ภาคที่ 4 ตอนที่ 6 เมฆขาวลอยมา

มรรคาสู่สวรรค์

เสี่ยวเหอนั่งยองๆ อยู่ริมผา ตั้งใจมองดูกาเหล็กที่อยู่บนเตา ฟังเสียงน้ำที่ดังออกมา ไม่รู้ว่านางจะเปลี่ยนชาเหมาเจียนเป็นชาอะไร

กู้ชิงพาไป๋เจ่าเยี่ยมชมยอดเขารอบหนึ่ง

สำหรับผู้บำเพ็ญพรตทุกคนแล้ว ถ้ำของนักพรตจิ่งหยางล้วนแต่ถือได้ว่าเป็นทิวทัศน์ที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมมากที่สุด

ชาในกาเหล็กต้มเสร็จแล้ว เสี่ยวเหอยกกาเดินเข้าไปในถ้ำ กู้ชิงเองก็พาไป๋เจ่าเดินเข้าไป จากนั้นนั่งลงประจำที่

เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน หยวนฉวี่และกู้ชิงยืนขนาบข้าง เสี่ยวเหอกำลังแบ่งชา สีหน้ายังคงดูตั้งใจ คล้ายมองไม่เห็นอะไรอย่างอื่นทั้งนั้น

นี่เป็นการรับแขกอย่างเป็นทางการครั้งแรกของยอดเขาเสินม่อ

เมื่อเห็นภาพนี้ ไป๋เจ่ารู้สึกเหมือนมีความหมายอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่ หลังครุ่นคิดเล็กน้อยก็เหมือนจะเข้าใจ ในใจลอบถอนใจเบาๆ สีหน้าดูอ่อนโยนลง

หยวนฉวี่มองกู้ชิง ในใจครุ่นคิดว่าพวกเราทำเกินไปหรือเปล่า

กู้ชิงสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีการตอบสนองใดๆ

บรรยากาศภายในถ้ำค่อนข้างกระอักกระอ่วน จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “นี่มันอะไรกัน?”

ไป๋เจ่ายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “อาจเป็นเพราะข่าวลือนั้นกระมัง”

จิ๋งจิ่วงุนงง เขาไม่รู้เรื่องข่าวลือนั้นจริงๆ เพราะไม่มีคนบอกเขา

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวมักจะเป็นคนที่รู้ความจริงเป็นคนสุดท้าย ประโยคนี้ถูกต้องเสมอ

เจ้าล่าเยวี่ยเองก็ไม่ทราบเรื่องข่าวลือ นางมองกู้ชิง

กู้ชิงรู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าในเมื่อท่านไม่รู้ เหตุใดวันนี้จึงเปลี่ยนชุดใหม่ สระผม อีกทั้งยังผูกเปียน่ารักอีกสองข้างด้วย?

เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าไป๋เจ่าจะมายอดเขาเสินม่อ แต่มิได้มีความรู้สึกที่ต้องการจะแข่งขันอย่างรุนแรงเหมือนตอนที่ทราบว่าศิษย์ของเหลียนซานเยวี่ยจะเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย

นางมิได้มีความรู้สึกที่ไม่ดีไป๋เจ่า แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกชอบ ที่นางอาบน้ำแต่งตัวเช่นนี้เป็นเพราะเหตุผลสองข้อ

มารยาท

แล้วก็จะได้ไม่ถูกนำออกไปพูดต่อ

นางไม่อยากให้ไป๋เจ่าเข้าใจผิดว่าบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนภายในถ้ำนั้นได้รับอิทธิพลมาจากตน จึงกล่าวถามอย่างจริงจังว่า “ข่าวลืออะไร?”

