ภาคที่ 4 ตอนที่ 9 ท่านอินเฟิ่งต้องการพิสูจน์

มรรคาสู่สวรรค์

……

หลังฟางจิ่งเทียนพูดถึงปัญหานี้ เสาหินก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้นกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นยังเงียบอยู่เป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร พลันมีสายลมพัดมาจากในหุบเขานั้นอีกครั้ง พัดผ่านเมฆหมอก ประเดี๋ยวทึบประเดี๋ยวจาง เงาดำที่อยู่ตรงนั้นชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายมองเห็นเงาดำสองสายที่ยาวเป็นอย่างยิ่งอยู่ด้านหลัง

“ข้าไม่มีทางช่วยเจ้า”

เสียงที่เย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังออกมาจากในเมฆหมอก

บนพื้นผิวของเสาหินที่เปียกชื้นมีใบไผ่ปรากฏขึ้นมาอีกหลายร้อย

เงาดำสองสายนั้นกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง กวาดเอาหมอกที่อยู่รอบๆ สลายไปจนหมด

ตรงที่ที่สายตาของฟางจิ่งเทียนมองไป แปรเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นมา

ไก่ฟ้าตัวหนึ่งเดินออกมาจากในหมอก ขนาดของมันเหมือนกับไก่ฟ้าธรรมดา รูปร่างปกติธรรมดา ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวน่าจะเป็นหงอนสีแดงที่อยู่บนหัว ดูคล้ายเปลวไฟอันร้อนแรง

สิ่งที่ทำให้ไก่ฟ้าตัวนี้ดูน่าเย้ายวนเป็นอย่างมากก็คือหางสองเส้นที่อยู่ด้านหลังของมัน

หางสองเส้นนั้นยาวประมาณสิบจ้าง สั่นไหวไปมาเบาๆ ตามการเดินของมัน บางครั้งก็จะกางออกเล็กน้อย เผยให้เห็นภาพบางอย่างที่อยู่บนนั้น

บนหางของมันเต็มไปด้วยจุดเล็กๆ ที่รวมกันกลายเป็นแสงมันวาวสีเงิน ลวดลายดูสะเปะสะปะ ดูไปก็คล้ายกับหมู่ดาวนับหมื่นนับพันบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

หากมองนานเข้า จะรู้สึกว่าจุดเงินเล็กๆ เหล่านั้นคล้ายกับดินแดนลี้ลับหมิงเฉวียนที่หดเล็กลงหลายเท่า สามารถทะลุไปยังหุบเหวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นได้

ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือไก่ฟ้าตัวนี้พูดได้

นี่หมายความว่ามันสามารถครุ่นคิดจากนั้นก็สนทนาได้เหมือนอย่างมนุษย์ มิได้ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองอย่างนั้น

ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตนั้นมีสัตว์เทพประจำสำนักที่มีชื่อเสียงอยู่มากมายที่ีมีสติปัญญาและความฉลาดที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญพรต แต่น้อยนักที่จะมีสัตว์เทพประจำสำนักที่พูดได้ ปกติมักจะเป็นการสนทนากับมนุษย์ผ่านทางจิตสำนัก กิเลนของสำนักจงโจวและงูขาวของสำนักต้าเจ๋อก็เป็นสัตว์เทพประเภทนี้ ไป๋กุ่ยและหยวนกุยของชิงซานเองก็พูดไม่ได้ ซือโก่วกระทั่งเสียงก็ยังไม่มี

ไก่ฟ้าตัวนี้พิสดารยิ่งนัก

มันก็คือไก่ปีศาจเยาจี

หรือก็คือสัตว์เทพผู้พิทักษ์ที่เหล่าศิษย์ชิงซานให้ความเคารพ — ท่านอินเฟิ่ง

หากคนธรรมดาได้เห็นไก่ฟ้าที่แปลกประหลาดเช่นนี้เดินออกมาจากในหมอก คงจะต้องตกใจเป็นอย่างมากแน่

หากศิษย์ชิงซานทั่วๆ ไปได้เห็นมัน พวกเขาคงจะคาดเดาสถานะของมันออก จากนั้นก็ตื่นเต้นจนเป็นลมสลบไป

ฟางจิ่งเทียนดูเฉยชาเป็นยิ่งนัก นอกจากเพราะสถานะเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลแล้ว ย่อมต้องมีเหตุผลอื่นด้วยที่ทำให้เขาสงบนิ่งถึงเพียงนี้

เขามองอินเฟิ่งพลางกล่าว “หรือเจ้าลืมคำพูดของอาจารย์ไปแล้ว?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในดวงตาของอินเฟิ่งเผยให้เห็นอารมณ์ที่สับสนเป็นอย่างมาก

ในอารมณ์เหล่านั้นมีทั้งความคิดถึง ความเคารพและความรัก มีทั้งความทอดถอนใจและเสียใจ

สุดท้ายอารมณ์เหล่านั้นก็หายไปจนหมด เหลือเพียงแค่ความเย็นชาและความหยิ่งทะนง

“เจ้าเป็นแค่เจ้าสี่ เมื่อไรกลายเป็นพี่ใหญ่ ค่อยมาใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับข้า”

อินเฟิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“พี่ใหญ่งั้นหรือ…”

ฟางจิ่งเทียนเดินไปยังริมเสาหินพร้อมทอดมองออกไป

เมฆหมอกที่อยู่ด้านนอกเสาหินกลับมาหนาทึบอีกครั้ง ปกคลุมทัศนวิสัยเบื้องหน้าของเขา

เขากำลังมองดูยอดเขาซั่งเต๋อ

ตอนนั้นเขาเข้าสำนักช้ากว่าคนอื่นมาก ช่วงเวลาที่อาศัยอยู่บนยอดเขาซั่งเต๋อก็ไม่ได้นานเท่าไร ไม่ได้ผ่านช่วงเวลาที่มีการกินหม้อไฟและเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกัน

เรื่องราวเหล่านั้นเป็นอาจารย์ที่เล่าให้เขาฟังภายหลัง มีทั้งความรู้สึกคิดถึงและเสียใจ

ภายหลังเขาได้เห็นภาพต่างๆ มากมายด้วยตัวเอง

อาจารย์อาเหมือนจะไม่สนเรื่องราวบนโลก

ศิษย์พี่ทั้งสองคนดูซื่อสัตย์จริงใจ

อาจารย์มีบุญคุณต่อพวกเขาดั่งขุนเขา สุดท้ายก็ยังตกอยู่ในสภาพนั้น

“ในเมื่ออาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องตายแน่นอน”

เขากล่าว

“มีเจ้าสำนักและกฎแห่งกระบี่อยู่ คำพูดนี้ช่างน่าขัน”

อินเฟิ่งกล่าว

ฟางจิ่งเทียนหมุนตัวมาพูดกับมันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่โชคดีก็คือความสัมพันธ์ของเจ้าสำนักและกฎแห่งกระบี่ไม่ดีเท่าไร และข้าซึ่งเป็นศิษย์น้องทราบดีถึงจุดนี้ เมื่อความเป็นความตายกำลังมาถึง ความขัดแย้งทุกอย่างจะถูกกระตุ้นให้รุนแรงขึ้นก่อนที่ความน่ากลัวจะมาถึง นี่คือโอกาส”

ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างคิดว่าหยวนฉีจิงบรรลุสภาวะไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน กลายเป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์แห่งยุค

มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าหยวนฉีจิงบรรลุสภาวะไปก่อนหน้านั้นแล้ว เพียงแต่ด้วยเหตุผลต่างๆ เขาจึงเก็บมันเป็นความลับมาโดยตลอด

ในบรรดาคนจำนวนไม่กี่คนนั้นมีฟางจิ่งเทียน แล้วก็ย่อมต้องมีจิ๋งจิ่วด้วย

นี่แสดงให้เห็นว่าหยวนฉีจิงระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา คอยเฝ้าระวังอะไรบางอย่าง แล้วก็อาจจะเตรียมทำเรื่องที่ปุบปับกะทันหันบางอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อฟางจิ่งเทียน

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียดายก็คือ สุดท้ายหยวนฉีจิงก็ล้มเลิกความคิดนี้ แสดงสภาวะทะลวงสวรรค์ของตัวเองออกมาให้ทั่วทั้งแผ่นดินได้เห็น

เมื่อดูจากเวลาแล้ว นี่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับที่จิ๋งจิ่วมายังชิงซาน

อินเฟิ่งกล่าว “เจ้าเตรียมจะช่วยใคร?”

ฟางจิ่งเทียนกล่าว “ทั่วทั้งชิงซานต่างรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นเกลียดอาจารย์อามาโดยตลอด”

ถูกต้อง กระทั่งศิษย์ชิงซานธรรมดาทั่วไปก็ยังรู้ว่าขอเพียงพูดถึงนักพรตจิ่งหยาง กฎแห่งกระบี่หยวนฉีจิงจะส่งเสียงเหอะออกมา เผยให้เห็นถึงความรังเกียจและไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ในบรรดาผู้พิทักษ์ของชิงซาน ข้าคือผู้ที่ฉลาดที่สุดมาโดยตลอด เพราะนอกจากคำพูดประโยคนั้นที่อาจารย์เจ้าพูดกับข้าแล้ว ในชั่วชีวิตอันยาวนานของข้าไม่เคยมีความคิดเพ้อฝันมาก่อน”

อินเฟิ่งมองเขาพลางกล่าวเสียงขึงขังว่า “ความคิดเพ้อฝันคือสิ่งที่เป็นอันตรายที่สุด แต่เจ้ากลับเอาความหวังทั้งหมดฝากไว้ที่มัน เช่นนั้นจะต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย?”

ฟางจิ่งเทียนกล่าว “เช่นนั้นเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าตอนนั้นอาจารย์ออกมาจากคุกกระบี่ได้อย่างไร?”

อินเฟิ่งนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “หากเจ้าพิสูจน์ไม่ได้ ทุกอย่างมันก็ไร้ประโยชน์”

ฟางจิ่งเทียนกล่าว “เจ้าจะให้ข้าพิสูจน์อะไร?”

