บทที่ 193 หลินเป่ยเฉินคนธรรมดา
ข้าไม่ได้ตั้งใจ
หลินเป่ยเฉินเกลียดคำพูดนี้ที่สุด
เพราะมันเป็นประโยคที่สามารถลบล้างความผิดทั้งหมดได้ด้วยคำว่าไม่ตั้งใจ
“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีก” หลินเป่ยเฉินมองหน้ากวนเฟยตู้ “มาคุกเข่าขอโทษนางเดี๋ยวนี้”
“คุกเข่าอย่างนั้นหรือ?”
กวนเฟยตู้เริ่มกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง จึงหัวเราะเยาะตอบกลับไปว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร มาสั่งให้ข้าคุกเข่าขอโทษนาง? หึหึ ทำไมข้าต้องทำตามที่เจ้าบอกด้วย? ถ้าข้าไม่คุกเข่า เจ้าจะทำไม?”
“หน้าไม่อายนัก”
หลินเป่ยเฉินใช้วิชาตัวเบาย่องหาโฉมสะคราญกระโดดเข้าไปทิ้งตัวยืนอยู่เบื้องหน้ากวนเฟยตู้
ก่อนที่กวนเฟยตู้จะทันได้ทำอะไร มือของหลินเป่ยเฉินก็ตะปบลงไปที่หัวไหล่ของเขาแล้ว
แรงกดมหาศาลถาโถม
“เจ้า…” กวนเฟยตู้เพิ่งจะเปิดปากพูดเท่านั้น พลันพลังกดดันก็โถมทับลงมาอย่างที่ต้านทานไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ต้องคุกเข่าลงกับพื้นดินตรงนั้นเอง
กร๊อบ!
ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักตามมา
“อ๊าก…”
กวนเฟยตู้ร้องโหยหวนด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ขาของข้า หลินเป่ยเฉิน เจ้า…”
กระดูกหัวเข่าของกวนเฟยตู้แตกหัก
เพี๊ยะ!
ฉู่ชวิ๋นสะบัดหลังมือตบปากกวนเฟยตู้
กวนเฟยตู้ใบหน้าขาวซีด บนแก้มข้างซ้ายและข้างขวาปรากฏรอยนิ้วมือแดงเถือก
ในหัวใจของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าต่อให้หลินเป่ยเฉินสร้างชื่อเสียงโด่งดังขนาดไหน แต่อย่างไรเจ้าแกะดำก็เป็นเพียงลูกศิษย์จากชั้นปีที่ 2 ดังนั้นระดับพลังยอมห่างจากเขาอยู่หลายขุม
หารู้ไม่เลยว่าบุตรชายผู้ไม่เอาไหนของท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์จะมีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?
ทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งนักนะ?
“เมื่อสักครู่นี้ข้าออกแรงเกินไปหน่อย” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ขอโทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
กวนเฟยตู้ทั้งโกรธแค้นและร้อนรน
เขาพยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อระงับความเจ็บปวด ดวงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉินเหมือนอยากจะพูดถ้อยคำอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันแสนดุดันของฝ่ายตรงข้าม กวนเฟยตู้ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแล้ว
จังหวะนั้น กลุ่มลูกศิษย์ประจำชั้นปีที่ 3 เกิดความแตกตื่น
“ใครก็ได้รีบไปบอกอาจารย์เร็วเข้า หลินเป่ยเฉินฆ่าคนตาย…”
ลูกศิษย์คนหนึ่งส่งเสียงตะโกนดังลั่น
ซงโหยวที่โดนหลินเป่ยเฉินตบคว่ำไปก่อนหน้านี้ มีเลือดไหลทะลักออกปากออกจมูก แขนขาชักกระตุก แต่บัดนี้กลับนอนทอดร่างแน่นิ่ง ไม่มีลมหายใจอีกต่อไปแล้ว…