“ข่าวลือบอกว่าข้ามาชิงซานเพื่อขอศิษย์พี่จิ๋งจิ่วแต่งงาน”

ในตอนที่ไป๋เจ่าพูดนางมิได้มองจิ๋งจิ่ว หากแต่มองเจ้าล่าเยวี่ยอย่างเงียบๆ

ในโลกบำเพ็ญพรตของแผ่นดินเฉาเทียนในเวลานี้ สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดมิใช่หมากล้อมของถงเหยียน มิใช่การเก็บตัวของจัวหรูซุ่ย หากแต่เป็นใบหน้าของจิ๋งจิ่ว

หลังจากการประลองหมากล้อมและการประลองวิถีพรตในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในที่ราบหิมะเมื่อหกปีก่อน จิ๋งจิ่วยิ่งมีชื่อเสียงขึ้น กระทั่งคล้ายจะกลายเป็นบุคคลในตำนานของผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ เป็นคนที่ผู้บำเพ็ญพรตหญิงสาวของฝ่ายธรรมะและอธรรมพากันชื่นชม

เพียงแต่เขาไม่ค่อยได้ออกไปจากยอดเขาเสินม่อเท่าไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะออกไปจากชิงซานเลย ผู้บำเพ็ญพรตหญิงสาวเหล่านั้นแทบจะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขา กระทั่งมองดูไกลๆ ก็ยังยาก ดังนั้นเจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่กับจิ๋งจิ่วทั้งวันทั้งคืนบนยอดเขาเสินม่อและในการเดินทาง และไป๋เจ่าที่เคยติดอยู่ในถ้ำของที่ราบหิมะกับจิ๋งจิ่วมาหกปี จึงกลายเป็นคนที่พวกนางรู้สึกอิจฉามากที่สุด

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นสำหรับหลายๆ คน คนที่มีสิทธิ์จะแย่งชิงจิ๋งจิ่วก็ย่อมต้องเป็นพวกนางสองคน

ไป๋เจ่าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นนางจึงคอยสังเกตการตอบสนองของเจ้าล่าเยวี่ยหลังจากที่พูดประโยคนั้นออกไป

เจ้าล่าเยวี่ยมิได้มีการตอบสนองใดๆ

ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่ได้พยายามสะกดอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำ หากแต่ไม่มีอารมณ์ใดๆ จริงๆ

ไป๋เจ่าไม่เข้าใจ มองดูนางอย่างงุนงง

เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของนางผิด จึงลุกขึ้นเดินออกไปจากถ้ำ

หยวนฉวี่กับกู้ชิงสบตากัน แม้จะไม่ยินยอม แต่ก็จำต้องตามออกไป

เสี่ยวเหอย่อมไม่กล้าอยู่เพื่อแอบฟัง จึงตามออกไปเช่นกัน

เจ้าล่าเยวี่ยเดินมาถึงริมผา สองมือไพล่หลัง มองดูทะเลเมฆและหมู่ยอดเขา

หยวนฉวี่ร้อนใจ มือเกาหูเกาแก้ม แต่กลับไม่กล้าพูดเตือน

เสี่ยวเหอยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “ท่านนี่เหมือนลิงเลย เอาแต่ร้อนใจจะมีประโยชน์อะไร ท่านต้องคิดหาวิธี”

หยวนฉวี่ได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึงเล็กน้อย ในขณะที่กำลังจะถามว่าวิธีอะไร กู้ชิงพลันพูดขึ้นมา

“หากเจ้าไม่เรียนรู้จะพูดให้น้อยลงหน่อย อาจารย์อาจจะส่งเจ้าไปที่วัดกั่วเฉิงเพื่อเรียนรู้การปิดวาจาก็ได้”

จิ๋งจิ่วไม่ค่อยพูด แต่บางครั้งเวลาที่ลิงบนยอดเขาเสินม่อส่งเสียงหนวกหูเหมือนอย่างญาติของพวกมันที่อยู่บนยอดเขาซื่อเยวี่ย เวลาที่หยวนฉวี่บ่นพึมพำ เวลาที่พูดคุยถึงหลิ่วสือซุ่ย เขามักจะเอ่ยถึงเรื่องที่พบสมณะวัดกั่วเฉิงสองรูปนั้นในระหว่างเดินทางขึ้นมาอย่างคิดถึง

