บทที่ 194 ข้าเป็นคนไม่มีเหตุผล
“เจ้าเป็นใครมาคิดออกคำสั่ง?”
อาจารย์หนุ่มพูดด้วยความเดือดดาล “อย่าลืมสิว่าก่อนหน้านี้ตัวเจ้าเองเป็นเพียงเศษขยะไร้ค่าประจำเมือง ต้องหลบลี้หนีคู่อริเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านพักของสถาบันเรา…หลินเป่ยเฉิน เจ้ายังไม่ทันจะปีกกล้าขาแข็ง ก็เที่ยวทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่เสียแล้ว รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้ากำลังจะถูกลงโทษเช่นไรบ้าง?”
หลิวฉีไห่รู้ดีว่าถ้าเหตุการณ์ยังดำเนินเช่นนี้ต่อไป ตัวเขาเองนั่นแหละที่จะต้องเดือดร้อนที่สุด
อาจารย์หนุ่มท่านนี้ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานประลองกระบี่
ดังนั้น เขาจึงไม่คิดว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นลูกศิษย์ที่แตะต้องไม่ได้
ลูกศิษย์จะมาทำตัวใหญ่กว่าอาจารย์ได้อย่างไร?
ตั้งแต่แรกเริ่ม มีคณะอาจารย์จำนวนไม่น้อย คิดขับไล่หลินเป่ยเฉินออกไปจากสถาบัน
เหตุผลที่เด็กหนุ่มยังคงอาศัยอยู่ในบ้านพักของสถานศึกษาได้ ก็เพราะเขาทำคะแนนเป็นอันดับ 1 ในการสอบกลางภาค และเป็นตัวแทนของสถาบันเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายของการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้สำเร็จ
และเขาเกือบจะเข้ารอบในฐานะตัวแทนอันดับ 1 เสียด้วยซ้ำ
นี่คือความดีความชอบที่ทำให้สถานศึกษากระบี่ที่สาม ไม่อาจขับไล่หลินเป่ยเฉินออกไปได้ อย่างที่อาจารย์หลายท่านต้องการ
แต่วันนี้ นับได้ว่าหลินเป่ยเฉินสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองโดยแท้จริง
“หุบปาก” เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงตอนนี้ หลิวฉีไห่ก็ส่งเสียงตวาด หันไปจ้องหน้าอาจารย์หนุ่มอย่างเอาเรื่อง “เจ้าไสหัวไปซะ”
“เดี๋ยวก่อนสิท่าน…” อาจารย์หนุ่มเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
แต่เมื่อตั้งสติได้ เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้าคณะอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 3 อีก รีบประสานมือรับคำว่า “ขอรับ”
แล้วอาจารย์หนุ่มก็ถอยตัวออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
“หลินเป่ยเฉิน นี่คือความขัดแย้งระหว่างลูกศิษย์ด้วยกัน ทำไมเจ้าไม่แก้ไขปัญหากันเองเล่า กวนเฟยตู้นับเป็นหนึ่งในยอดอัจฉริยะประจำสถาบัน ทำไมเจ้าถึง…” หลิวฉีไห่พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
หลินเป่ยเฉินกล่าวขัดขึ้นทันที “ข้าน้อยจะไม่ประนีประนอม พวกท่านต้องไล่มันทั้ง 2 คนออกเท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าคณะอาจารย์ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีลูกศิษย์คนไหนทำตัวกระด้างกระเดื่องเท่าหลินเป่ยเฉินมาก่อน
“หากหลินเป่ยเฉินลาออกจากสถาบัน ข้าน้อยก็จะลาออกเหมือนกันเจ้าค่ะ…” ไป๋ชินหยุนพลันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าเขาไปที่ไหน ข้าก็จะติดตามเขาไปที่นั่น ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเรา…สถานศึกษากระบี่แห่งอื่นๆ ในเมืองหยุนเมิ่งจะต้องยินดีต้อนรับอย่างแน่นอน ฮิฮิฮิ”
เกิดเสียงอุทานออกมาด้วยความฮือฮา
เยว่หงเซียงสวมใส่หมวกปีกกว้างกลับคืนลงบนศีรษะ ซ่อนใบหน้าไว้ภายใต้ผ้าลูกไม้สีดำ นางยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ”
นางสามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้สำเร็จ ต่อให้ความสามารถมีจำกัด อาจไม่สามารถเข้าสถานศึกษากระบี่หลวงได้ก็จริง แต่สถานศึกษาแห่งอื่นๆ จะต้องยินดีต้อนรับตัวนางแน่นอน
เสียงอุทานด้วยความฮือฮาเงียบกริบไปในทันใด
บรรยากาศตกอยู่ในความแปลกประหลาด
พวกเขาจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้ง 3 คน ก่อนที่ในใจจะรู้สึกอิจฉาขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
ต้องทำอย่างไรถึงจะมีเพื่อนรักเช่นนี้ได้นะ?
ต้องทำอย่างไรถึงจะมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นขนาดนี้?
มีใครบ้างไม่ต้องการมิตรสหายที่พร้อมร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน?