“ว่าเขาใช่นักพรตจิ่งหยางหรือไม่”

สายตาอินเฟิ่งดูเรียบเฉย พลางกล่าวว่า “หากว่าเขาใช่ ข้าย่อมไม่มีทางลงมือแน่นอน”

“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะหวาดกลัวอาจารย์อาขนาดนี้ เป็นเพราะป้ายชีวิตของเจ้าอยู่ในมือเขาอย่างนั้นหรือ?”

ฟางจิ่งเทียนกล่าวว่า “แต่ข้าจำได้ว่าอาจารย์เคยบอกว่า ตอนนั้นก่อนที่จะลงมือ เขาได้เอาวิญญาณของเจ้าออกมาจากป้ายชีวิตแล้ว”

“ข้าย่อมต้องกลัวจิ่งหยาง แต่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับป้ายชีวิต”

อินเฟิ่งก้าวไปยังริมเสาหิน ยืนอยู่เคียงข้างเขา หางห้อยตกไปในหมอกที่อยู่ด้านหลัง

มันมองดูยอดเขาเสินม่อที่อยู่ห่างออกไป พลางกล่าวว่า “ตอนนั้นกระทั่งอาจารย์เจ้าก็ยังถูกเขาเล่นงาน เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่น่ากลัวเช่นนี้ ข้าจะกล้าลงมือได้อย่าง?”

ฟางจิ่งเทียนกล่าว “ต่อให้เขาเป็นอาจารย์อาจริงๆ แต่ตอนนี้สภาวะของเขาต่ำต้อยขนาดนี้ มีอันใดน่ากลัว?”

อินเฟิ่งกล่าว “เจ้าอย่ามองว่าตอนนี้เขาเป็นแค่มิประจักษ์ระดับกลาง หรือว่าหลายปีมานี้สภาวะหยุดนิ่งไม่ก้าวหน้า วันๆ เอาแต่นอนอาบแดดเหมือนคนปัญญาอ่อน แต่ไป๋กุ่ยนอนเชื่องอยู่ในอ้อมอกของสาวน้อยผู้นั้น เป็นเพราะเหตุใด?”

คิ้วสีเงินของฟางจิ่งเทียนลอยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

ตอนที่เปิดศึกถล่มลานเมฆ ศิษย์พี่ทั้งสองคนเดินทางไปยังทะเลตะวันตกเพื่อข่มขวัญศัตรู

หากไม่เป็นเพราะอินเฟิ่งแจ้งเตือน เขาก็คงจะลงไปยังยอดเขาเสินม่อและสังหารชายหนุ่มผู้นั้นตามแผนที่วางเอาไว้แต่แรกแล้ว

หากเป็นแบบนั้นล่ะก็ ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาจะเป็นใคร สุดท้ายแล้วมันก็จะจบลงอย่างง่ายดาย

แต่ใครจะไปคิดถึงว่าไป๋กุ่ยจะอยู่บนยอดเขาเสินม่อ

“หลิวอาต้าคือผู้ที่มีความระมัดระวัง ขี้ขลาดและอ่อนไหวที่สุดในบรรดาพวกข้า แล้วก็กระหายการฆ่าฟันที่สุด หากมิเป็นเพราะมันมั่นใจอะไรบางอย่าง เหตุใดมันถึงเชื่องได้ขนาดนี้?”

อินเฟิ่งหมุนตัวเดินเข้าไปในหมอก ก่อนจะกล่าวอีกประโยคทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ดังนั้นพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเขามิใช่จิ่งหยาง”

ฟางจิ่งเทียนมองดูเงาที่ค่อยๆ หายไปในหมอก นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงกล่าวออกมาว่า “ได้”

ตรวจสอบความเป็นมาของจิ๋งจิ่ว เดิมนี่ก็เป็นเรื่องที่เขาต้องทำอยู่แล้ว

หลังจากได้รับแจ้งข่าวมาจากอาจารย์เมื่อหลายวันก่อน เรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างที่สุด

……

……

“เจ้ารู้เรื่องของยอดเขาซีไหลแล้วหรือ?”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวถาม

จิ๋งจิ่วมองดูป้ายไม้ไผ่สีเขียวที่อยู่ในมือ พลางกล่าวว่า “ข้ารู้สึกแปลกใจ”

เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่าบนป้ายไม้ไผ่อันนั้นมีรูปไก่ฟ้าอยู่

ที่จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจก็คือฟางจิ่งเทียน

ตอนนั้นฟางจิ่งเทียนมายังยอดเขาเสินม่อแต่กลับไม่ลงมือ น่าจะเป็นเพราะรู้ว่าอาต้าอยู่ที่นี่

ตามหลักแล้ว ฟางจิ่งเทียนน่าจะอยู่เงียบๆ สักพัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความเคลื่อนไหวอีกครั้งเร็วขนาดนี้

หรือเขามองไม่ออกว่ามันไม่มีโอกาสใดๆ แล้ว?

จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเช่นนี้

……………………..