สายตาของกู้ชิงที่มองดูเสี่ยวเหอนั้นสงบนิ่ง แต่กลับลึกซึ้ง

เสี่ยวเหอพลันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย

จากนั้นนางถึงคิดขึ้นมาได้ว่ากู้ชิงบรรลุสภาวะขั้นมิประจักษ์ระดับสูงแล้ว สามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจรได้ทุกเมื่อ

ในยอดเขาเสินม่อ สภาวะของเขาอยู่ในอันดับสอง

……

……

จิ๋งจิ่วไม่ค่อยเข้าใจ เหตุใดถึงมีข่าวลือนั้นได้ ด้วยสถานะของสำนักจงโจวในแผ่นดินเฉาเทียน ขอเพียงไป๋เจ่าไม่ยินยอม ต่อให้มีคนคอยปลุกปั่นอยู่เบื้องหลัง แต่ข่าวลือที่ว่านั้นจะต้องกลายเป็นเหมือนหิมะที่เจอแสงอาทิตย์ ละลายหายไปในพริบตาอย่างแน่นอน

เช่นนั้นคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวก็คือข่าวลือนี้อาจจะเป็นข่าวลือที่สำนักจงโจวเป็นคนปล่อยออกมาเอง อย่างน้อยก็แอบยอมรับอย่างเงียบๆ

ไป๋เจ่ากล่าวว่า “อันดับแรกนี่เป็นเพราะความคิดที่เห็นแก่ตัวของข้า ท่านแม่ข้าชื่นชอบศิษย์พี่ถงเหยียนมาโดยตลอด หลังเขาสังหารศิษย์พี่ลั่วไหวหนานแล้ว ความชื่นชอบนี้ก็ยิ่งเห็นได้ชัด แต่ข้าไม่ได้อยากเป็นคู่รักบำเพ็ญพรตกับศิษย์พี่ถงเหยียน ข้าจึงต้องการเหตุผล”

จิ๋งจิ่วมิได้ถามว่าเหตุใดสองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจวถึงรู้ความลับของถงเหยียน เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนอยู่แล้ว

ไม่ว่าไป๋เจ่าและถงเหยียนจะระมัดระวังตัวแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะปิดบังสายตาของสองสามีภรรยาคู่นั้นไปได้

เรื่องราวของลั่วไหวหนานในอดีตก็เช่นเดียวกัน

“นี่เป็นเหตุผลที่ดีมาก”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ถงเหยียนไม่เลว แต่ในเมื่อเจ้าไม่ชอบเขา ก็ทำได้แค่เพียงปล่อยมันไป”

ไป๋เจ่ากล่าวขอบคุณ

ไม่รู้ว่าขอบคุณที่เขากล่าวชื่นชมถงเหยียน หรือว่ากล่าวขอบคุณที่เขาใจกว้างและเข้าใจตน

“ยิ่งไปกว่านั้นข้าคิดว่าข่าวลือนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่าน”

นางกล่าวต่อว่า “เป็นเพราะข้า สภาวะของท่านเลยหยุดนิ่งมาเป็นเวลาหกปี ดูแล้วคงจะแบกรับความกดดันในชิงซานเอาไว้ไม่น้อยแน่ ข้าอยากจะลองช่วยแบ่งเบาความกดดันนี้บ้าง”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ความกดดันอาจจะมี แต่มันมาไม่ถึงตัวข้า ยิ่งไปกว่านั้นหากมีคนอยากจะหาเรื่องจริงๆ สุดท้ายข่าวลือมันก็คือข่าวลือ ทำประโยชน์อะไรไม่ได้มากหรอก”

