บทที่ 1277 – ความเปลี่ยนแปลงของผู้นำนิกายบงกชเทวะ แผนระยะยาว ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเดชสวรรค์

 

“ความรักของชายหญิงเป็นสิ่งที่ขัดต่อกฏธรรมชาติ เจ้าไม่คิดว่าการทำเช่นนี้จะทำให้นิกายบงกชเทวะจะต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นหรือ?”

 

สิ่งที่ชิงสุ่ยได้กล่าวไปก่อนหน้าเป็นสิ่งที่รวมถึงกฏแห่งธรรมชาติไว้แล้ว นี่เป็นสาเหตุที่นิกายบงกชเทวะควรเปลี่ยนแปลงเพราะความสัมพันธ์ของมนุษย์ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ในความเป็นจริงแล้วมีบางสิ่งที่นางเห็นด้วยกับชิงสุ่ยแต่นางเป็นผู้นำนิกายบงกชเทวะ แม้ว่าอยากเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ก็มิอาจทำได้ด้วยตัวคนเดียว มิฉะนั้นนางอาจถูกประนามที่ล่วงละเมิดสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างไว้

 

“ชิงสุ่ย เจ้าเองรู้ดีว่ากฎเหล่านี้ถูกสร้างมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าข้าจะเป็นถึงผู้นำนิกาย แต่เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ใช่ว่าข้าจะเป็นผู้ตัดสินแต่เพียงผู้เดียว”

 

ชิงสุ่ยรู้ดีว่าหญิงชราไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายบงกชเทวะ บางอย่างจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมเท่านั้น อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ไม่ได้หวังให้นางเปลี่ยนมันในทันที

 

“ผู้อาุวุโส ข้าไม่ได้หมายความว่าให้ท่านเปลี่ยนมันในตอนนี้ ข้าเพียงหวังว่าท่านจะไม่ขัดขวางเรื่องของข้าและติ๊เฉิน ส่วนในตอนนี้ข้าจะอยู่ให้ห่างจากเฉินเอ๋อเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นการลำบากใจต่อนิกายบงกชเทวะ” ชิงสุ่ยอธิบายหลังใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่

 

“ข้ารู้จักเฉินเอ๋อดี ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้วข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าอีก ข้าคิดว่าข้าอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฏได้ เมื่อเฉินเอ๋อเดินทางออกไปในครั้งนี้ระดับวิชายุทธของนางคงถูกเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อีกไม่นานนางคงพร้อมที่จะขึ้นเป็นผู้นำนิกายบงกชเทวะ” หลังจากคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าและกล่าวออกมา หญิงชรารู้สึกโล่งใจมากขึ้น

 

ลึกๆแล้วชิงสุ่ยกลับรู้สึกมีความสุข นั่นเป็นเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับนิกายบงกชเทวะถูกคลี่คลายอย่างสันติวิธี อีกทั้งการที่ติ๊เฉินขึ้นเป็นผู้นำของนิกายเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอีกด้วย นี่เป็นวิธีที่เขาจะเอาชนะนิกายบงกชเทวะโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงใดๆเลย แน่นอนว่าชิงสุ่ยต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างของนิกายบงกชเทวะให้กับติ๊เฉิน สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเพิ่มพลังให้กับนาง อีกสิ่งหนึ่งคือต้องรอจนกว่านางจะแข็งแกร่งพอที่จะขึ้นปกครอง

 

ปัญหาเดียวในตอนนี้คือพลังของตัวติ๊เฉินเอง  แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลนัก ในตอนนี้ติ๊เฉินได้รับพลังจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์รูปแบบดอกบัว พลังงานในร่างกายของนางตอนนี้มีเพียงพอแล้ว และในตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ผู้อาวุโส ไม่ต้องกังวลไป เมื่อท่านเชื่อในตัวเฉินเอ๋อแล้ว ท่านควรจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนั้นด้วย ข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในนิกายบงกชเทวะ อีกทั้งข้าเองจะค่อยช่วยเหลืออยู่เสมอ” ชิงสุ่ยกล่าวออกเพื่อแสดงถึงความรู้คุณ

 

“เข้าใจแล้ว เมื่อเจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้ เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าข้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎของนิกายได้ เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง ข้าจะสนับสนุนเฉินเอ๋อในการจัดการเรื่องภายในนิกายต่อไป”

