เมื่อหลายปีก่อนจิ๋งจิ่วก็ทราบเรื่องนี้แล้ว และเคยคุยกับพวกเขาด้วยตัวเอง ดังนั้นอารมณ์จึงยังดี อีกหลายปีกว่าวันนั้นจะมาถึง
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปยืนข้างเขา มองไปยังยอดเขาที่สูงที่สุดในทะเลเมฆลูกนั้น กล่าวเสียงเบาเล็กน้อย “อีกประมาณกี่ปี?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่เกินร้อยปี”
เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจความหมายของเขา จึงแอบคำนวณอายุของกั้วหนานซานเงียบๆ พบว่าเหลืออีกแค่ไม่กี่สิบปีแล้ว
……
……
หลายวันหลังจากนั้น ผู้อาวุโสเยวี่ยเชียนเหมินแห่งสำนักจงโจวก็มาคุยธุระกับเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลฟางจิ่งเทียน ก่อนจะพาศิษย์ที่ติดตามมาด้วยนั่งเรือเมฆกลับไป
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของศิษย์ชิงซานก็คือจิ๋งจิ่วไม่ได้จากไป ไป๋เจ่าเองก็ไม่ได้อยู่ที่ชิงซาน
จากนั้นก็มีข่าวลือใหม่แพร่สะพัดไปในยอดเขาทั้งเก้า ทุกคนถึงได้รู้ว่าที่แท้จิ๋งจิ่วได้ปฏิเสธคำขอแต่งงานของสำนักจงโจวตรงๆ อย่างไร้เยื่อใย
คำว่าปฏิเสธตรงๆ และไร้เยื่อใยสองคำนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจแต่งเติมเข้าไป
คนผู้นี้ย่อมต้องอยู่ในยอดเขาเสินม่อ เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว หากเขามิได้แซ่กู้ก็ต้องแซ่หยวน
ศิษย์ชิงซานรู้สึกตกใจ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา นี่สิถึงจะเป็นนิสัยของอาจารย์อาเล็ก
เหล่าหญิงสาวในยอดเขาชิงหรงต่างดีใจ อาศัยเหตุผลว่าฤดูร้อนกำลังจะจากไป จัดงานเลี้ยงไป๋ฮวาขึ้นมา
เหล่าผู้ดูแลไปเอาสุราเลิศรสมาสองร้อยถังและผลไม้สดใหม่อีกสิบกว่าตะกร้ามาจากยอดเขาซื่อเยวี่ย
พอตกกลางคืน แสงดาวส่องสว่างหน้าผา ลมฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึงพัดผ่านศาลาต่างๆ
เหล่าหญิงสาวกินผลไม้ ร่ำสุราเลิศรส หัวเราะเฮฮา บางร้องเพลงบ้างเต้นรำ มีความสุขยิ่งนัก
หลังเติมสุราไปสามสิบรอบ เหล่าหญิงสาวที่ไม่ได้ใช้ปราณกระบี่ขับเอาฤทธิ์สุราออกไปก็เริ่มเมามาย มิได้ร้องเพลงเต้นระบำอีก หากแต่เริ่มพูดคุยความในใจและเล่าเรื่อง
ความในใจก็คือเรื่องน่าปวดหัวในการบำเพ็ญเพียร ส่วนเรื่องที่เล่าก็คือเรื่องราวทั้งเก่าและใหม่ในยอดเขาทั้งเก้าและในโลกบำเพ็ญพรต
สิ่งที่พวกนางคุยกัน หลักๆ แล้วย่อมต้องเป็นเรื่องระหว่างจิ๋งจิ่วและไป๋เจ่า เมื่อคิดถึงภาพไป๋เจ่าในวันนั้นที่ดูเหมือนสุขุม แต่ความจริงแล้วกลับค่อนข้างโดดเดี่ยว ไม่รู้เพราะเหตุใด ความรู้สึกยินดีก่อนหน้านี้จึงค่อยๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นความอ้างว้างโดดเดียว บริเวณหน้าผาค่อยๆ เงียบลง
ศิษย์หญิงที่ดื่มสุราไปเยอะมาจนใบหน้าแดงก่ำผู้หนึ่งพูดจาติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา “ความรักที่ให้ไป…ล้วนสูญเปล่า”
ศิษย์หญิงผู้หนึ่งถอนใจพลางกล่าวว่า “ช่วงเวลาดีๆ มักจะถูกหมางเมิน”
ศิษย์หญิงอีกคนหนึ่งกล่าวเตือนขึ้นมา “วันนี้คือกลางฤดูใบไม้ร่วง”
ศิษย์หญิงผู้นั้นกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ฤดูใบไม้ร่วงถูกหมางเมินได้หรือ?”