ไป๋ชินหยุนเดินเข้าไปใช้นิ้วมืออังรูจมูกของซงโหยว ก็หันกลับมาบอกหลินเป่ยเฉินว่า “รีบรักษาเขาเร็วเข้า ไม่งั้นท่านได้ฆ่าเขาตายจริงๆ แน่”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นโยนวงแหวนวารีออกไป
วงแหวนวารีครอบคลุมลำตัวของซงโหยว หลังจากนั้น เด็กหนุ่มผู้บาดเจ็บก็กลับมาหายใจอีกครั้ง อาการบาดเจ็บหายดีเป็นปลิดทิ้ง วงแหวนวารีสามารถรักษาเขาได้จนหลงเหลือเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้น
“ใครมันกล้าดีเล่นงานข้า?” ซงโหยวดีดตัวลุกขึ้นมาคำรามเสียงดังลั่น
เมื่อสักครู่นี้ เขาเพียงรู้สึกว่าตนเองโดนตบเข้าที่ศีรษะอย่างแรง แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง ความทรงจำของเขาจึงหยุดชะงักอยู่เพียงเท่านั้น
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปตวัดมือฟาดใส่ซงโหยวอีกครั้ง
ซงโหยวสลบลงไปอีกรอบ
มีเลือดไหลทะลักออกปากออกจมูก
พลัน หลินเป่ยเฉินก็โยนวงแหวนวารีออกไปรักษาเขาให้ฟื้นขึ้นมา
ซงโหยวลุกขึ้นยืนคำรามด้วยความโมโห “หลินเป่ยเฉิน เจ้ามันเล่นทีเผลอ…”
โดนตบไปอีกครั้ง
วงแหวนวารีรักษาอีกครั้ง
โดนตบไปอีกรอบ
วงแหวนวารีก็รักษากลับขึ้นมาอีกรอบ
บรรดาลูกศิษย์ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ไป๋ชินหยุนยืนกอดอกรับชมเหตุการณ์ด้วยความสนุกสนาน
ที่แท้วงแหวนวารีก็มีประโยชน์อย่างนี้นี่เอง
สุดท้ายซงโหยวก็เป็นฝ่ายเหนื่อยล้า
“ไม่สู้แล้ว ข้าขอยอมแพ้…”
ซงโหยวนอนแผ่หราอยู่บนพื้นดิน ร้องตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว “ข้าผิดไปแล้ว อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ข้าจะยอมทำตามคำสั่งของเจ้าทุกอย่าง”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมามองกวนเฟยตู้
กวนเฟยตู้กัดฟันกรอดและพูดว่า “เจ้ารีบฆ่าข้าทิ้งดีกว่า มิฉะนั้นแล้ว เมื่อคณะอาจารย์มาถึง ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
ไป๋ชินหยุนมองหน้ากวนเฟยตู้ด้วยแววตาสมเพชเวทนา
นับว่ากวนเฟยตู้รนหาที่ตายแล้วจริงๆ
ถ้าเขาจะรู้สักนิดว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้ที่สังหารนักล่าอสูรจำนวนนับร้อยคนในหุบเขาชายแดนเหนือด้วยตัวคนเดียว ก็คงไม่มีทางข่มขู่ออกมาเช่นนี้แน่…ดีไม่ดีอาจจะหวาดกลัวจนอุจจาระราดรดกางเกงก็เป็นได้
“ไม่มีปัญหา เจ้าพูดออกมาเองนะ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ
เด็กหนุ่มหงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วที่เงินรางวัลลอยหลุดมือไป เขากำลังอยากหาที่ระบายพอดี
กวนเฟยตู้ ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันก็คือตอนสอบกลางภาค ตอนนั้นหมอนี่ก็สร้างปัญหาให้เขาอยู่ไม่น้อย หลินเป่ยเฉินยังไม่มีโอกาสได้คิดบัญชีแค้น และมันคงไม่มีโอกาสไหนดีมากไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว
ผลั่ก!