 

ชิงสุ่ยรู้สึกแปลกใจต่อท่าทีของผู้นำนิกายบงกชเทวะ เพราะในก่อนหน้านางมีความดื้อรั้นและไม่มีทางถูกชักจูงได้อย่างง่ายดาย แต่ในตอนนี้กลับมีความใจกว้างแสดงออกให้เห็น เขากำลังคิดว่าอาจจะเป็นเพราะการกล่าวถึงเรื่องในอดีตทำให้จุดอ่อนของนางแสดงออกมา ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก ถ้าเขากุมจุดนี้เอาไว้ทุกอย่างถือเป็นเรื่องง่ายดาย แต่ว่าตัวติ๊เฉินเองยังไม่มีความสามารถมากพอ และสิ่งทีสำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาด้วยความสันติ อีกทั้งติ๊เฉินยังเป็นหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะ ภายในนิกายของนางตำแหน่งนี้ถือเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ

 

ติ๊หวู่สือฉามีความเป็นหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายบงกชเทวะอยู่ส่วนหนึ่งเช่นกัน นางเป็นลูกสาวคนโตจากตระกูลติ๊หวู่ นางเป็นอีกคนที่ให้การสนับสนุนติ๊เฉิน (ติ๊หวู่สือฉาปฏิบัติต่อติ๊เฉินราวกับติ๊เฉินเป็นพี่สาวของนาง นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานะและการฝึกยุทธของพวกนาง ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอายุเลย ความสัมพันธ์ของพวกนางไม่ได้ก่อเกิดเกิดขึ้นจากอายุของแต่ละคน)

 

ไม่ว่าชิงสุ่ยจะมองไปในทางใด ก็มีแต่ผลลัพธ์ที่ติ๊เฉินต้องขึ้นปกครองนิกายบงกชเทวะทั้งสิ้น

 

เรื่องของนิกายบงกชเทวะถือว่าได้คลี่คลายไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับก่อนหน้า ติ๊เฉินยังคงอยู่ในนิกายบงกชเทวะ ส่วนตัวชิงสุ่ยเองวางแผนจะมุ่งไปยังจักรวรรดิเดชสวรรค์ เขาต้องการไปดูสถานการณ์ที่นั่นก่อน

 

“ชิงสุ่ย ในตอนนี้ตัวข้าเองต้องแสวงหาความสันโดษ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายของข้าได้รับพลังจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์เพียงพอแล้ว พลังของข้าจะก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้น ถึงตอนนั้นแล้วข้าอาจสู้เจ้าได้ใครจะรู้” ติ๊เฉินยิ้มพร้อมกุมมือชิงสุ่ยเอาไว้

 

“ตกลง ข้าจะรอเจ้า เมื่อถึงตอนที่ข้ากับเจ้าร่วมมือกันในนามสามีและภรรยา จะไม่มีใครในโลกนี้ต่อกรพวกเราได้ ”

 

“อีกอย่างหนึ่งชิงสุ่ย ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเจ้าที่จะต่อสู้กับกองทัพขนาดใหญ่ในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกด้วยตัวคนเดียว สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเมื่อเจ้ามีพลังที่มากพอแล้ว เจ้าควรทำงานร่วมกับกองกำลังอื่นๆหรือจัดตั้งพันธมิตรขึ้น ”

 

“อ้ะ เฉินเอ๋อของข้าช่างฉลาดเสียจริง เจ้านี่คิดเหมือนข้าตลอดเลย” ความจริงแล้วชิงสุ่ยกำลังคิดเรื่องทำนองนี้อยู่เช่นเดียวกัน แต่เมื่อติ๊เฉินกล่าวมันออกมา เขาจึงคิดว่าควรจะจริงจังกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น

 

“เจ้าเด็กบ้า นี่เจ้ากำลังชื่นชมตัวเองอยู่ใช่หรือไม่?” ติ๊เฉินรู้สึกหมดคำกล่าว

 

“ข้าต้องไปแล้ว เจ้าจะคิดถึงข้าหรือไม่?”

