ครั้นได้ยินคำพูดของเจ้าล่าเยวี่ย ไป๋เจ่านิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
“หากถึงวันนั้นจริงๆ เจ้าจะไม่ผิดหวังหรือ?”
นางพลันถามขึ้นมา
คำถามนี้นางเคยถามหลิ่วสือซุ่ยตอนอยู่ในหอสี่เจี้ยนมาแล้ว
“ไม่ แค่ได้เคยเดินร่วมกันบนหนทางสู่สวรรค์ก็ถือเป็นโชคดีแล้ว”
คำตอบของเจ้าล่าเยวี่ยเหมือนกับหลิ่วสือซุ่ย แต่เหตุผลไม่เหมือนกัน
เคยได้เดินด้วยกันก็พองั้นหรือ?
ไป๋เจ่ารู้สึกไม่ค่อยไม่เข้าใจ จึงกล่าวว่า “หรือไม่คิดอยากจะได้มากกว่านั้น?”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เมื่อนานมาแล้วข้าก็เคยคิดเช่นนี้…”
นางคิดถึงตอนที่ตัวเองกับจิ๋งจิ่วออกมาจากสวนดอกเหมยเก่า จิ๋งจิ่วเตรียมจะบอกนางถึงตัวตนที่แท้จริงของงเขา แต่ถูกนางปฏิเสธ
เพราะนางไม่กล้ารู้คำตอบนั้น
ก็เหมือนกับคำว่าอยากนี้ นางก็ไม่กล้าคิดอยากอีก
นางมิได้เสียใจเพราะเหตุนี้ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังกับตัวเอง
สายตามองดูเมฆขาวที่ลอยมากระทบใบหน้า ใบหน้าของนางเผยให้เห็นรอยยิ้มจริงใจ ลักยิ้มปรากฏขึ้นมา ดวงตาสีขาวดำดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก
ได้บำเพ็ญเพียรด้วยกันอยู่บนยอดเขาเสินม่อ ยังจะมีอะไรไม่พอใจอีกล่ะ?
หากกลายเป็นคู่รักบำเพ็ญพรตจริงๆ รวมร่างกายบำเพ็ญเพียร มันจะต่างจากตอนนี้ตรงไหน?
ก็แค่มีเรื่องหญิงชายเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
“….ตอนที่อยู่ในเมืองซางโจว ข้าเคยเห็นกิจกรรมความรักของหญิงชาย ดูน่าสนใจ แต่มันไม่ได้น่าสนใจอะไรขนาดนั้น ไม่ควรค่าที่จะไปคิดถึงเรื่องนี้มากนัก”
ระหว่างคำพูดสองประโยคนี้ มีหลายอย่างที่นางมิได้พูดให้ชัดเจน
แต่ไป๋เจ่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดบนโลก ย่อมต้องฟังรู้เรื่องหรือว่าคิดเข้าใจ นางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “มีเหตุผลจริงดั่งว่า หากข้าสามารถคิดได้เช่นนี้ บางทีอาจจะรู้จักพอได้เช่นกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยหมุนตัว มองนางพลางกล่าวว่า “หรือเจ้าจะมาอยู่ที่ชิงซานก็ได้”
ไป๋เจ่ายิ้มเล็กน้อยไม่กล่าวกระไร
ในรอยยิ้มของนางมองไม่เห็นความขมขื่นใดๆ แต่สีหน้ากลับดูอ้างว้างโดดเดี่ยว
นางเป็นอนาคตเจ้าสำนักที่สำนักจงโจวเลี้ยงดูขึ้นมา กระทั่งอาจจะกลายเป็นผู้นำแห่งฝ่ายธรรมะในอนาคต บนไหล่แบกรับหน้าที่สำคัญเอาไว้ แล้วจะจากไปตามใจตัวเองได้อย่างไร
“ความจริงข้าก็ยังรู้สึกไม่เข้าใจ ต่อให้เขายึดมั่นความคิดเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ลองดู ไม่ว่าจะกับใคร ยังไงมันก็ไม่มีข้อเสีย”
เสียงของนางถูกไอหมอกที่ลอยเข้ามาทำให้ดูอ่อนโยนลง น่าฟังยิ่งนัก
ในหมอกค่อนข้างหนาวเย็น ค่อนข้างชื้น หากมิใช่ผู้บำเพ็ญพรตจะต้องรู้สึกไม่สบายตัวอย่างแน่นอน