หลินเป่ยเฉินกระแทกหมัดต่อยออกไป
กวนเฟยตู้ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ตัวคนลอยกระเด็นไปไกลหลายวา
หลินเป่ยเฉินกระโดดตามติดขึ้นไปนั่งคร่อมแล้วสาวหมัดใส่รัวๆ
ผลั่ก ผลั่ก ผลั่ก ผลั่ก
ทุกหมัดของเขาต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของกวนเฟยตู้
“ใครใช้ให้เจ้าทำตัวเป็นคนใหญ่คนโต…”
“แบบนี้ต้องสั่งสอน…”
“จงรับผลกรรมที่เจ้าก่อเอาไว้ซะ”
“เจ้าไม่มีวันได้ตายดีแน่”
“ใครๆ ก็บอกว่าข้ามันเป็นคนไม่เอาไหนที่สุดในเมืองนี้ แล้วทำไมเจ้าถึงสู้ข้าไม่ได้เลยนะ มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
หลินเป่ยเฉินพูดไปด้วยต่อยตีผู้คนไปด้วย
ทุกคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นไม่อยากเชื่ออีกแล้ว
นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้ออีกต่อไป
ซงโหยวนอนเอามือกุมหน้าอยู่บนพื้นดิน รู้สึกเคียดแค้นจับใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะยอมรับความผิดไปแล้ว
ตอนแรก ไป๋ชินหยุนก็อยากจะเข้าร่วมวงต่อสู้ด้วย แต่ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียวก็จัดการบรรดาเด็กหนุ่มอันธพาลได้อย่างอยู่หมัด เมื่อถูกสาวหมัดใส่ใบหน้าไปหลายสิบกระบวนท่า กวนเฟยตู้ก็มีใบหน้าบวมปูดไม่เหลือเค้าหน้าอันหล่อเหลาเช่นเดิม ทว่า ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตแต่อย่างใด
กวนเฟยตู้เพียงโชคร้ายเกินไปหน่อยเท่านั้น
เขามาหาเรื่องเยว่หงเซียงผิดที่ผิดเวลา กลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของหลินเป่ยเฉินไปโดยไม่รู้ตัว
ส่วนเยว่หงเซียงก็เข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินโกรธแค้นอีกฝ่ายเพราะต้องการปกป้องนาง
เด็กสาวคิดอยากจะห้ามปรามหลินเป่ยเฉินอยู่เช่นกัน แต่นั่นมันคงเป็นการไม่ไว้หน้าเขามากเกินไป
“อาจารย์มาแล้ว ท่านอาจารย์มาแล้ว…”
กลุ่มลูกศิษย์ส่งเสียงตะโกนอื้ออึง
ผู้ที่ยืนจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่แหวกออกเป็นสองฝั่ง
แล้วหลิวฉีไห่ อดีตหัวหน้าคณะอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 1 ซึ่งได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าคณะอาจารย์ชั้นปีที่ 3 แทนพานเว่ยหมิน ก็เดินนำกลุ่มอาจารย์อีก 2-3 คนเข้ามาถึงที่เกิดเหตุ
“หยุดเดี๋ยวนี้” หนึ่งในคณะอาจารย์คำรามเสียงดัง “หลินเป่ยเฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร?”