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายความผิดหวัง
พวกนางมองไปยังยอดเขาที่อยู่ใกล้ที่สุดลูกนั้น
ภายใต้แสงดาว ยอดเขาเสินม่อยิ่งดูโดดเดี่ยว
หนานว่างเองก็กำลังดื่มสุราอยู่
นางอยู่บนยอดเขาชิงหรง เอนกายพิงไปบนก้อนหินใหญ่ที่เรียบลื่นราวกระจก ด้านหลังเป็นต้นไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งต้นหนึ่ง
นางใช้นิ้วมือสองนิ้วคีบเหยือกสุราเอาไว้ สีหน้าเกียจคร้าน แสงดาวตกกระทบลงบนร่างกายที่อวบอิ่มและใบหน้าที่งดงาม ดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก
นางเองก็มองไปทางยอดเขาเสินม่อ ในดวงตาไม่มีอารมณ์ใดๆ พลางกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ไร้หัวจิตหัวใจเช่นนี้ ช่างเหมือนอาจารย์ของเขาผู้นั้นจริงๆ”
……
……
ยอดเขาเสินม่อนั้นโดดเดี่ยวจริงๆ ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่นักพรตจิ่งหยางอยู่เลย
ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ ผลไม้ที่ออกผลในฤดูใบไม้ร่วง พายุฝนในฤดูร้อน หิมะที่ตกลงมาในฤดูหนาว ล้วนไม่ได้ทำให้ยอดเขาแห่งนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ แล้วก็คล้ายไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย
หากมีคนถามจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย พวกเขาน่าจะบอกว่าในเมื่อมีข่ายพลังชิงซาน เช่นนั้นเดิมทีมันก็ไม่ควรจะมีฤดูทั้งสี่ เหตุใดต้องวุ่นวายด้วย
ที่บอกว่าวุ่นวายนี้ย่อมหมายถึงยอดเขาชิงหรง
ทุกปีจะมีช่วงเวลาพิเศษสามสี่ครั้ง ยอดเขาชิงหรงจะขอให้ข่ายพลังชิงซานเปิดช่องเพื่อให้ลมฤดูใบไม้ผลิ ฝนฤดูร้อน อากาศในฤดูใบไม้ร่วง และหิมะฤดูหนาวเข้ามา
จิ๋งจิ่วยอมรับแค่เพียงหิมะฤดูหนาว
สำหรับเจ้าล่าเยวี่ยแล้ว นางชื่นชอบฝนฤดูใบไม้ผลิมากกว่า เพราะทำให้นางคิดถึงชายหลังคาวัดไท่ฉางภายในเมืองเจาเกอที่ดูคล้ายเขามังกรเมื่ออยู่ท่ามกลางฝนฤดูใบไม้ผลิ
และเรือนตระกูลจิ๋งที่สามารถมองเห็นภาพทิวทัศน์เช่นนี้
ตรงผามีกระท่อมไม้อยู่หลังหนึ่ง นั่นคือกระท่อมที่กู้ชิงกับเหล่าวานรช่วยกันสร้างขึ้นมาเมื่อสมัยที่กู้ชิงพักอยู่ในยอดเขาเสินม่อในฐานะแขก ตอนนี้เขาให้เสี่ยวเหอพักอยู่ที่นี่
ไม่รู้ว่าต่อไปที่นี่จะกลายเป็นเรือนรับแขกอย่างเป็นทางการของยอดเขาเสินม่อหรือเปล่า
กู้ชิงย้ายมายังยอดเขา
ภายในถ้ำมีห้องพักอยู่หลายห้อง ตำหนักที่อยู่ด้านนอกก็มีห้องพักอยู่หลายห้อง แต่หยวนฉวี่มีคำถามเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรจำนวนมากอยากขอคำชี้แนะ ดังนั้นจึงต้องการพักอยู่ใกล้ๆ เขา