 

“ข้าจะคิดถึงเจ้าเสมอ”

 

“ข้าต้องไปแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ให้รางวัลแก่ข้าบ้างล่ะ!” ในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังพูดใบหน้าของเข้าก็ยื่นเข้าใกล้กับปากของติ๊เฉิน

 

“รอจนกว่าจะถึงครั้งหน้าที่เราได้พบกัน จนกว่าเจ้าจะบรรลุความสันโดษนั่น ข้าจะกินเจ้าให้ดูและทำให้เจ้ามาเป็นผู้หญิงที่แท้จริงของข้า” นี่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวก่อนที่จะจากไป หลังสิ้นสุดคำพูดเขาก็จากไปในทันที

 

เหตุที่ชิงสุ่ยต้องรีบจากไปพร้อมกล่าวคำลาเพียงสั้นๆ นั่นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้ต้องมีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นต่อทั้งสอง

 

ใบหน้าของติ๊เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่มองตามไปยังทิศทางที่ชิงสุ่ยจากไป

 

……

 

ขณะนี้ชิงสุ่ยได้มาถึงเมื่องจักพรรดิแห่งจักรวรรดิเดชสวรรค์เป็นที่เรียบร้อย นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเดินทางมายังที่นี่ เมื่อเขารู้ตัวอีกทีตัวเองก็มาปรากฏอยู่ที่ร้านตีอาวุธของเมืองจักรพรรดิเสียแล้ว เขาเดินเข้าไปในร้านพร้อมมองดูสินค้าต่างๆไปทั่ว

 

“ยินดีต้อนรับ!”

 

เมื่อชิงสุ่ยหันกลับไปมองทิศทางที่เสียงปรากฏออกมา ก็พบกับบริวารหนุ่มคนก่อนหน้า ในตอนนี้เขายิ้มออกให้ชิงสุ่ยเล็กน้อย

 

“มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”

 

“นายหญิงบอกเอาไว้ว่าถ้าท่านปรากฎตัวออกมา นางอยากให้ท่านรอสักครู่ นางอยากพบกับท่าน” บริวารหนุ่มกล่าวอย่างสุภาพ

 

“อ้ะ ได้สิ!”

 

“ข้าต้องขอขอบคุณจริงๆ ข้าจะไปแจ้งนายหญิงเดี๋ยวนี้ ” บริวารหนุ่มมีท่าทีเร่งรีบหลังพูดจบ

 

ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาตื่นตระหนกเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยพบผู้คนจากราชวงศ์ในจักรวรรดิเดชสวรรค์มากมายนัก สิ่งที่เขาแปลกใจก็คือการที่ใครบางคนนำหมอนมาให้เพียงเพราะเขาแค่หาว(นำหมอนมาให้เพียงเพราะแค่หาวเป็นสำนวนที่กล่าวถึงการที่ใครบางคนเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอย่างฉับไว)

 

ในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชิงสุ่ยก็ได้พบกับฟู่ร่ง เช่นเดียวกับทุกๆครั้งเจ้าเด็กนี่ช่างดูฉลาดและสดใสเหมือนเดิม เมื่อพบกับชิงสุ่ยนางรีบวิ่งมาอย่างมีความสุข

 

“ในที่สุดท่านก็มา ท่านบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าท่านจะไปเยี่ยมข้าที่บ้าน? เหตุใดถึงหายไปนานเพียงนี้?”

 

“ก็.. ในตอนนี้ข้าก็มาแล้วไม่ใช่หรือ?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

บริวารหนุ่มเดินกลับออกไป

 

“ครอบครัวของข้าอยากพบกับท่านมากๆเลย จะเป็นอะไรไหมหากต้องไปพบพวกเขา? ” ฟู่ร่งกล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย

 

“เจ้าเป็นคนของราชวงศ์มิใช่หรือ?” ชิงสุ่ยไม่ได้ตอบคำถามของฟู่ร่ง

 

“ใช่แล้ว!”

 

นางมีแซ่ฟู่ มันเป็นสกุลเดียวกันกับผู้คนในราชวงศ์ นอกเหนือจากนั้นที่นี่ก็เป็นร้านตีอาวุธของเมืองจักรพรรดิ ชิงสุ่ยไม่ควรถามคำถามเช่นนี้ออกไปจริงๆ

 

“หรือตระกูลของเจ้ากำลังเปิดรับสมัครคนอยู่?” ชิงสุ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ข้าไม่คิดเช่นนั้น ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากท่าน แต่ท่านต้องพึงพอใจกับของรางวัลนั่นแน่ๆ  ฟู่ร่งกล่าวอย่างรวดเร็ว”

 