พูดจบ อาจารย์ท่านนั้นก็กระโดดเข้าไปทิ้งตัวยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน
แต่ทันทีที่เขาวางมือลงไปบนหัวไหล่ซ้ายของหลินเป่ยเฉิน พลังลมปราณก็พุ่งสวนออกมา ส่งผลให้อาจารย์ท่านนั้นเซถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนที่จะยืนตั้งหลักได้มั่นคงอีกครั้ง…
“เจ้าทำเกินไปแล้ว”
อาจารย์ท่านนั้นคำรามด้วยความหัวเสีย ทำท่าจะปรี่เข้าไปหาเด็กหนุ่มอีก แต่หลิวฉีไห่ก็รีบจับตัวห้ามเอาไว้
“อาจารย์หลิว?” อาจารย์หนุ่มอุทานด้วยสีหน้างุนงง
หลิวฉีไห่ส่ายหน้าก่อนจะขยับเท้าก้าวเดินออกมาและพูดว่า “หลินเป่ยเฉิน มีเรื่องอะไรกัน ช่วยอธิบายให้ชัดเจนด้วย แต่ก่อนอื่น…เจ้าหยุดทำร้ายผู้คนก่อนดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินจึงได้ปล่อยตัวกวนเฟยตู้ให้เป็นอิสระ
กวนเฟยตู้มีใบหน้าบวมปูดยิ่งกว่าหัวหมูไหว้เจ้า
เขานอนร้องไห้ครวญครางอยู่บนพื้นดินหมดสภาพ
แต่ก็ไม่ถือว่าได้รับบาดเจ็บหนักหนาอะไร
“อาจารย์หลิว ข้ามีข้อเสนอหนึ่งข้อ”
หลินเป่ยเฉินพับแขนเสื้อขึ้นมา เช็ดเลือดที่ติดอยู่บนกำปั้นของตนเองกับชายเสื้อคลุม แล้วพูดว่า “ท่านต้องไล่กวนเฟยตู้กับศิษย์ที่ชื่อซงโหยวออกไปจากสถาบันของเรา ส่วนคนอื่นๆ ที่หัวเราะเยาะใบหน้าของเยว่หงเซียงในวันนี้ ให้พวกเขาเข้าแถวมาคุกเข่าขอโทษนางซะ”
“ว่าไงนะ?” อาจารย์หนุ่มคนที่ถูกพลังของหลินเป่ยเฉินซัดซวนเซสวนกลับมาด้วยความไม่พอใจ “เจ้าจะให้พวกเราไล่กวนเฟยตู้กับซงโหยวออกจากสถาบัน? หลินเป่ยเฉิน เจ้าออกจะได้ใจมากเกินไปแล้ว…เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นอาจารย์ใหญ่หรืออย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจอาจารย์หนุ่มแม้แต่นิดเดียว
เขามองหน้าหลิวฉีไห่และกล่าวต่อว่า “ข้าเป็นเพียงลูกศิษย์ธรรมดา ที่ไม่อยากเห็นพวกเศษขยะชั้นปีที่ 3 เที่ยวรังแกเพื่อนร่วมสถาบันอีกแล้ว อาจารย์หลิวขอรับ อาจารย์มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดในกิจการของลูกศิษย์ชั้นปีที่ 3 ได้โปรดให้คำตอบกับข้าน้อยด้วย ถ้าพวกท่านไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของข้า ข้าก็จะลาออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม ไม่ขอร่ำเรียนที่นี่อีกต่อไป”
เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาเป็นเพียงหลินเป่ยเฉิน ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
“เรื่องนั้น…” หลิวฉีไห่ชะงักไปไม่น้อย
ต่อให้เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหุบเขาชายแดนเหนือ แต่ก็พอจะเดาออกว่าหลินเป่ยเฉินกลายเป็นคนสำคัญของทางสถาบันขึ้นมาแล้ว อีกอย่าง เด็กหนุ่มก็ทำผลงานได้ดีในการสอบกลางภาคที่ผ่านมา ทำให้เกิดข่าวลือในคณะอาจารย์ ว่าอีกไม่นานหลินเป่ยเฉินจะกลายเป็นยอดอัจฉริยะอันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่ง
หากเขาลาออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม สถาบันแห่งนี้ก็คงได้รับความเสียหายใหญ่หลวง
เมื่อถึงตอนนั้น บรรดาอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาอื่นๆ ในตัวเมือง คงพร้อมใจกันยิ้มร่า เพราะความฝันของพวกเขาเป็นจริงแล้ว
แม้แต่อาจารย์ใหญ่ของวิทยาลัยกระบี่หลวง ก็คงเดินทางมาเชิญหลินเป่ยเฉินถึงหน้าประตูบ้านพักขอของเด็กหนุ่มด้วยตัวเอง เพื่อขอให้หลินเป่ยเฉินเดินทางไปศึกษาต่อกับพวกเขา