นอกจากนี้ ยอดเขาเสินม่อก็คล้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือปัญหา
หลิ่วสือซุ่ยกลับมายังชิงซาน แต่กลับไม่ได้มาที่นี่หลายวันแล้ว
กู้ชิงคิดในใจว่าจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
ในวันเดียวกันนี้เอง วานรได้นำเอาข่าวที่ทางตระกูลกู้ช่วยสืบกลับมา เขาถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในฐานะที่เป็นผู้ที่มีความดีความชอบในการกำจัดปู้เหล่าหลินมากที่สุด หลิ่วสือซุ่ยย่อมต้องสมควรได้รับรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่มิรู้เป็นเพราะเหตุใด รางวัลที่ว่านั้นจึงยังไม่มาเสียที เรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยต้องการให้เสี่ยวเหออยู่ที่ชิงซานก็เจอกับอุปสรรคที่หนักหนาสาหัส ผู้อาวุโสมั่วฉือแห่งยอดเขาเทียนกวงเขียนจดหมายช่วยพูดด้วยตัวเอง กั้วหนานซานเองก็เดินทางไปช่วยพูดเป็นเพื่อนเขาอยู่หลายวันก็ไม่เป็นผล
ที่สำคัญที่สุดก็คือมีคนกำลังแอบสืบเรื่องหลิ่วสือซุ่ยอย่างเงียบๆ
จู่ๆ ต้วนเหลียนเถียนแห่งยอดเขาซั่งเต๋อก็เดินทางออกไปจากชิงซาน นี่ทำให้บางคนได้กลิ่นแปลกๆ บางอย่าง
กั้วหนานซานที่นิสัยอ่อนโยนยังรู้สึกโกรธขึ้นมา ถกเถียงอย่างรุนแรงกับยอดเขาซีไหล
ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎสำนัก การมอบรางวัลหรือลงโทษศิษย์ในสำนักล้วนแต่เป็นเรื่องของยอดเขาซั่งเต๋อ แต่ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคนต้องผ่านยอดเขาซีไหลก่อน
เรื่องที่เกี่ยวกับคนก็คือทุกเรื่อง
สาเหตุที่สองเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลิ่วสือซุ่ยจัดการได้ไม่สำเร็จ ล้วนเป็นเพราะถูกยอดเขาซีไหลขัดขวางเอาไว้
ยอดเขาซีไหลที่อยู่เงียบๆ มาสองร้อยปี แต่มาวันนี้จู่ๆ กลับแสดงอำนาจของตัวเองออกมาด้วยการเผชิญหน้ากับยอดเขาเทียนกวง
ในที่สุดทุกคนในชิงซานก็คิดขึ้นมาได้ว่าฟางจิ่งเทียนเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลที่ดูเหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป เดิมทีนั้นเป็นยอดคนอันดับสามของสำนักชิงซาน
กู้ชิงไม่รู้ว่าเหตุใดฟางจิ่งเทียนถึงทำเช่นนี้
แต่เขาพลันคิดถึงวันที่มีแรงกดดันอันรุนแรงถาโถมมายังยอดเขาเสินม่อในวันนั้น….มิใช่วันที่ไป๋เจ่ามาครั้งนั้น
ในตอนนั้นเขาและหยวนฉวี่คาดเดาว่ายอดฝีมือที่แอบซ่อนอยู่ในเมฆน่าจะเป็นฟางจิ่งเทียน
กู้ชิงรู้สึกกังวลใจ เขาไม่อาจทนต่อไปได้ จึงเดินมายังริมผา กล่าวกับจิ๋งจิ่วกว่า “อาจารย์ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ท่านควรจะทราบ”