“ไปกันเถอะ ข้าวางแผนที่จะเข้าพบผู้คนจากราชวงศ์เพื่อพูดคุยเรื่องบางอย่างอยู่แล้ว ข้าสงสัยว่าสมาชิกในตระกูลของเจ้ามีส่วนจัดการสำนักพระราชวังหรือไม่? ” ชิงสุ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

ฟู่ร่งยิ้ม “ข้าว่าอย่างน้อยพวกเขาก็มีส่วนนะ”

 

ชิงสุ่ยถึงกับชะงัก ดูเหมือนว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้จะมีตำแหน่งสูงส่งในสำนักพระราชวังเสียด้วย นางอาจจะเป็นสมาชิกสาขาหลักของสำนักพระราชวัง มิฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ครอบครัวของนางจะมีอำนาจในการตัดสิน

 

เมื่อเวลาผ่านไปสองชั่วโมง  ชิงสุ่ยมองไปยังเบื้องหน้าก็พบกับสวนที่กว้างใหญ่ซึ่งเป็นของสำนักพระราชวัง สถานที่แห่งนี้มีความกว้างขวาง นอกจากนี้มันยังตั้งอยู่ข้างภูเขา มีสุสานจำนวนมากตั้งอยู่บนนั้น และมีบันไดหินระหว่างทาง ดูเหมือนว่าจะมีทางขึ้นไปยังยอดเขาที่ไกลออกไป

 

ชิงสุ่ยรับรู้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลังรอบๆตัวเขาผ่านการรับรู้ทางจิตวิญญาณ พวกมันพุ่งออกไปยังท้องฟ้าสู่ภูเขาที่อยู่สูงขึ้นไป

 

เหมือนกับว่าที่นี่เป็นจุดตรวจสอบของสำนักพระราชวัง ซึ่งมันคือพระราชวังในเมืองจักพรรดินี้จริงๆ ในความเป็นจริงพระราชวังที่ประชาชนมองเห็นอยู่ทุกวันนั้นเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาเฉยๆเท่านั้น

 

ระหว่างทางเดินชิงสุ่ยพบกับยามจำนวนหนึ่ง พวกเขาล้วนเป็นนักรบที่ทรงพลัง แน่นอนว่าจากมุมมองของชิงสุ่ยเองไม่ได้แปลกอะไร แต่ถ้าเป็นคนภายนอกจะให้การนับถือพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง

 

สถานที่แห่งนี้เป็นที่ซ่อนและที่ตั้งอันโดดเดี่ยวของคฤหาสน์ ยิ่งไปกว่านั้นทิวทัศน์แถวนี้ยังมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใด พวกเขาสามาถมองเห็นสถานที่สำคัญๆในเมืองได้จากที่นี่ ในทางกลับกันสถานที่อื่นๆจะไม่สามารถมองเห็นที่แห่งนี้ได้

 

มียามสองคนเฝ้าอยู่หน้าทางเข้า ชิงสุ่ยประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาทั้งสองคน เหตุเพราะทั้งคู่มีพลังกว่าหนึ่งพันสุริยา นอกเหนือจากนี้พวกเขายังหนุ่มอยู่แท้ๆ หากเรื่องของเขาถูกแพร่หลายออกไปคงได้รับการชื่นชมว่าเป็นอัจฉริยะ พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อคอยปกป้องทางเข้าเอาไว้ แต่เมื่อมาคิดว่าที่นี่เป็นของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเดชสวรรค์ก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก

 

“ท่านลุง ช่วยส่งข้อความให้ข้าหน่อย! ข้าอยากพบกับท่านพ่อ อีกอย่างบอกเขาด้วยว่าท่านชิงมาถึงแล้ว” เหมือนกับว่าฟู่ร่งจะคุ้นเคยกับทั้งสองคนมาก นางพูดกับเขาทั้งสองอย่าเป็นธรรมชาติ

 

“ฝ่าบาทอยู่ข้างในแล้ว องค์หญิงสามารถเดินเข้าไปได้เลย ” ชายคนที่ยืนอยู่ทางซ้ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ฟู่ร่งยิ้มตอบพร้อมพยักหน้า นางเดินเข้าไปข้างในพร้อมชิงสุ่ย

 

พวกเขาเดินผ่านลานกว้างเข้าไปข้างในก็พบกับชายชราสองคน ชายวัยกลางคนจำหนวนหนึ่ง และชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยถึงบางอย่างอยู่

 

“ท่านพ่อ!”