ใบหน้านางขาวซีด มิใช่เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บ แล้วก็มิใช่เป็นเพราะทุกข์ใจ หากแต่เป็นเพราะโรคที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะมาหกปี นางฝึกคัมภีร์ไข่มุกแดงที่จิ๋งจิ่วถ่ายทอดให้ ทำให้ร่างกายที่อ่อนแอมาแต่กำเนิดแข็งแรงขึ้นมา แต่ถ้าอยากจะกำจัดโรคออกไปให้หมดนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
หมอกตกกระทบลงบนใบหน้าที่งดงามและดูค่อนข้างขาวซีดนั้น ผมสีดำพลิ้วลอยขึ้นสองสามปอย
คล้ายกับกิ่งหลิวที่งอกขึ้นมาใหม่ ยืดยาวทะลุหมอกลงไปแตะผิวแม่น้ำในยามเช้าอย่างแผ่วเบา
กระทั่งข้ายังมองว่างดงาม
แต่เขากลับไม่
เจ้าล่าเยวี่ยยื่นมือออกไปด้วยคิดอยากจะลูบศีรษะนางเพื่อปลอบใจ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าไม่เหมาะสม จึงเปลี่ยนไปตบเบาๆ ที่ไหล่ของนาง
ระหว่างผู้บำเพ็ญพรตด้วยกันจะมีการสัมผัสร่างกายกันน้อยมาก โดยเฉาพะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่ที่หวาดกลัวเรื่องเหล่านี้มากที่สุด อย่าได้พูดถึงเรื่องที่จะโอบไหล่กอดคอกันเลย กระทั่งยืนอยู่ใกล้กันนิดหน่อยก็ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดแล้ว
ไป๋เจ่ามองเจ้าล่าเยวี่ยอย่างตกใจ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จึงกล่าวลาไปทั้งอย่างนี้
กู้ชิงส่งไป๋เจ่าลงจากเขา
จิ๋งจิ่วเดินออกมาจากในถ้ำ มองดูเมฆหมอกที่อยู่ตรงบริเวณหน้าผา เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
เจ้าล่าเยวี่ยสะบัดแขนเสื้อ มีลมพัดขึ้นมา
เมฆหมอกกระจายตัว แสงอาทิตย์ส่องมาลงอีกครั้ง ยอดเขาเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา
จิ๋งจิ่วเดินมาริมผา วางเก้าอี้ไม้ไผ่ลง นอนลงไป ขาทั้งสองข้างไขว้กัน ดูสบายเป็นยิ่งนัก ใช้พื้นที่เพียงครึ่งหนึ่งของเก้าอี้
เจ้าล่าเยวี่ยเบี่ยงตัวนั่งลงไป มองเขาพลางกล่าวว่า “นางชอบเจ้าจริงๆ แผนการเหล่านั้นก็เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกเขินอายน้อยลง เพราะอันที่จริงนางเป็นฝ่ายมาที่นี่”
จิ๋งจิ่วกล่าว “การตอบแทนบุญคุณ ภาพลวงตาที่มองเห็นในตอนสิ้นหวัง การรักสวยรักงาม ความชื่นชม สิ่งที่เรียกว่าความรักความชื่นชอบล้วนแต่เป็นการคิดไปเองทั้งสิ้น แต่จะอธิบายก็ยุ่งยากเกินไป ดังนั้นพวกเราไม่คุยเรื่องนี้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “แต่ถ้าเจ้าเป็นคู่รักบำเพ็ญพรตกับนาง มันไม่มีข้อเสีย มีแต่ข้อดี”
นางรู้ว่าการบำเพ็ญเพียรของจิ๋งจิ่วเจอปัญหาบางอย่าง
มันไม่เกี่ยวกับการถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะมาหกปี หลังเขาบรรลุเข้าสู่ขั้นมิประจักษ์แล้ว ก็คล้ายว่าความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของเขาช้าลงกว่าเดิมมาก ในช่วงสองปีนี้ยิ่งเหมือนว่าหยุดนิ่งอย่างไรอย่างนั้น นางคิดว่าปัญหาที่กระทั่งจิ๋งจิ่วยังแก้ไม่ได้ ตนเองย่อมไม่มีทางช่วยได้อย่างแน่นอน แต่ในเมื่อสองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจวได้เตรียมวิธีการบำเพ็ญเพียรเป็นคู่เอาไว้ให้ไป๋เจ่า ไม่แน่อาจจะมีประโยชน์ต่อจิ๋งจิ่วก็เป็นได้