มีใครบ้างไม่ต้องการมิตรสหายที่ยินดีจะออกมาช่วยเหลือเมื่อพวกพ้องไม่ได้รับความยุติธรรม มีใครบ้างไม่ต้องการมิตรสหายที่พร้อมจะรับความเดือดร้อนไปด้วยกัน?
เมื่อนั้นเอง คณะอาจารย์ถึงได้เข้าใจว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆ อย่างที่คิดเสียแล้ว
ถ้าลูกศิษย์ทั้ง 3 คนนี้ลาออกไปพร้อมกัน…
อย่างนั้น สถานศึกษากระบี่ที่สาม ซึ่งกำลังจะรุ่งเรือง ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมที่แสนเงียบเหงาอีกครั้ง
คณะอาจารย์เพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้เองว่า ลูกศิษย์ทั้ง 3 คนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา มีความสำคัญต่อสถาบันมากมายเพียงใด
หลิวฉีไห่หงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้
หากเขาทำให้ลูกศิษย์ทั้ง 3 คนต้องลาออกไปพร้อมกัน อนาคตของเขาในสถานศึกษากระบี่แห่งนี้ ก็คงต้องจบลงไปเช่นกัน
หลิวฉีไห่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งก็ส่งเสียงขึ้นว่า
“ข้าก็จะลาออกด้วยเช่นกันขอรับ”
แล้วฮันปู้ฟู่ ลูกศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ประจำชั้นปีที่ 3 ก็ได้เดินเข้ามาร่วมกลุ่มกับหลินเป่ยเฉินอย่างแช่มช้า
สีหน้าและแววตาของเขาจริงจังหนักแน่น
เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว
การกระทำของเขาเป็นตัวบอกทุกอย่าง
หลิวฉีไห่เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความเหลือเชื่อ พูดว่า “ฮันปู้ฟู่ เจ้าคิดดีแล้วหรือ…”
ฮันปู้ฟู่เป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่หลิวฉีไห่อยากได้มาเป็นลูกศิษย์ของตนเองนานแล้ว
ความรู้สึกที่เขามีต่อฮันปู้ฟู่ ไม่ต่างจากความรู้สึกของฉู่เหินที่มีต่อหลินเป่ยเฉิน
ฮันปู้ฟู่คือความหวังอันสูงสุดของหลิวฉีไห่
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ลูกศิษย์สุดที่รักกลับยอมเป็นศัตรูกับเขาแล้ว
ฮันปู้ฟู่ประสานมือทำความเคารพหลิวฉีไห่และกล่าวว่า “อาจารย์ขอรับ อาจารย์เป็นหนึ่งในผู้ที่สอนวิชากระบี่ให้ข้าน้อยได้เรียนรู้ แต่คนเราจะมีวิชากระบี่สูงส่งไปทำไมหากจิตใจปราศจากคุณธรรม เหตุการณ์ในวันนี้ กวนเฟยตู้และพวกพ้องกระทำการรังแกสหายของข้าน้อย ถ้าข้าน้อยไม่ช่วยเหลือเพื่อนของตนเอง ข้าน้อยก็คงต้องละอายใจกับหลักการที่อาจารย์เคยสอนเอาไว้แล้ว”
หลิวฉีไห่พูดอะไรไม่ออกไปอีกพักใหญ่
ฮันปู้ฟู่ยังคงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจังจริงใจว่า “กวนเฟยตู้และลูกสมุนของเขาไม่ได้รังแกเพื่อนร่วมสถาบันเพียงครั้งหรือสองครั้ง แต่พฤติกรรมเลวทรามเช่นนี้ พวกเขากระทำอยู่เป็นประจำ ข้าน้อยกล้าพูดได้เลยว่าพวกเขาเป็นแกะดำที่เราต้องกำจัดออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อความสงบสุขของลูกศิษย์ทุกคนในสถานศึกษากระบี่ที่สาม และเพื่อคืนความยิ่งใหญ่ให้แก่สถาบันของเราอีกครั้ง”
ฮันปู้ฟู่อยากจะพูดเรื่องราวเหล่านี้มานานแล้ว
แต่เขาไม่มีโอกาส
ด้วยเขาก็ไม่ใช่คนที่พูดเก่งสักเท่าไหร่
อีกอย่าง ฮันปู้ฟู่ไม่เชื่อว่าจะมีใครรับฟังคำพูดของเขา
แต่การยื่นคำขาดของหลินเป่ยเฉิน ทำให้ฮันปู้ฟู่อดรู้สึกละอายใจไม่ได้ถ้าเขาไม่พูดอะไรออกมาบ้าง
เพราะฉะนั้น ฮันปู้ฟู่ถึงได้กล้าพูดออกมาแล้ว
“ดีมาก ดีจริงๆ” หลิวฉีไห่กัดฟันกรอด “ข้าขอรับปากพวกเจ้า เราจะขับไล่ลูกศิษย์ทั้ง 2 คนนี้ออกไป”
เมื่อได้ยินดังนั้น กวนเฟยตู้ก็มีใบหน้าซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษ
“อาจารย์หลิวขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ข้า…” เด็กหนุ่มส่งเสียงอย่างน่าเวทนา
“เงียบไปซะ” หลิวฉีไห่คำรามด้วยความเดือดดาล “ใครก็ได้ลากตัวพวกเขาทั้ง 2 คนนี้ไปรอที่ห้องพักอาจารย์ที แล้วก็ติดต่อให้บิดามารดาของพวกเขามารับตัวบุตรหลานกลับไปด้วย”
หลังจากนั้น กวนเฟยตู้กับซงโหยวก็ถูกลากตัวออกไป