 

ฟู่ร่งตะโกนออกไปด้วยความดีใจต่อบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหน้านาง ชายชราที่ยืนอยู่ตรงกลางซึ่งสวมชุดคลุมมังกรหยกสีขาวหันมายิ้มและพยักหน้า

 

ชายผู้นั้นมีรูปร่างสมส่วน ผมสีขาวเล็กน้อยแสดงให้เห็นถึงความสง่างาม เสียงของเขาบ่งบอกถึงความมั่งมีและความมีรสนิยม ทำให้ผู้คนรอบๆรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่สูงศักดิ์

 

ชายผู้นั้นยิ้มและก้าวมาข้างหน้าสองก้าว “เช่นนั้นท่านก็คือท่านชิง ท่านดูเหมือนชายหนุ่มที่มีอนาคตไกลจริงๆ ”

 

ชิงสุ่ยยิ้มตอบพร้อมมองไปยังชายชราผู้นั้น “ผู้อาวุโส ข้าเดาว่าท่านคงรู้เรื่องที่ข้าเป็นสมาชิกของสำนักสวรรค์เร้นลับ เป็นเกียรติจริงๆที่ได้พบกับท่าน ”

 

ในบางครั้งคนเราก็จำต้องแสดงความสุภาพอ่อนน้อม หลายๆครั้งที่ความถ่อมตนทำงานของมันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ เหตุที่ชิงสุ่ยกล่าวเช่นนี้เพราะเขาต้องการแสดงตัวตนของตัวเองอย่างชัดเจน

 

“ใช่แล้ว หากว่าไม่ ข้าคงต้องคิดหาวิธีต่างๆมารั้งตัวเจ้าเอาไว้” ชายชรากล่าวอย่างตรงไปตรงมา

 

“ข้าชอบพูดคุยกับคนที่มีใจกว่างเช่นผู้อาวุโสจริงๆ”

 

“เยินยอข้าเกินไปแล้ว!”

 

“ผู้อาวุโส ได้โปรดเรียกข้าว่าชิงสุ่ยเถอะ!”

 

“เช่นนั้น ชิงสุ่ย ถ้าเจ้าไม่ถืออะไรก็เรียกข้าว่าลุงฟู่แล้วกัน มันคงเป็นการเรียกที่ดีต่อข้า”

 

“ยินดีที่ได้พบ ลุงฟู่! คงไม่เป็นไรใช่ไหมหากท่านจะแนะนำคนอื่นๆให้ข้าได้รู้จัก”

 

“เอาล่ะ มานี่สิ นี่เป็นคนที่คอยติดตามและคอยปกป้องข้า‘เจียงเซี่ย’” ชายชรากล่าวในขณะที่ผายมือไปยังชายชราอีกคนที่เปี่ยมไปด้วยกลื่นอายอันน่าเกรงขาม

 

“ผู้อาวุโสเจียง ยินดีที่ได้พบ!  ลุงฟู่ข้าเกรงว่าท่านคงไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องท่าน เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีพลังเทียบเคียงกับลูงฟู่ได้” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวตอบ เขาถือโอกาสทักทายเหล่าผู้อาวุโส

 

“หืม ชิงสุ่ยเจ้ากำลังพูดถึงระดับการฝึกยุทธอยู่เช่นนั้นหรือ?” ฟู่ตงเชียงมองไปยังชิงสุ่ย

 

“เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้ารู้สึกได้ ลุงฟู่ ข้าเดาว่าท่านมีพลังอยู่ที่ราวๆเจ็ดพันสุริยา” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

“ฮึ เจ้ารู้ได้ถึงแม้กระทั่งระดับพลังของข้า…” ฟู่ตงเชียงมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความตกใจ จากมุมมองของตัวเขาเอง เขารู้สึกว่าพลังของชิงสุ่ยมีความกำกวมจริงๆ

 

เรื่องนี้ทำให้เขาถึงกับต้องประหลาดใจ ไม่เพียงเขาเท่านั้นแม้แต่เจียงเซี่ยก็รู้สึกตกใจเช่นกัน

 

“ลูงฟู่ เหตุใดท่านไม่เริ่มด้วยการแนะนำพวกเขาให้ข้าได้รู้จักเสียล่ะ? พวกเขาคงจะเป็นคนรุ่นใหม่ในตระกูลของท่านสินะ?”