จิ๋งจิ่วมองดูเม็ดทรายที่อยู่ในจานกระเบื้อง ก่อนกล่าวโดยไม่เงยหน้าว่า “ข้ารู้”
กู้ชิงตกตะลึง ในใจครุ่นคิดว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้
……
……
ยอดเขาซีไหล
หลิ่วสือซุ่ยหมุนตัวเดินจากมาอย่างเงียบๆ
วันนี้ยังคงไร้ผล
ฟางจิ่งเทียนไม่ยอมพบเขา
ศิษย์ยอดเขาซีไหลส่งเขามาถึงริมผา ก่อนจะเหลียวหน้ากลับไปมองดูประตูตำหนักที่ปิดสนิท รู้สึกไม่เข้าใจเช่นกัน
ในส่วนลึกของตำหนัก ฟางจิ่งเทียนเอามือไพล่หลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
ลมพัดเข้ามา
คิ้วสีเงินสองเส้นพลิ้วไหว
ดูคล้ายเทพเซียน
ลึกล้ำมิอาจประมาณ
ไหนเลยจะยังดูเป็นคนธรรมดาเหมือนในเวลาปกติ
เวลาที่ไม่มีใคร เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวเองอีก
เขาตัดสินใจ เหยียบอากาศทะยานออกไป เดินออกมาด้านนอกหน้าต่าง จากนั้นร่วงตามลมลงไป คล้ายใบไม้ร่วงใบแรกของฤดูใบไม้ร่วง
ด้านหลังตำหนักบนยอดเขาซีไหลคือผาหินที่ลาดชันเป็นอย่างมาก ด้านล่างคือหมอกที่หนาทึบ
ฟางจิ่งเทียนร่วงลงไปในหมอก
ภายในหมอกมีเสาหินแท่งหนึ่ง
มีน้อยคนที่จะรู้ว่าเสาหินแทงนี้เชื่อมระหว่างยอดเขาซีไหลกับยอดเขาซื่อเยวี่ยเอาไว้
รอบเสาหินยังคงเป็นหมอก ลึกจนมองไม่เห็นเบื้องล่าง
ภายในหมอกมีไอพลังจางๆ แผ่กระจายออกมา
ไอพลังสายนั้นมิได้แข็งแกร่งแต่อย่างใด แต่กลับมีความรู้สึกชั่วร้ายแปลกๆ ดูลี้ลับและเย้ายวนใจเป็นอย่างมาก
ต่อให้เป็นศิษย์ขั้นมิประจักษ์ หากขี่กระบี่อยู่ในหมอกนี้ จะต้องถูกพลังสายนี้รุกล้ำเข้าไปในโอสถกระบี่แล้วตกลงไปตายแน่
คิ้วสีเงินของฟางจิ่งเทียนพลิ้วไหว เมฆหมอกขยับเบาๆ กระจายตัวออกไปบางส่วน เผยให้เห็นพื้นผิวของเสาหิน
พื้นผิวเสาหินมีรอยขีดข่วนกระจายอยู่สิบกว่ารอย ดูเหมือนใบไผ่อย่างไรอย่างนั้น คล้ายไม่มีระเบียบ แต่ความจริงแล้วกลับมุ่งตรงไปยังที่ใดที่หนึ่ง
สายตาของฟางจิ่งเทียนมองไล่ตามรอยขีดข่วนที่ดูเหมือนใบไผ่เหล่านั้น สุดท้ายไปหยุดอยู่ตรงที่ที่หนึ่ง
ภายในหมอกตรงนั้นมีเงาดำปรากฏตะคุ่มๆ
“ไม่มีหนึ่ง แล้วสองล่ะ?”
ฟางจิ่งเทียนมองดูตรงนั้นพลางกล่าว “เหลยพั่วอวิ๋นเอาแต่ตะโกนประโยคนี้ก่อนตาย ตอนอยู่ในคุกกระบี่ก็ตะโกน หลังหนีออกมาแล้วก็ยังตะโกน”
หมอกตรงนั้นพลันหมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เงาดำมิได้ปรากฏกาย แต่เห็นได้ชัดว่าคอยสังเกตดูอยู่
ฟางจิ่งเทียนกล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ตอนนี้พวกเรามั่นใจแล้วว่าสองอยู่ที่ตัวหลิ่วสือซุ่ย เช่นนั้นข้าอยากถามว่า หนึ่งล่ะ?”
………………………