แต่แน่นอน การที่นางคุยกับจิ๋งจิ่วถึงปัญหานี้ ก็เป็นเพราะนางค่อนข้างรู้สึกสนใจในเรื่องนี้ แล้วก็อยากจะได้คำชี้แนะจากเขา
หลังมาถึงชิงซาน นางก็กลายเป็นต้นแบบของศิษย์รุ่นเยาว์อย่างรวดเร็ว ได้รับความรักและความเคารพจากศิษย์ร่วมสำนัก นอกจากกู้หานที่อยู่บนยอดเขาเหลี่ยงว่างแล้ว ยังมีศิษย์อีกหลายคนที่อยากจะกลายเป็นคู่รักบำเพ็ญพรตกับนาง กระทั่งนางได้กลายเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ เรื่องแบบนี้ถึงได้หายไป
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ความชอบมันก็คือข้อเสีย”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่เข้าใจ
“เมื่อชอบก็จะละไม่ได้ เมื่อละไม่ได้ก็จะจากไม่ได้”
จิ๋งจิ่วมองดวงตาของนางพลางกล่าว
ในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา สีหน้าของเขาไม่เคยจริงจังเหมือนอย่างในเวลานี้มาก่อน
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ในขณะที่กำลังจะเตรียมคัดค้าน นางพลันได้ยินคำพูดประโยคต่อไปของจิ๋งจิ่ว
“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้มันยุ่งยากหรือ?”
นางไม่รู้ว่าควรจะตอบรับประโยคนี้อย่างไร จึงไม่คิดเรื่องนี้อีก จากนั้นกล่าวถามว่า “นางยังมีเรื่องอื่นอีกอย่างนั้นหรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เขาอวิ๋นเมิ่งเชิญข้าไปร่วมงานฉลองเปิดสำนักสามหมื่นปี”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิดในเมื่อไป๋เจ่าเป็นคนพูด เช่นนั้นก็น่าจะเป็นคำเชิญของเจ้าสำนักจงโจว จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่ายอดคนท่านนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่?
“เริ่มร้อนใจกันแล้ว”
จิ๋งจิ่วมองดูทะเลเมฆที่ค่อยๆ จมลงไป ก่อนจะเผยให้เห็นสีหน้าทอดถอนใจที่ยากจะพบเห็นได้
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวถามว่า “ใครกำลังร้อนใจ?”
“ปลายสุดของเวลาคือเส้นที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้ ความร้อนใจและความกระวนกระวายใจมักจะมาจากตรงนี้”
จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมา มองดูนางพลางกล่าวว่า “ย่อมต้องเป็นคนที่ใกล้ตายเหล่านั้นที่กำลังร้อนใจ”
ครั้งนั้นตอนที่อยู่ในเมืองเจาเกอ จิ๋งจิ่วเคยเล่าเรื่องของโลกบำเพ็ญพรตและโลกปุถุชนให้เจ้าล่าเยวี่ยฟังมากมาย ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ก็มีพูดถึงบ้างเล็กน้อย
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นคร่ำเคร่งขึ้นมา
เหตุใดเจ้าสำนักชิงซานถึงเพิ่งจะรับกั้วหนานซานเป็นศิษย์เมื่อหลายสิบปีก่อน เหล่าศิษย์ที่เล่าลือกันว่าเสียชีวิตในศึกที่สู้กับแคว้นเสวี่ย แท้ที่จริงแล้วมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่?
อายุของสองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจวน่าจะมิใช่น้อย เหตุใดไป๋เจ่าที่เป็นบุตรสาวของพวกเขาถึงยังอายุน้อยเพียงนี้?
ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองรุ่นของสำนักชิงซาน สำนักจงโจว แล้วก็สำนักใหญ่ๆ อีกหลายสำนักมีขนาดที่ใหญ่มาก
ในอดีตเจ้าล่าเยวี่ยคิดว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะการต่อสู้กับแคว้นเสวี่ยมีความโหดร้ายมากเกินไป ต่อมาเมื่อได้รับคำชี้แนะจากจิ๋งจิ่ว นางถึงได้รู้ว่านี่เป็นเรื่องปกติของโลกบำเพ็ญพรต
ความสัมพันธ์ใดๆ บนโลก ไม่ว่าจะทางสายเลือดหรือการสืบทอดก็ล้วนแต่เป็นความสัมพันธ์แบบสองทาง
หากใช้คำพูดของสำนักฌาน นี่ก็คือกรรม
หากใช้คำพูดของทางเต๋า นี่ก็คือจิตที่ผูกอยู่กับอายตนะภายนอกทั้งหก
การยุติกรรม ตัดจิตที่ผูกกับอายตนะ เดิมก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากที่สุดในการบำเพ็ญเพียรอยู่แล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ตัดกรรมและจิตที่ผูกกับอายตนะเสียตั้งแต่ต้นล่ะ?
ผู้บำเพ็ญพรตรับศิษย์หรือมีผู้สืบทอดทางสายเลือดนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ นั่นเป็นเพราะการบรรลุกลายเป็นเซียนยากเกินไป
อย่างเช่นผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขาในชิงซาน ในตอนที่บรรลุสภาวะขั้นคเนจรไปแล้วถึงจะเริ่มเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า จากนั้นก็เริ่มรับศิษย์
ส่วนผู้บำเพ็ญพรตที่มีพรสวรรค์ สภาวะล้ำลึกและยังคงปรารถนาที่จะบรรลุกลายเป็นเซียนจะมีความระมัดระวังในเรื่องการรับศิษย์และมีผู้สืบทอดมากกว่า
คนอย่างนางและจิ๋งจิ่วมีน้อยมาก
เหตุใดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา สำนักบำเพ็ญพรตต่างๆ ถึงได้มีศิษย์อัจฉริยะอย่างลั่วไหวหนานหรือกั้วหนานซานปรากฏขึ้นมามากมาย?
นั่นเป็นเพราะยอดคนที่แท้จริงเหล่านั้นมองเห็นปลายทางของตัวเองแล้วเช่นกัน
สองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจวมองเห็นปลายทางของตัวเอง ถึงได้มีลั่วไหวหนาน ถงเหยียน ไป๋เจ่า
ที่สองสามีภรรยาคู่นั้นเชิญจิ๋งจิ่วไปร่วมงานเลี้ยงฉลองเปิดสำนักในอีกหลายปีหลังจากนั้นก็ย่อมเป็นเพราะคำนึงถึงอนาคต
เจ้าสำนักชิงซานมองเห็นปลายทางของตัวเอง ถึงได้มีกั้วหนานซาน หลินอู๋จือ จัวหรูซุ่ย
แล้วเขาครุ่นคิดเช่นไรกันล่ะ?
กั้วตงแห่งสำนักแม่ชี่สุ่ยเยวี่ยเดินทางไปกลับระหว่างเมืองไป๋เฉิงที่มีหิมะตกและทางตะวันตกเฉียงใต้ที่รกร้าง นั่นเป็นเพราะนางมองเห็นอะไร?
“พวกเขามั่นใจแล้วว่าตนเองหมดหวังที่จะบรรลุกลายเป็นเซียน จึงได้ทิ้งกรรมและจิตที่ผูกพันกับโลกเอาไว้ เพื่อจะได้บรรลุการสืบทอดชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งให้สำเร็จ”
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นยืน เดินมาริมผา มองไปทางยอดเขาลูกนั้นพลางกล่าวว่า “ปัญหาอยู่ที่ว่า ในตอนที่พวกเขาตัดสินใจเช่นนี้ออกมา ก็เท่ากับว่าพวกเขาได้ยอมแพ้แล้ว”
เจ้าล่าเยวี่ยพลันรู้สึกเศร้าใจ
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว ไม่มีเรื่องใดที่จะเศร้าไปกว่านี้อีกแล้ว
………………………………….