิมเพราะความเชื่อผิดๆทำให้ผู้คนคิดไปต่างๆนานาว่าสีแดงในน้ำเกิดจากเรื่องเลวร้าย แม้แต่ศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักธารโลหิตเองยังคิดเช่นนั้น แม้จะเคยดื่มน้ำในสระไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่าสีแดงของน้ำเกิดจากกลีบดอกไม้ ทำให้ไม่มีใครกล้าไปดูที่ต้นน้ำอยู่ดี จนแล้วจนรอดผู้ที่รู้ว่าสีแดงเกิดจากกลีบดอกไม้ก็มีแต่พวกอาจารย์และศิษย์บางคนเท่านั้น

ตุบ…ตุบ… ยามกลางคืน ภายในป่าเงียบสงัดจนเสียงก้าวเท้ายังดังจนเด่นชัด ไป๋จูเหวินเดินขึ้นมาทางต้นน้ำไม่นานก็พบกับต้นเหมยประทับชาดอย่างที่คาดเอาไว้ เพียงแต่มันไม่ใช่คนเดียวที่มาที่นี่เสียแล้ว

“ศิษย์พี่ใหญ่..”ไป๋จูเหวินพูดพลางมองเฟิงชิวที่นั่งเล่นอยู่ข้างต้นเหมยประทับชาด ทำให้เฟิงชิวเองก็มีท่าทีตกใจไม่น้อย

“เจ้า..ไป๋จู….ไม่สิศิษย์น้องไป๋ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”เฟิงชิวว่าพลางลุกขึ้นยืนช้าๆ ที่นี่เป็นที่ที่เงียบสงบที่สุดในสำนัก มันไม่คิดว่าจะมีคนอื่นมาที่นี่ด้วย

“ข้ามาเดินเล่น”ไป๋จูเหวินตอบพลางมองศิษย์พี่ใหญ่ที่มีท่าทีลุกลนเล็กน้อย

“ยะ อย่างนั้นเหรอ”เฟิงชิวยิ้มเจื่อนๆพลางเหล่สายตาไปทางด้านหลังไป๋จูเหวิน สำนักไม่ได้ห้ามศิษย์ไปไหนมาไหน มันจึงไม่ใช่ความผิดของไป๋จูเหวินที่มาที่นี่ เพียงแต่

“ศิษย์พี่ ท่านพายเรือมางั้นหรือ ทำไมมีเรือจอดที่ทางขึ้นละ”ได้ยินเสียงหวานของหญิงสาว เฟิงชิวที่อยู่ด้านหน้าไป๋จูเหวินก็เหงื่อตกทันที มันหรืออุตส่าห์วางท่าเป็นพี่ใหญ่เสียดิบดี ดันถูกศิษย์น้องเล็กมาเห็นเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่วันแรกเสียได้

“ฉิงซวน นี่คือศิษย์น้องไป๋ เป็นศิษย์ใหม่พึ่งเข้าสำนักมาในวันนี้”ก่อนที่ ฉิงซวน จะเผลอพูดอะไรออกมาเฟิงชิวก็รีบบอกให้นางรู้ก่อนว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกมัน ทำให้ดวงตาของฉิงซวนเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ก่อนจะลอบแก้มแดงและหลบตาไป๋จูเหวินที่มองมาทางนาง

“ข้าชื่อ ฉิงซวน เป็นศิษย์ลำดับ 8 แห่งหอตะวันตก ยินดีที่ได้รู้จักน้องไป๋”ฉิงซวนแนะนำตัวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ นางมองค้อนทางเฟิงชิวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆมาทางไป๋จูเหวิน

“ดูเหมือนข้าจะมารบกวรพวกท่าน งั้นข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน”ไป๋จูเหวินเห็นท่าทีประหลาดของทั้งสองคนก็พอจะเดาเรื่องราวได้ หรือนี่จะเป็นการ นัดพบยามค่ำคืน ที่ท่านน้าจิ้งจอกพูดถึงกัน หากเป็นเช่นนั้นจริงมันก็คงทำเรื่องเสียมารยาทไปแล้ว

“อะ เอ่อ…น้องไป๋รบกวนเรื่องอะไรกัน พวกเราไม่ได้มาทำอะไรไม่ได้สักหน่อย”เฟิงชิวว่าพลางจับไหล่ไป๋จูเหวินที่เตรียมจะเดินจากไปเอาไว้

“งั้นท่านจะให้ข้าอยู่ต่องั้นหรือ?”ไป๋จูเหวินถามพลางมองทางเฟิงชิว

“เอ่อ….เรื่องคืนนี้เจ้าห้ามบอกใครนะ”เฟิงชิวคอตกพลางกระซิบที่ข้างหูไป๋จูเหวิน

“ข้าไม่บอกคนอื่นแน่นอน พี่ใหญ่โปรดวางใจ”ไป๋จูเหวินตอบด้วยท่าทีใสซื่อ มันไม่ใช่คนปากสว่างอยู่แล้ว ไม่เที่ยวนำเรื่องที่เห็นไปป่าวประกาศที่ไหนหรอก

“ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้มีอะไรให้ข้าช่วยก็มาบอกข้าล่ะ”เฟิงชิวว่าพลางถอนหายใจออกมา

“ขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางเดินจากไป แต่ก่อนจะจากมันหันกลับไปมองต้นเหมยประทับชาดครู่หนึ่งอย่างเสียดาย แม้จะทำให้มีสีแดงติดรองเท้า แต่ต้นเหมยประทับชาดก็สวยงามอย่างมาก แต่ในเมื่อสถานที่มีคนใช้แล้ว มันก็คงยึดครองไม่ได้ ทำให้ไป๋จูเหวินเดินไปหาสถานที่อื่นเพื่อใช้เป็นที่ส่วนตัวยามมันอยากครุ่นคิดอะไรแทน