“หากข่าวลือกลายเป็นเรื่องจริงล่ะ? สำนักชิงซานก็จะไม่สร้างความกดดันให้ท่านอีก สำนักท่านและข้าจะมีสัมพันธ์ที่ดี พันธมิตรสำนักฝ่ายธรรมะอาจจะกลายเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง มิใช่เป็นแค่คำพูดที่ลอยไปลอยมา ท่านและข้าแต่งงานกลายเป็นคู่รักบำเพ็ญพรต ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็มีแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสียใดๆ”

เสียงของไป๋เจ่าราบเรียบ คล้ายกับกำลังพูดเรื่องราวที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองอยู่

จิ๋งจิ่วกล่าว “ตอนที่อยู่เมืองไป๋เฉิง ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว นี่เป็นไปไม่ได้”

ไป๋เจ่าดึงสายตากลับมา มองไปยังชาดำภายในชามที่ดูเหมือนยา นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

ในช่วงเวลาอันยาวนานนี้ จิ๋งจิ่วไม่ได้กล่าวกระไร มองดูนางเงียบๆ

ไป๋เจ่ามองดูเขา พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเดินทางมาในครั้งนี้ยังมีอีกภารกิจหนึ่ง นั่นคือเชิญท่านไปร่วมงานฉลองเปิดสำนักจงโจวสามหมื่นปี”

จิ๋งจิ่วกล่าว “แทนพ่อแม่ของเจ้า?”

ไป๋เจ่ากล่าว “ถูกต้อง”

สองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจวเป็นยอดคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย

การที่พวกเขาเชิญศิษย์หนุ่มชิงซานอย่างจิ๋งจิ่วไปร่วมงานด้วยตัวเองเช่นนี้ จะต้องมีความหมายลึกซึ้งหลายอย่างอยู่แน่

จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ถึงตอนนั้นดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน”

ไป๋เจ่าลุกขึ้นเตรียมจากไป จากนั้นจู่ๆ พลันกล่าวว่า “มีกวีคนหนึ่งเคยเขียนกลอนไว้ว่ายามเมฆขาวไล้ผ่านใบหน้ามันมีความรู้สึกอย่างไร เขาใช้คำบรรยายมากมาย สุดท้ายก็วกกลับมาที่คำว่าเมฆขาวไล้ใบหน้า นั่นเพราะเขามิใช่ผู้บำเพ็ญพรต ไม่สามารถรับรู้ได้ แต่พวกเราทำได้ ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องเขียนกลอนเพื่อบรรยายหลักเหตุผลนี้ พวกเราแค่เข้าไปเดินๆ ในเมฆก็พอ”

จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของนาง เขานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เมฆสลายไปได้ เช่นนั้นเมฆก็คือสิ่งลวงตา ไล้ผ่านใบหน้าก็ย่อมต้องเป็นสิ่งลวงตาเช่นกัน”

สรรพสิ่งหรือความรู้สึกใดๆ ที่ถูกเวลาหยุดลงได้ ล้วนแต่ไม่มีตัวตนอยู่จริง

รวมไปถึงเมฆขาว

รวมไปถึงเมฆที่ไล้ผ่านใบหน้า

ความรัก

และอื่นๆ อีกมากมาย

……

……

ไป๋เจ่าเดินออกมาจากถ้ำ

กู้ชิงและคนอื่นๆ ต่างออกไปแล้ว

เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ริมผา มือไพล่หลังมองดูทะเลเมฆ

ไป๋เจ่าเดินมาที่ข้างกายนาง

ในภูเขาพลันมีลมพัดขึ้นมา

ทะเลเมฆขยับขึ้นลง ไหลขึ้นมาบนยอดเขา ไหลผ่านใบหน้าไป

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “แต่ไหนแต่ไรมาข้ามิใช่คนที่เจ้าต้องแย่งชิงด้วย หากแต่เป็นตัวเขา”

ไป๋เจ่ากล่าว “เจ้าจะบอกว่าเขาหลงตัวเองเกินไป?”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ไม่ เป็นเพราะเขาเชื่อว่าการมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องของคนคนเดียว”

…………………………….