หลินเป่ยเฉินพลันหันกลับมายกมือชี้หน้ากลุ่มลูกศิษย์ชั้นปีที่ 3 ซึ่งยืนปะปนอยู่ในกลุ่มคนดู ก่อนพูดว่า “เจ้า เจ้า และเจ้า ยังไม่รีบมาขอโทษเยว่หงเซียงอีก”
ลูกศิษย์กลุ่มนี้เป็นลูกสมุนของกวนเฟยตู้ที่คอยทำหน้าที่หัวเราะเยาะเยว่หงเซียง ตอนที่หมวกปีกกว้างหลุดออกจากศีรษะ
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แม้แต่กวนเฟยตู้ก็ยังถูกหลินเป่ยเฉินทำให้โดนไล่ออกจากสถาบันได้สำเร็จ พวกเขาจึงกลัวว่าตนเองจะตกเป็นเป้าหมายของหลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง รีบเดินเรียงแถวเข้ามา ค้อมศีรษะคำนับเยว่หงเซียงด้วยความนอบน้อม
“ข้าขอโทษ”
“ศิษย์น้องเยว่ ข้าสำนึกผิดแล้ว…”
“ข้าต้องขอโทษเจ้าจริงๆ”
พวกเขาทยอยขอโทษทีละคน
เยว่หงเซียงไม่ตอบสนองคำใด ทำเพียงพยักหน้ารับคำขอโทษด้วยความเย็นชา
หนึ่งในกลุ่มเด็กหนุ่มที่ทำปากดีก่อนหน้านี้ เพิ่งจะคำนับขอโทษเยว่หงเซียงเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็เดินเข้ามาหลังมือไปหนึ่งผัวะ แล้วกล่าวว่า “ทีหน้าทีหลังจะพูดอะไร หัดระวังปากของเจ้าเอาไว้บ้าง”
เด็กหนุ่มผู้นั้นใบหน้าบวมแดง สุดแสนจะอับอาย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
รอจนเมื่อการขอโทษเสร็จสิ้นลง หลินเป่ยเฉินถึงได้เดินมากวาดสายตามองกลุ่มคนอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าบางคนไม่ได้กลัวข้าเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นใคร”
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกศิษย์หรือคณะอาจารย์ของหลิวฉีไห่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้าไป ทุกคนก็ชะงักไปทันที
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาบัดนี้ ถ้าไม่ใช่หลินเป่ยเฉิน แล้วยังจะเป็นใครได้อีก?
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้งว่า “ข้าคือหลินเป่ยเฉิน เศษสวะอันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่ง…เห็นช่วงหลังข้าทำตัวเป็นคนดีเข้าหน่อย พวกเจ้าก็ได้ใจถึงกับกล้ารังแกสหายของข้า โดยไม่เห็นแก่หน้าข้าเลยแม้แต่น้อย ตัวข้านั้นเป็นคนไม่มีเหตุผลเสียด้วย แล้วพวกเจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเหตุการณ์นี้ให้เลยผ่านไปง่ายๆ งั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงดังปานฟ้าคำราม
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลิวฉีไห่และคณะอาจารย์ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด
แต่บรรดาลูกศิษย์คนอื่นๆ รู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งตื่นมาจากความฝัน สัมผัสได้ว่าสิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดออกมาแต่ละคำล้วนมีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง
ใช่แล้ว
เด็กหนุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาในขณะนี้ ก็คือหลินเป่ยเฉิน เจ้าคนเสเพล เศษขยะไร้ค่า เจ้าแกะดำผู้หาความดีไม่ได้
เพียงในระยะหลังเขามีฝีมือด้านการต่อสู้ดีขึ้นมากกว่าเดิม เหตุไฉนทุกคนจึงเข้าใจว่า เขาจะกลับตัวกลับใจกลายเป็นคนดีถาวรกันเล่า?
“พวกเจ้าจงจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหยุนเมิ่ง หรือในสถานศึกษาแห่งนี้ มีแต่เพียงข้าหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรังแกผู้อื่นได้…หากข้าพบเห็นว่ามีใครแย่งหน้าที่ของข้า คอยรังแกเพื่อนร่วมสถาบันอีกล่ะก็ จงเตรียมตัวเตรียมใจรับเคราะห์กรรมเอาไว้ให้ดี แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน….อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า”
การจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะของหลินเป่ยเฉิน ทำให้เพื่อนร่วมสถาบันทุกคนขนลุกเกรียว
พวกเขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าปีศาจร้ายประจำสถาบันกลับมาแล้ว